ตอนที่ 1068 อดีต

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 1068 อดีต

กองไฟในลานบ้านถูกจุดขึ้นมาอีกครา

ใบหน้าชราของหวานเหยียนหงเลี่ยอดีตหัวหน้าเผ่าแดงเรื่อ มิรู้ว่าเป็นเพราะกองไฟนี้หรือเพราะได้พบกับองค์จักรพรรดิกันแน่

“ฝ่าบาทเพคะ… ! ” นางเดินเข้าไปอย่างงก ๆ เงิ่น ๆ ในขณะที่นางกำลังจะคุกเข่าลง ฟู่เสี่ยวกวนก็รีบเข้าไปพยุงนางเอาไว้เสียก่อน จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านผู้อาวุโส… ท่านต้องการให้ข้าอายุสั้นลงเยี่ยงนั้นหรือ ? มาเถิด ๆ เชิญนั่ง ! ”

หวานเหยียนหงเลี่ยเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาขุ่นมัวของนางจ้องมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน เดิมทีนางคิดว่าจักรพรรดิจะต้องเป็นผู้สูงส่งยิ่งใหญ่ คาดมิถึงว่าองค์จักรพรรดิที่ประทับอยู่เบื้องหน้านางจะเข้าถึงง่ายได้ถึงเพียงนี้

ในใจของนางกระวนกระวายมากยิ่งนัก นางรู้สึกว่าคนธรรมดาเมื่อพบกับองค์จักรพรรดิก็ควรจะต้องคุกเข่าลง ดังนั้นนางจึงหันไปมองทางเผิงยวี๋เยี่ยนเพื่อขอความช่วยเหลือ

เผิงยวี๋เยี่ยนจึงหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ พลางเข้าไปประคองหวานเหยียนหงเลี่ยเอาไว้ “ท่านหัวหน้าเผ่า…จักรพรรดิของเราผู้นี้หาได้เหมือนผู้ใดไม่ ในเมื่อฝ่าบาทรับสั่งให้ท่านนั่งก็จงนั่งลงเถิด”

หยูรั่วซิงที่ย่างแพะอยู่ด้านข้างลอบมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวน นี่คือองค์จักรพรรดิที่พี่เสี่ยวจ้วงมักจะเอ่ยถึงเยี่ยงนั้นหรือ ?

เขายังทรงพระเยาว์อยู่จริง ๆ ด้วย อีกทั้งยังเป็นกันเองมากถึงเพียงนี้ มิน่าเล่าพี่เสี่ยวจ้วงถึงจงรักภักดีต่อเขามากถึงเพียงนี้

งานเลี้ยงต้อนรับนี้เผิงยวี๋เยี่ยนจัดการได้ดียิ่ง นางมิได้เชิญคนในชนเผ่ามามากนัก เป็นเพียงงานเลี้ยงที่เรียบง่ายทว่าก็เต็มไปด้วยบรรยากาศครึกครื้น

เมื่องานเลี้ยงสิ้นสุดลง อดีตหัวหน้าชนเผ่าได้กลับไปยังเรือนของนาง เนื่องจากภายในนั้นมีผู้คนมากมายในชนเผ่ากำลังรอนางอยู่

อดีตหัวหน้าชนเผ่าเอ่ยด้วยใบหน้าแดงเรื่อซึ่งเปี่ยมไปด้วยความยินดีว่า “ข้าได้พบกับองค์จักรพรรดิแล้ว ฝ่าบาทได้สนทนากับข้ามากมายเลยทีเดียว และทรงมิลืมที่จะฝากข้ามาทักทายพวกเจ้าด้วย ! ”

“ฝ่าบาทของพวกเรานั้นเดินทางมาท่องเที่ยว…ท่องเที่ยวก็คือเที่ยวชมภูเขาแม่น้ำลำธาร ดังนั้นพวกเจ้าอย่าได้ไปรบกวนฝ่าบาทล่ะ”

“ข้าจะบอกอันใดให้พวกเจ้าฟัง ฝ่าบาทของพวกเรานั้นทรงพระพรรษาน้อยมากยิ่งนัก มิต่างอันใดกับเยาวชนราชวงศ์หยูเลยสักนิด อ้อจริงสิ ! ฝ่าบาทยังตรัสกับข้าอีกว่า…นับจากนี้สืบไปชีวิตของพวกเราจะยิ่งรุ่งเรืองขึ้น เนื่องจากอีกมินานเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวนของพวกเราจะมีเส้นทางนามว่าเส้นทางสายไหม ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างซีเซี่ยและหยวนเป่ยเต้า”

