ตอนที่ 1069 ยึดทรัพย์

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 1069 ยึดทรัพย์

รัชสมัยต้าเซี่ยที่หนึ่ง เดือนเจ็ด วันที่แปด สงครามระหว่างประเทศต้าเซี่ยและราชวงศ์เหลียวได้จบลงไป 20 วันแล้ว

ท้องนภาของราชวงศ์เหลียวราวกับถูกเมฆครึ้มบดบัง เหล่าขุนนางของราชวงศ์เหลียวมิได้รับทราบอันใดทั้งสิ้น ราษฎรของราชวงศ์เหลียวยังคงตกอยู่ในความกังวล

กองทหารม้าแห่งกองทัพบกของประเทศต้าเซี่ยที่อยู่ภายใต้การดูแลของท่าป๋าเฟิง ยังคงไล่ตามสังหารเศษเดนของกองทัพอสนีบาตในผืนปฐพีของราชวงศ์เหลียว

อดีตเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์เหลียวรวมไปถึงข้าราชบริวาร ยังคงถูกคุมขังอยู่ในวังหลวง หนิงหยู่ชุนจ่งตูแห่งหยวนเป่ยเต้าที่ถูกแต่งตั้งโดยองค์จักรพรรดิแห่งประเทศต้าเซี่ย บัดนี้อยู่ในระหว่างการเดินทางมายังเมืองต้าติ้ง ผืนปฐพีที่ใหญ่โตนี้ได้ตกอยู่ในสถานการณ์ไร้ซึ่งผู้ปกครองไปแล้ว

ทว่าก็ไร้ซึ่งความวุ่นวายเช่นกัน

มิว่าจะเป็นราษฎรหรือข้าราชการท้องถิ่น ต่างก็จับตาเฝ้ารออย่างตื่นตระหนก แต่มิได้เกิดความโกลาหลใด ๆ ทั้งสิ้น

ณ พระราชวังฉางหมิง เมืองต้าติ้ง

องค์ชายรองเยลู่ซู่จ้องมองเฮ้อซานเตาด้วยสีหน้าคับแค้นใจ

“ซานเตา เจ้ามิได้บอกว่าจักรพรรดิแห่งประเทศต้าเซี่ยจะพระราชทานตำแหน่งจ่งตูนี้ให้ข้าหรอกหรือ แต่เจ้าดูราชโองการแต่งตั้งนี่สิ…หนิงหยู่ชุนคือผู้ใดกัน ? ”

เฮ้อซานเตานั่งลงฝั่งตรงข้ามเยลู่ซู่อย่างสบายอารมณ์ “พี่ซู่…ท่านเอ่ยเยี่ยงนี้ก็มิถูก ข้าเป็นเพียงผู้บัญชาการทหารเท่านั้น… ผู้บัญชาการทหารเยี่ยงข้าในต้าเซี่ยมีมากถึงสิบกว่าคน”

“ในหลายวันมานี้ท่านก็ได้เห็นมามิน้อย ข้าเป็นเพียงผู้บัญชาการทหารจะไปคัดค้านเรื่องการแต่งตั้งตำแหน่งของฝ่าบาทได้เยี่ยงไร ? และยิ่งไปกว่านั้น…ตอนนั้นข้าบอกกับท่านว่าอาจจะเป็นไปได้ ฝ่าบาทอาจจะมอบให้คนของราชวงศ์เหลียวเป็นผู้ปกครองราชวงศ์เหลียวเอง แต่ข้าก็หาใช่พยาธิในท้องของฝ่าบาทแต่อย่างใด ดังนั้นจะทราบได้เยี่ยงไรว่าพระองค์จะมิประสงค์ให้คนของราชวงศ์เหลียวปกครองกันเอง”

“ข้าขอเอ่ยบางอย่างที่มิน่าฟังกับพี่ซู่ คุณค่าของมนุษย์นั้นอยู่ที่การประเมินตนเอง ท่านลองดูสิ ! พี่ชายของท่านที่เป็นถึงองค์รัชทายาท เขาน่าสังเวชเพียงใด เขาถูกคุมขังอยู่ในคุกที่มืดมิด และลองมองไปที่น้องห้าของท่าน แขนของเขาหายไปหนึ่งข้าง ทั้งยังถูกยัดเข้าคุกเช่นกัน เชื้อพระวงศ์ทั้งหมดในราชวงศ์เหลียว มีเพียงท่านคนเดียวที่ยังสามารถใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกได้อย่างอิสระมิใช่หรือ… ? ”

