ตอนที่ 1340

Alchemy Emperor of the Divine Dao

เวลาผ่านไปแล้วมากกว่าหกปี

ในช่วงเวลาหกปีนี้มีเหล่าผู้คนมาสำรวจหุบเหวนรกมากมาย แม้แต่สองเวียนอย่างบิดาของฉือหวง กับอาจารย์ของเป่ยหวงก็มาเช่นกัน แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่พบอะไรเลย

ต้นเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดทั้งหมดสมควรเป็นโลงศพโบราณ แต่ตอนนี้โลงศพโบราณถูกทำลายไปแล้ว ต่อให้เป็นเซียนก็คงไม่พบร่องรอยใดๆ

เหตุการณ์ที่จอมยุทธมากมายตกตายที่นี่ได้สร้างเสียงเอะอะต่อสาธารณะชนมาก แต่ผ่านไปไม่นานสถานการณ์ก็กลับมาเงียบสงบ

ตอนนี้สนามรบสองดินแดนกลับไปเป็นดังเดิมแล้ว ทุกคนไล่ล่าสิ่งมีชีวิตใต้พิภพเพื่อแต้มสังหารและค้นหาศิลาวิญญาณปฐพี

หลิงฮันเดินเตร็ดเตร่โดยไม่เกรงกลัวใครนอกเสียจากปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์จะปรากฏตัว พลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้ทัดเทียมกับระดับดาราขั้นสูง

ทันทีที่กลับมาถึงเมืองเขี้ยวหมาป่า เขาก็นำแต้มสังหารที่มีและเม็ดยาจำนวนมากไปแลกเปลี่ยนเป็นแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับแปด

แร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับแปดมีราคาแพงมาก สำหรับคนอื่นพวกเขาต้องการแร่โลหะระดับนี้แค่ขนาดเท่าฝ่ามือก็เพียงพอใช้แล้ว ส่วนหลิงฮันน่ะรึ? ดาบอสูรนิรันดร์ตะกละอย่างมาก จำนวนแร่ที่เขาต้องการจึงมากมหาศาล

โชคดีที่หอคอยทมิฬชั้นห้าเปิดออกแล้วทำให้สามารถผลิตแร่โลหิตได้ในนวนมากแต่ใช้เวลานาน กล่าวคือหลิงฮันสามารถยกระดับดาบอสูรนิรันดร์ให้เป็นอุปกรณ์ระดับนิรันดร์ได้หากมีเวลามากพอ

แต่กว่าจะให้ถึงตอนนั้นบางทีเวลาคงผ่านไปหลายหมื่นปี ไม่สิ อาจจะหลายร้อยล้านปีเลยด้วยซ้ำ แม้แต่หอคอยน้อยก็ไม่อาจบอกได้เวลาที่แน่นอนได้อย่างชัดเจนเนื่องจากหอคอยทมิฬได้รับความเสียหายอย่างหนัก กว่าจะซ่อมแซมให้กลับสู่สภาพสมบูรณ์ได้จำเป็นต้องใช้เวลาอีกนานเช่นกัน

ไม่ว่าอย่างไรทางเลือกของหลิงฮันในตอนนี้ก็คือรอคอย หลังจากดาบอสูรนิรันดร์กลืนกินแร่โลหะที่แลกมาทั้งหมดแล้วเขาก็เดินทางไปยังกองทัพจันทราม่วง ที่น่าตกตะลึงก็คือธิดาซื่อเยว่ยังไม่ตาย!