“อย่าเพิ่งถามอันใดข้าเลย” หวานเหยียนหงเลี่ยโบกไม้โบกมือปฏิเสธ “ข้าเองก็มิรู้หรอกว่าเส้นทางใดคือเส้นทางสายไหม ข้ารู้เพียงแค่ว่าราชวงศ์เหลียวเก่านั้น ฝ่าบาทได้เปลี่ยนชื่อเป็นหยวนเป่ยเต้า มองดูแล้วราชวงศ์เหลียวคงจะถูกล้มล้างไปแล้ว”

“……”

หวานเหยียนหงเลี่ยได้สนทนากับคนในชนเผ่าของนางอยู่เนิ่นนาน แม้บรรดาชาวบ้านเหล่านี้จะมิเคยพบกับองค์จักรพรรดิของพวกเขา ทว่าในสมองก็ได้เกิดภาพจินตนาการถึงฝ่าบาทขึ้นมา

นี่คือองค์จักรพรรดิที่มิเหมือนกับจักรพรรดิองค์ใดในใต้หล้า !

แม้จะมีพระพรรษามิมากนักทว่าก็มีความสามารถล้นเหลือ มิถือตัว มิวางท่า อีกทั้งยังเป็นกันเองอีกด้วย

หากต้าเซี่ยมีเขาคอยพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ คาดว่าในอนาคตคงจะเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปอีก !

……

……

ในที่สุดลานบ้านของเผิงยวี๋เยี่ยนก็ได้สงบลงเสียที

ณ ศาลาในจวน หยูรั่วซิงได้นำแตงโมที่แช่ไว้ในบ่อน้ำขึ้นมาจำนวนสองซีก

“ที่นี่มีสภาพการเป็นอยู่กันเช่นนี้ คืนนี้พวกเจ้าอาศัยอยู่ที่เรือนของข้าไปก่อน มาเถิดมากินแตงโมกัน นี่คือผลผลิตของชนเผ่าในปีนี้ มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปขายแลกเป็นเงินทองหรอก เพียงแค่ข้ารู้สึกว่าที่ทุ่งหญ้านี้มีผลไม้น้อยเสียเหลือเกิน ข้าจึงให้ชาวบ้านทุกคนปลูกเพื่อเก็บไว้กิน”

ฟู่เสี่ยวกวนรับแตงโมไปกัดคำหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “หากจะเอ่ยถึงเรื่องสภาพแวดล้อมแล้วนั้น ข้าว่าที่นี่ดีกว่าด่านชีผานที่ข้าเคยอยู่มากเลยทีเดียว”

“จริงสิ ! ติ้งชานและติ้งเหอสองพี่น้องนั่น สร้างผลงานในครานี้ได้ดีมากเลยทีเดียว ข้ามีความตั้งใจว่า…จะให้พวกเขาไปรับราชการ ท่านคิดเห็นว่าเยี่ยงไร ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองไปทางเผิงยวี๋เยี่ยน ความหมายของเขานั้นเรียบง่ายมากยิ่งนัก เนื่องจากหยูชุนชิวมีบุตรชายเพียงแค่ 2 คน ในสงครามแต่ละครามีอันตรายที่มิอาจคาดเดาได้ จากผลงานด้านการทหารครานี้ สามารถทำให้พวกเขาสองพี่น้องเข้ารับราชการได้ ถึงแม้ว่าจะเริ่มต้นจากนายอำเภอ ทว่าพวกเขาจะมีอนาคตที่ยาวไกล ที่สำคัญคือปลอดภัยกว่าการเป็นทหารมากโข

เผิงยวี๋เยี่ยนชะงักลงเล็กน้อยก่อนจะยิ้มขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ข้อเสนอที่ฝ่าบาทเอ่ยมานั้นทำให้ข้ารู้สึกหวั่นไหว แต่…” นางหยิบกาสีทองแดงขึ้นมาแล้วรินชานมให้แก่ฟู่เสี่ยวกวนและคูฉาน ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วตอบไปว่า “ในตอนนั้นที่ข้าเดินทางออกมาจากกองทัพทหารชายแดนใต้ บิดาของพวกเขาได้กำชับข้าเอาไว้หนึ่งประโยค”