เฮ้อซานเตาโน้มตัวลงพลางจ้องมองเยลู่ซู่ตาเขม็ง “พี่ซู่เอ๋ย หากมิใช่พี่น้องเยี่ยงข้าที่เอ่ยแก้ต่างให้ท่านต่อหน้าท่านแม่ทัพใหญ่ไป๋ยู่เหลียน… ท่านอย่าได้ลืมสถานะของตนเอง ท่านคือองค์ชายของแคว้นที่ล่มสลาย ท่านต้องถูกสังหาร ! ”

เยลู่ซู่ตื่นตระหนกขึ้นมาทันพลัน ทันใดนั้นเขาก็โยนความฝันที่จะได้เป็นจ่งตูเข้ากลีบเมฆไป เขาถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา ใช่แล้ว ! ข้าคือองค์ชายของแคว้นที่ล่มสลาย จักรพรรดิแห่งประเทศต้าเซี่ยจะไว้ชีวิตข้าได้เยี่ยงไร

“ซานเตา… ซานเตาได้โปรดมองความภักดีที่ข้ามีต่อต้าเซี่ยด้วย ซานเตาได้โปรดช่วยข้าด้วย ! ”

เฮ้อซานเตาลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินไปข้าง ๆ เยลู่ซู่พลางตบบ่าของเขาเบา ๆ “บัดนี้ฝ่าบาทยังมิได้ออกราชโองการลงโทษแก่พวกท่าน ข้ารู้สึกว่ายังมีโอกาสรอด มันก็ขึ้นอยู่กับความเต็มใจของท่านแล้ว”

เมื่อเป็นเรื่องชีวิตน้อย ๆ ของตน ต่อให้เยลู่ซู่จะรู้อยู่แก่ใจว่านี่คือการสังหารลาเมื่อขนของเสร็จ ทว่าเขาก็ไร้หนทางแล้วเช่นกัน

ในสายตาของเขา เจ้าเฮ้อซานเตาผู้นี้ได้กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่จะช่วยชีวิตของเขาได้

“ขอเพียงซานเตาช่วยชีวิตของข้าเอาไว้ เจ้าอยากได้อันใดโปรดจงเอ่ยออกมา ! ”

“ชีวิตของมนุษย์ขึ้นอยู่กับฟ้าลิขิต เช่นนั้นข้าขอมิเกรงใจพี่ซู่แล้ว…ศูนย์กลางอำนาจของต้าเซี่ยเป็นเยี่ยงนี้ ต้าเซี่ยมีสามสำนักหลัก ๆ ซึ่งมีเสนาบดีสามท่านเป็นผู้รับผิดชอบ ฝ่าบาทของพวกเราทรงชื่นชอบความรื่นเริง มิค่อยสนใจเรื่องยุ่งยากเหล่านี้สักเท่าใดนัก ดังนั้นชีวิตของท่านได้ตกอยู่ในเงื้อมมือของเสนาบดีทั้งสามท่านนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

“เสนาบดีก็คือคนเช่นกันมิใช่หรือ ? กิจการใหญ่โตของแต่ละท่านย่อมต้องการเงินจำนวนมากมาสนับสนุน… ทว่าเงินเดือนที่ฝ่าบาทมอบให้แก่พวกเรานั้นมิได้มากมายเท่าใดนัก ท่านเข้าใจความหมายของข้าหรือไม่ ? ”

เยลู่ซู่ราวกับลูกไก่ที่กำลังจิกข้าว “เข้าใจ ข้าเข้าใจแล้ว เงิน…ที่จวนของข้ามีเงินซ่อนอยู่ 3 ล้านตำลึง ข้าจะพาซานเตาไปเอา ขอเพียงแค่ซานเตา… มิใช่ ! ซานเตาเจ้าจะสามารถเอ่ยเยี่ยงนี้ต่อหน้าท่านเสนาบดีได้ใช่หรือไม่ ? ”

เฮ้อซานเตาแสยะยิ้ม “นำคนมา… ! ”