ที่แท้นางส่งเพียงแค่ร่างสัมผัสสวรรค์ไปยังหุบเหวนรก แต่ถึงแม้จะเป็นเพียงสัมผัสสวรรค์ที่ถูกทำลายนางก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่พูดถึงโดยรวมแล้วสภาพของนางถือว่าดีกว่าตัวตนระดับวารีนิรันดร์คนอื่นที่ตกตายไปมาก

หลิงฮันถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าพบธิดาซื่อเยว่ แต่เมื่อรับรู้ว่านางปลอดภัยเขาก็หัวเราะสองสามครั้งก่อนจะเดินทางกลับจักรวรรดิราชวงศ์เพลิงศักดิ์สิทธิ์

หลังจากทะลวงผ่านระดับดาราแล้ว ความเร็วของหลิงฮันรวดเร็วขึ้นมาก แถมความสามารถในการเหาะเหินยังช่วยให้เขาหลีกเลี่ยงอุปสรรคตามภาคพื้นดินอีกด้วย ผ่านไปเพียงสิบวันเขาก็เดินทางมาถึงเมืองดาบสวรรค์

นี่เป้าหมายแรกของเขาคือนิกายดาบสวรรค์เป็นเพราะศิษย์ของเขา เจียนเยว่ซวน อยู่ที่นี่

นิกายดาบสวรรค์ที่แท้ก็เป็นเมืองขนาดย่อมนี่เอง

เมืองแห่งนี้ถูกเรียกว่าเมืองดาบสวรรค์โดยที่อาณาเขตของนิกายดาบสวรรค์กินพื้นที่ของเมืองไปถึงสองในสาม อาณาเขตที่เหลือก็เป็นกิจการที่นิกายดาบสวรรค์เป็นเจ้าของ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร โรงเตี๊ยมหรือธุรกิจอื่นๆ

หลิงฮันไม่เร่งรีบ เขาเดินเอ้อระเหยไปจนถึงทางเข้านิกายดาบสวรรค์

แม้จะเรียกว่าทางเข้าก็เพราะมันเป็นเพียงทางผ่านรูปทรงโค้งที่ไม่มีประตูตั้งเอาไว้

แต่ไม่มีประตูก็ไม่ได้หมายความว่าใครจะเข้าไปก็ได้ ที่หน้าทางเข้ามีศิษย์แปดคนยืนคุ้มกันอยู่ แต่ละคนถืออาวุธเอาไว้ในมือและสวมเกราะหน้าอก พวกเขามองดูคนที่เดินผ่านไปมาด้วยท่าทีเหยียดหยามราวกับตนเองสูงส่ง

ในเมืองดาบสวรรค์แห่งนี้ นิกายดาบสวรรค์กล่าวได้ว่าเป็นพระเจ้า

ศิษย์ทั้งแปดนี้ทุกคนมีพลังบ่มเพาะระดับทลายมิติ หากเป็นที่โลกใบเล็กคงจะน่าสงพรึงกลัวอย่างมาก แต่บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ผู้คุ้มกันประตูระดับนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่จริงแล้วมันค่อนข้างอ่อนแอไปหน่อยด้วยซ้ำ ยกตัวอย่างเช่นผู้คุ้มกันประตูของจักรพรรดินีแห่งดารานั้น ทุกคนล้วนแต่เป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีกันทุกคน

หลิงฮันปกปิดออร่าเอาไว้ เขาอยากจะเห็นก่อนว่าเจียนเยว่ซวนเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหนและสมควรจะพาเขากลับไปด้วยรึไม่

“หยุด!” เมื่อเห็นหลิงฮันเดินเข้ามาใกล้ ศิษย์ทั้งแปดก็ตะโกนออกมาพร้อมกัน ศิษย์ทั้งแปดมีท่าทียิ่งยโสเนื่องจากหลิงฮันปกปิดออร่าเอาไว้

หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ข้ามาเพื่อพบเจียนเยว่ซวน”

“เจ้ารู้จักผู้อาวุโสเจียน?” ศิษย์คนหนึ่งเอ่ยถาม ดูทรงแล้วเขาคงเป็นผู้นำของศิษย์ทั้งแปด

หลิงฮันครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “ข้าเป็นสหายเก่าของเขา”

ศิษย์ทั้งแปดแสดงท่าทียําเกรง เจียนเยว่ซวนคืออัจฉริยะของนิดายดาบศักดิ์สิทธิ์ แม้เขาจะมาจากโลกใบเล็กแต่กลับบรรลุระดับสุริยันจันทราได้ภายในระยะเวลาหมื่นปีและกลายเป็นผู้อาวุโสของนิกายดาบสวรรค์