“เขาเอ่ยว่า…แม้ว่าเขาจะมิอาจอยู่ปกป้องเมืองให้แก่เจ้าได้แล้ว ทว่าเขาก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบุตรชายทั้งสองของเขา จะเป็นผู้ดูแลคุ้มกันเมืองให้แก่เจ้าต่อไป”

“นี่นับว่าเป็นคำสั่งสุดท้ายและเป็นความปรารถนาของบิดาของพวกเขา เดิมทีนี่ก็เป็นความใฝ่ฝันของบุตรชายทั้งสองอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องนี้ข้ามิอาจให้คำตอบท่านได้ ท่านให้พวกเขาตัดสินใจเองเถิด”

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนกินแตงโมจนหมด เขานิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็พยักหน้าช้า ๆ

หยูชุนชิวและเขานับว่ามีมิตรภาพที่ดีต่อกัน หากมิใช่ว่าต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง ทั้งสองคนคงจะกลายเป็นสหายที่ดีต่อกัน

หยูชุนชิวชื่นชมความสามารถด้านบู๊และบุ๋น การเกษตรกรและการทำสงครามของฟู่เสี่ยวกวนมากยิ่งนัก ส่วนฟู่เสี่ยวกวนนั้นให้ความเคารพนับถือหยูชุนชิวด้านความจงรักภักดีและกล้าหาญ

ทว่าในท้ายที่สุดแล้วเนื่องจากสงครามของทั้งสองแคว้น หยูชุนชิวจึงได้สละชีวิตของตนเองเพื่อความจงรักภักดีอย่างกล้าหาญ ทั้งยังได้ชี้นำแนวทางอีกหนทางหนึ่งให้แก่บุตรชายทั้งสอง ซึ่งนั่นก็คือห้ามเกลียดแค้นอาฆาต จงมีเพียงความจงรักภักดีเท่านั้น !

ในหัวใจของหยูชุนชิว เขามิอาจปฏิเสธการต่อสู้เพื่อราชวงศ์หยูได้ ต่อให้เขารู้ว่านี่คือสงครามที่มิถูกต้องก็ตาม

“แต่มิว่าเยี่ยงไร ข้าก็ต้องขอโทษท่านด้วย นี่คือคำเอ่ยจากใจจริงของข้า”

“เรื่องนี้มิมีผู้ใดผิดหรอก เป็นเพียงปัญหาของจุดยืนก็เท่านั้น เจ้าอย่าโทษตัวเองเลย ในตอนนั้นเจ้าได้เขียนจดหมายมาบอกข้าแล้ว เพียงแต่ข้าไปมิทันเวลาเท่านั้นเอง”

นี่มิใช่คำเอ่ยตามมารยาท ต่อให้เผิงยวี๋เยี่ยนเดินทางไปถึงได้ทันเวลา คาดว่าหยูชุนชิวก็ยังคงเลือกที่จะทำสงคราม ณ ที่ราบฮวาจ้งดังเดิม

หยาดโลหิตในร่างของเขามีเชื้อสายของราชวงศ์หยูอยู่ เขามิอาจขัดคำบัญชาของหยูเวิ่นเต้าได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงอุทิศร่างกายของตนเอง

“เส้นทางสายไหมที่ฝ่าบาทเอ่ยมานั้น เป็นการให้โอกาสแก่ท้องทุ่งหญ้าแห่งนี้ อดีตหัวหน้าเผ่าให้ความไว้วางใจข้ามากยิ่งนัก ถึงกับให้ข้าซึ่งเป็นคนนอกขึ้นมาเป็นหัวหน้าเผ่า ข้ามีหน้าที่รับผิดชอบในการนำพาพวกเขาไปสู่ความมั่งคั่งร่ำรวย ดังนั้นเจ้าพอจะอธิบายถึงสิ่งนี้ให้ข้าฟังโดยละเอียดได้หรือไม่ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง จากนั้นก็ยกถ้วยชานมขึ้นมาดื่มไปหนึ่งอึก ก่อนจะวาดรูปบางอย่างออกมา