ถังเชียนจวินและจ้าวลี่จู้วิ่งเข้ามา “พาพี่ซู่ไปยังจวนของเขา ทว่าอย่ายึดจวนของพี่ซู่ล่ะ หลังจากที่ได้เงิน 3 ล้านตำลึงมาแล้ว ให้รีบนำไปคืนที่ท้องพระคลังเสีย ! ”

นี่…ในตอนที่ถังเชียนจวินถลึงตาและกำลังจะเอ่ยอันใดบางอย่างออกมา เฮ้อซานเตากลับขยิบตาให้เขาหนึ่งคราแล้วรีบเอ่ยออกมาว่า “รีบไปจัดการ หากช้าไปประเดี๋ยวจะมิทันการ เรื่องนี้ข้าจะอธิบายกับพวกเจ้าในภายหลัง รีบไปจัดการได้แล้ว ! ”

เยลู่ซู่รู้สึกมิดีไปทั้งร่าง “ซานเตา…เจ้า เจ้ากำลังโกงข้าชัด ๆ เลยนี่”

“พี่ซู่…ข้าเองก็ทำเพื่อเอาตัวรอดเช่นกัน สบายใจเถิด…ท่านจะมิตาย ข้าเพียงต้องการทำลายความมั่งคั่งเพื่อขจัดหายนะ” ทันทีที่เอ่ยจบสีหน้าของเฮ้อซานเตาก็เปลี่ยนไปทันพลัน เขาจ้องมองเยลู่ซู่แล้วเอ่ยด้วยท่าทีดุดัน “มิใช่ว่าท่านเป็นสหายของข้าหรอกหรือ ? ”

เยลู่ซู่ตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน ข้าเป็นสหายของเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ?

เจ้าทำลายสหายแบบนี้ได้ด้วยหรือ ?

“ในเมื่อเป็นสหายต่อกัน เยี่ยงนั้นเมื่อมีสุขก็ต้องร่วมแบ่ง มีทุกข์ก็ต้องร่วมต้าน บัดนี้ท่านมีทุกข์ ข้าและท่านต่างก็เท่ากัน ท่านมิยินยอมเยี่ยงนั้นหรือ ? เรื่องนี้มิอนุญาตให้นำไปเล่าให้ผู้ใดฟังทั้งสิ้น เข้าใจหรือไม่ ? มิเช่นนั้นท่านอย่าเห็นเฮ้อซานเตาผู้นี้เป็นสหายอีกเลย ท้ายที่สุดแล้วก็จะเป็นเหมือนโต๊ะตัวนี้ ! ”

เฮ้อซานเตาตวัดดาบ มุมของโต๊ะตัวนี้หล่นลงไปกับพื้นทันทีทันใด “เข้าใจหรือไม่ ? ”

“เข้า เข้าใจแล้ว… ! ”

มิเข้าใจก็ต้องเข้าใจ เยลู่ซู่คิดว่าเฮ้อซานเตาต้องกล้าบั่นศีรษะของเขาอย่างแน่นอน

จ้าวลี่จู้พาเยลู่ซู่ออกไป ถังเชียนจวินถึงได้มองไปทางเฮ้อซานเตาแล้วเอ่ยถามว่า “มีอันใด ? เรื่องแบ่งเงินถูกเปิดโปงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

เฮ้อซานเตาสูดลมหายใจเข้าลึก “ข้าคิดว่าซุยเยว่หมิงมิมีทางช่วยพวกเราปกปิดเป็นความลับอย่างแน่นอน ความลับเหล่านี้ เขาย่อมนำไปทูลถวายต่อฝ่าบาทเป็นแน่”

“เจ้าจะเอ่ยว่า…ฝ่าบาททรงทราบแล้วว่าพวกเราลอบแบ่งเงินกันเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ถังเชียนจวินโบกมือเป็นพัลวัน “เจ้าอย่าเอ่ยอันใดออกมาส่งเดช เป็นพวกเจ้าที่ลอบแบ่งเงินกันเอง อย่าได้ลากข้าเข้าไปเอี่ยวด้วย ! ”

“ได้ ! เจ้าเป็นเสนาธิการ เจ้าคิดว่าจะรอดพ้นไปได้เยี่ยงนั้นหรือ ? ดังนั้นในหลายวันมานี้ข้าได้ตริตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว หนังตาก็เอาแต่กระตุกอยู่ตลอดเวลา นี่มิใช่เรื่องดีเป็นแน่ จำต้องอุดช่องโหว่นี่เสีย”

