ตอนที่ 1070 ตระหนักหวงแหน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 1070 ตระหนักหวงแหน

“พ่อแม่พี่น้องหนังสือพิมพ์จ้าหนังสือพิมพ์ หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ต้าเซี่ย ! ”

“ข่าวสารใหม่ ๆ สด ๆ ร้อน ๆ เพิ่งออกจากเตา ราชวงศ์เหลียวล่มสลายแล้ว ต้าเซี่ยมีมณฑลหยวนเป่ยเต้าเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแห่ง….”

ณ เมืองกวนหยุน เมื่อหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ถูกตีพิมพ์ออกมา เพียงแค่ครู่เดียวก็ถูกซื้อจนหมดเกลี้ยง

“หลี่เชว่ซือ เจ้าอ่านหนังสือมิออกมิใช่หรือแล้วเจ้าจะซื้อหนังสือพิมพ์ไปอันใดกัน ? ”

“จ้าวจวี่เหริน เจ้าคิดว่าตนเองเป็นจวี่เหรินแล้วยิ่งใหญ่มากหรือเยี่ยงไรกัน ? วิชาความรู้ที่เจ้าเรียนมาไปอยู่ที่ใดหมดแล้วเล่า ? เรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ข้าจะซื้อมาเก็บเอาไว้มิได้หรือเยี่ยงไรกัน ? ”

“เอาเถิด ๆ เจ้าจะให้ข้ายืมอ่านสักหน่อยได้หรือไม่ ? ”

“ฮึ ! ไสหัวไป ! นี่คือข่าวที่ฝ่าบาทของพวกเราได้ขยับขยายอาณาเขตให้กว้างขวางขึ้น ข้าจะนำกลับไปให้ลูกหลานของข้าได้ดู ! ”

จ้าวเจิ้งหรือจ้าวจวี่เหรินรู้สึกอึดอัดใจมากยิ่งนัก เขาเดินทางมาที่เมืองกวนหยุนก็เพื่อจะเข้าร่วมการสอบชิวเหวยในปีนี้ และในวันนี้เขากำลังเตรียมตัวจะเดินทางออกไปพบกับสหายคนอื่น ๆ คาดมิถึงว่าจะได้ยินข่าวคราวอันน่าตกตะลึงที่ว่าต้าเซี่ยเข้ายึดครองราชวงศ์เหลียวได้สำเร็จแล้วเสียก่อน แน่นอนว่าเขาอยากจะซื้อหนังสือพิมพ์ฉบับนี้มาอ่านสักหน่อย แต่ก็คาดมิถึงเช่นกันว่าหนังสือพิมพ์ฉบับนี้จะถูกซื้อไปจนหมดอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้นก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาตบบ่าเขาพลางเอ่ยว่า “ข้ามีหนังสือพิมพ์หนึ่งฉบับ หากเจ้าพอมีเวลาว่าง สู้พวกเราไปหาโรงน้ำชาแล้วนั่งอ่านด้วยกันมิดีกว่าหรือ ? ”

จ้าวเจิ้งรู้สึกยินดีมากยิ่งนัก เขายกมือขึ้นคารวะพลางเอ่ยถามว่า “ท่านมีนามว่าเยี่ยงไร ? ”

“อืม…ข้าซือหม่าเทา แล้วท่านเล่ามีนามว่าเยี่ยงไร ? ”

“ข้ามีนามว่าจ้าวเจิ้ง มาจากเขตซื่อหยาง มณฑลเป่ยเซียวเต้า… ท่านซือหม่า มิทราบว่าท่านคือคนในตระกูลซือหม่าแห่งหยิงชิวใช่หรือไม่ ? ”

“ฮ่า ๆ ใช่ ! ข้าและสหายอีกสองสามคนนัดหมายกันว่า ในวันนี้จะไปรวมตัวกันที่โรงน้ำชาชีเยวี่ย หากท่านพอจะมีเวลาว่างและสะดวกล่ะก็…”

“ว่างสิ ! ข้าสะดวกมากยิ่งนัก ! เช่นนั้นคงต้องรบกวนท่านซือหม่าด้วย ! ”

ต้าเซี่ยในปัจจุบันนี้ ตระกูลซือหม่าแห่งหยิงชิวมีชื่อเสียงโด่งดังเทียมฟ้า !