เผิงยวี๋เยี่ยนและคูฉานตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ มีเพียงหยูรั่วซิงเท่านั้นที่รู้สึกว่ามันน่าเบื่อหน่าย

ดังนั้น…หยูรั่วซิงจึงค่อย ๆ ปลีกตัวออกมา นางเดินไปที่ห้องของซูซู จากนั้นทั้งสองคนก็ได้ออกไปจากเรือนนั้น ขี่ม้าสองตัวไปยังทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่

“พี่ซูซู ฝ่าบาทจะโกรธข้าหรือไม่ ? ”

“เขามิโกรธเจ้าหรอก รั่วซิง…เจ้าจะหมั้นหมายเมื่อใด ? ”

แก้มทั้งสองข้างของหยูรั่วซิงขึ้นสีแดงระเรื่อ “ข้าเองก็ยังมิรู้หรอก ทว่าอีกสองวันบิดาของเขาจะมาทำการสู่ขอ หากว่ามิมีข้อคัดค้านอันใด เกรงว่าการแต่งงานในครานี้ก็คงจะถูกกำหนดขึ้น”

“เมื่อถึงเวลาที่เจ้าออกเรือน เจ้าจะต้องเชิญข้าด้วยรู้หรือไม่…จะว่าไปแล้วเมื่อตอนที่ข้าแต่งงานกับเขา ทุกอย่างดูคลุมเครือไปหมด ดูเหมือนจะมิมีพิธีรีตองอันใดเลย ข้าก็กลายเป็นผู้หญิงของเขาแล้ว”

“หากสามารถเชิญเหนียงเหนียงมาร่วมงานได้ก็คงเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากยิ่งนัก พี่ซูซู…ข้าได้ยินมาว่าสตรีที่ออกเรือนแล้ว แต่ละวันมีหน้าที่เพียงรับใช้สามีและสั่งสอนบุตรอยู่ที่เรือน ชีวิตต่อจากนี้จะมิมีอิสระอีกแล้วใช่หรือไม่ ? ”

ซูซูเงยหน้ามองดูดวงดาวระยิบระยับบนท้องนภา ข้าอยู่แต่ในเรือนคอยปรนนิบัติสามีและคอยอบรมสั่งสอนบุตรเท่านั้นน่ะหรือ ?

ดูเหมือนจะมิใช่ !

ข้าขาดอิสรภาพเยี่ยงนั้นหรือ ?

ก็ดูเหมือนจะมิใช่อีก !

“รับใช้สามีและคอยอบรมสั่งสอนบุตรเยี่ยงนั้นหรือ ? อืม…ข้าเองก็มิรู้เช่นกัน เขาผู้นั้นมิได้ให้ข้าคอยปรนนิบัติรับใช้เขาอยู่ตลอดเวลาหรอก และเขาก็มิได้ควบคุมข้าแต่อย่างใด ดังนั้นข้าจึงเป็นอิสระมากยิ่งนัก อีกอย่างเขากำลังเผยแพร่ความเท่าเทียมกันของหญิงชายอยู่มิใช่หรือ ? ทุกโรงเรียนจะต้องรับนักเรียนที่เป็นสตรีเข้าศึกษา ข้าคิดว่าเจ้าก็น่าจะมีอิสระหลังแต่งงานเช่นกัน”

“อ้อ… ! ” หยูรั่วซิงกระโดดลงมาจากหลังม้าพลางล้มตัวลงนอนกับทุ่งหญ้าเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์

“ข้าชอบพี่เสี่ยวจ้วง แต่ข้าก็รักอิสระมากเช่นกัน”

“ข้าตั้งใจว่าหลังจากออกเรือนไปแล้ว ข้าจะทำหน้าที่รับใช้สามีและคอยอบรมสั่งสอนบุตรให้ดี ทว่าในขณะเดียวกันข้าก็จะทำในสิ่งที่ข้าชอบและต้องการด้วย”

ซูซูเอ่ยถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจว่า “เจ้าอยากทำอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ฮ่า ๆ ข้าจะไปซื้อทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์มาเลี้ยงแพะเลี้ยงวัว…เพราะเนื้อวัวอร่อยมากยิ่งนัก ! ”