“เงินที่แบ่งให้กับเหล่าสหายไปแล้วมิสามารถนำกลับคืนมาได้ มิเช่นนั้นจะมิกลายเป็นข้าที่ตีแสกหน้าตนเองหรอกหรือ ? ดังนั้นวันนี้พวกเจ้าต้องไปเอาเงินจำนวน 3 ล้านตำลึงที่จวนขององค์ชายรองมาให้ได้ ฮึ ๆ ตราบใดที่พวกเราอุดช่องโหว่นั้นได้ ทั้งยังได้เงินเพิ่มมาอีก 1 ล้านตำลึง แบบนี้ฝ่าบาทก็คงมิตำหนิพวกเราแล้ว”

ถังเชียนจวินยังจะเอ่ยอันใดได้อีกกัน ?

เฮ้อซานเตาทำผิดเยี่ยงนั้นหรือ ?

ก่อนเริ่มศึกเขาได้รับปากกับทหารทุกนาย ในเมื่อทหารเหล่านั้นสามารถปกป้องเมืองนี้เอาไว้ได้ เขาก็ต้องทำตามสัญญา ซึ่งเขามิได้ผิดอันใด

แต่การนำเงินจากท้องพระคลังไปใช้เพื่อการส่วนตัว ผิดกฎของกองทัพอย่างร้ายแรง เขาฝ่าฝืนกฎหมายทางอาญาของกองทัพ

บัดนี้เขากำลังใช้วิธีการหลอกลวงเพื่อแย่งชิง ถือเป็นความผิดร้ายแรงของกองทัพเช่นกัน ดังนั้นคนผู้นี้จึงมิใช่เจ้าแห่งสันติภาพแต่อย่างใด !

“เจ้ามิได้เอ่ยว่าทุกคนต่างก็เป็นคุณชายเศรษฐีที่ดินหรอกหรือ เจ้ากลัวเขาถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? ”

เฮ้อซานเตาหัวเราะอย่างขัดเขิน “เศรษฐีที่ดินเยี่ยงเขา…สุดท้ายแล้วก็ยิ่งใหญ่กว่าข้ามากโข เสี่ยวถัง…ข้าลองมองดูแล้ว องค์หญิงของราชวงศ์เหลียวบางคนก็ดูมิเลวนะ เจ้าลองใคร่ครวญเรื่องการรับอนุสักหน่อยดีหรือไม่ ? ”

“ไสหัวไป… ! ” ทันใดนั้นถังเชียนจวินก็ยกยิ้มขึ้นมา “ท่านแม่ทัพ ในเมื่อท่านรู้สึกต้องตา เช่นนั้นท่านก็รับพวกนางไปเป็นอนุสักสองคนดีหรือไม่ ? ”

เฮ้อซานเตาขบเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่น “ข้าเองก็คิดเช่นกัน เฮ้อ…ที่จวนมีแม่เสืออยู่ ไร้โชคได้เสวยสุขเฉกเช่นคนอื่นเขา ช่างเถิด ๆ หนิงหยู่ชุนจะมาถึงเมื่อใด ? บัดนี้ฝ่าบาทอยู่ที่ใดแล้ว ? ”

“หนิงหยู่ชุนจะมาถึงในวันพรุ่งนี้ ส่วนฝ่าบาท…ฝ่าบาททรงประพาสไปยังซีเซี่ย”

“ซีเซี่ยมีอันใดให้น่าสนุกกัน ? ”

“มิทราบ ! ทว่ากรมกลาโหมได้ถ่ายทอดคำสั่งออกมาแล้ว พวกเราหน่วยนาวิกโยธิน จะต้องถอยกลับไปยังเซี่ยเย๋ในวันพรุ่งนี้”

ดวงตาของเฮ้อซานเตาเป็นประกายขึ้นมาทันใด “ฮ่า ๆ ๆ ดี ๆ ๆ รีบหนีกันเถิด”

“ไอหยา…ประเดี๋ยวเจ้าจงนำคนมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นให้ไปริบทรัพย์ที่คฤหาสน์ขององค์ชายห้ามา ในส่วนนี้…พวกเราต้องนำกลับไป ! ”