เรื่องราวกับของเจียนเยว่ซวนกลายเป็นแรงบันดาลของศิษย์ทุกคน พวกเขาพยายามฝึกฝนอย่างหนักเพื่อเป็นเจียนเยว่ซวนคนที่สอง

ดังนั้นเมื่อหลิงฮันบอกว่าตนเองเป็นสหายกับของเจียนเยว่ซวน ศิษย์ทั้งแปดจึงแสดงท่าทียําเกรง

“ขอถามชื่อของท่านได้รึไม่ ข้าจะไปแจ้งผู้อาวุโสเจียนให้เอง” ศิษย์ที่ดูเหมือนผู้กลุ่มกล่าว

“ฮันหลิง’ หลิงฮันยิ้ม

“โปรดรอสักครู่” ศิษย์ที่ดูเป็นผู้นำให้ศิษย์ที่เหลืออีกเจ็ดคนดูแลหลิงฮัน ส่วนตัวเขาหันหลังและมุ่งหน้าไปยังตำหนักนิกาย หากเขาสามารถสร้างความพึงพอใจให้กับผู้อาวุโสเจียนได้ การที่อีกฝ่ายจะชี้แนะการบ่มเพาะให้เขาสักสองสามจุดก็ใช้ว่าจะเป็นไปไม่ได้

เขาวิ่งจากไปโดยทิ้งให้ศิษย์อีกเจ็ดคนมองด้วยใบหน้าอิจฉา

ผ่านไปสักพัก ศิษย์คนนั้นก็เดินกลับมาโดยที่มีหญิงสาวชุดแดงเดินตามมาด้วย นางเป็นสตรีที่สวยราวกับบุปผาแรกแย้ม ผมดำยาวถึงบ่าและมีดวงตาคู่โตราวกับปีศาจน้อยจอมเจ้าเล่ห์

ทั้งสองเดินเข้ามาใกล้ ก่อนที่ศิษย์ที่ดูเหมือนผู้นำจะกล่าวอะไร สตรีชุดแดงก็จ้องมองมองหลิงฮันตั้งแต่หัวจรดเท้าและเอ่ยแทรก “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเป็นสหายเก่าของบิดาข้า?”

โอ้ นางคือบุตรสาวของเจียนเยว่ซวน?

ที่แท้สาวน้อยตรงหน้าก็เป็นหลานสาวของเขานี่เอง หลิงฮันยิ้มและตอบกลับไป “ไม่ผิด”

“แต่ทำไมข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าบิดาของข้ามีสหายแซ่ฮัน?” เด็กสาวกุมมือเดินวนมองสำรวจหลิงฮันก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมา “นี่เจ้าโกหกว่ารู้จักกับบิดาของข้ารึเปล่า?”

หลิงฮันครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะยกมือขึ้นมาวาดกลางอากาศ

นี่เป็นกระบวนท่าจากทักษะที่เขาเคยสอนศิษย์ทั้งสี่ซึ่งเขาค้นพบจากซากซากโบราณสถานแห่งนั้นอันตรายเป็นอย่างมาก พวกเขาทั้งห้าใช้ความพยายามจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอดเพื่อให้ทักษะนี้มา เกรงว่าทั่วทั้งโลกคงมีเพียงพวกเขาทั้งห้าที่รู้จักทักษะนี้

แม้บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทักษะนี้จะไม่ใช่ทักษะที่ทรงพลัง แต่ถ้าเจียนเยว่ซวนยังเคารพเขาเป็นอาจารย์ อีกฝ่ายจะต้องสอนทักษะนี้ให้กับบุตรสาวตนเองแน่นอน ฝ่ามือนี้เป็นมากกว่าทักษะยุทธ มันคือความทรงจำอันล้ำค่า

“อะไรกัน เจ้ารู้จักฝ่ามือวายุเหมันต์ได้อย่างไร?” สตรีชุดแดงกล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึงอย่างถึงที่สุด