อุตสาหกรรมการทอผ้าของตระกูลพวกเขา ยึดครองตลาดต้าเซี่ยถึงสามส่วน โรงงานของตระกูลซือหม่าเป็นโรงงานแรกที่นำเครื่องจักรไอน้ำที่ได้รับการปรับปรุงแล้วมาใช้ ว่ากันว่ากำลังการผลิตเพิ่มขึ้นถึงสี่เท่าเมื่อเทียบกับเครื่องทอผ้าก่อนหน้านี้ !

ปัจจุบันในรัฐเป่ยเซียวมีโรงงานอีกสามแห่งที่ตระกูลซือหม่าก่อตั้งขึ้น นั่นมิใช่โรงงานทอผ้าไหม แต่เป็นโรงงานเส้นฝ้าย

ซือหม่าเทาได้เชิญจ้าวเจิ้งขึ้นรถม้าของเขาไป พวกเขาเดินทางมาจนถึงโรงน้ำชาชีเยวี่ยที่ตั้งอยู่บนถนนใหญ่ส่าจิน ตรอกซอยนี้ที่ดินแพงยิ่งกว่าทองเสียอีก จ้าวเจิ้งมองไปยังโรงน้ำชาที่ถูกประดับประดาอย่างหรูหราพลางนึกสงสัยในใจว่า สถานที่แห่งนี้ผู้ใดเป็นเจ้าของกัน ?

ก่อตั้งโรงน้ำชาขึ้นที่นี่ จะได้กำไรเยี่ยงนั้นหรือ ?

เมื่อเดินเข้าไปถึงประตูทางเข้าโรงน้ำชาก็มีหญิงสาวต้อนรับหน้าตางดงามสองคนเดินเข้ามาทักทาย จ้าวเจิ้งมองเข้าไปด้านในพบว่ากว้างขวางมากยิ่งนัก มีทั้งภูเขาจำลอง สระบัว และศาลาพักพิง ต้นไม้และดอกไม้นานาพันธ์ประดับตกแต่งอย่างงดงาม มีเสียงของใบไผ่เสียดสีกันเบา ๆ ทำให้บรรยากาศดูสงบมากยิ่งนัก

ลานกว้างเช่นนี้ อีกทั้งยังตั้งอยู่บนถนนใหญ่ส่าจิน…นี่จะเป็นจำนวนเงินเท่าใดกัน ?

ในขณะที่จ้าวเจิ้งกำลังตกตะลึงอยู่นั้น หญิงสาวต้อนรับคนหนึ่งก็ได้เอ่ยคำทักทายขึ้นมาว่า “คุณชายซือหม่าเจ้าคะ คุณหนูได้จัดเตรียมห้องจุ้ยหวินเอาไว้ให้ท่านแล้ว เมื่อสักครู่ท่านบุตรเขยได้พาคุณชายหวางซุนและคนอื่น ๆ เข้าไปด้านในแล้ว เชิญคุณชายตามข้ามาเจ้าค่ะ”

น้ำเสียงอ่อนโยนดุจนกขมิ้น ชี้ให้เห็นว่าแม่นางผู้นี้ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี โรงน้ำชานี้ผู้ใดเป็นเจ้าของกันแน่ ?

จ้าวเจิ้งรู้สึกสงสัยมากยิ่งนัก เขาเดินตามซือหม่าเทาและแม่นางผู้นั้นขึ้นไปที่ชั้นสอง พอมาถึงห้องส่วนตัวอันงดงาม ที่ชื่อว่าห้องจุ้ยหวิน

แม่นางผู้นั้นก็ได้เคาะประตูเบา ๆ จากนั้นก็ผลักเข้าไปอย่างช้า ๆ พลางผายมือออกมาแล้วเอ่ยว่า “เชิญคุณชายทั้งสองด้านในเลยเจ้าคะ”

พอเดินเข้าไปด้านในจ้าวเจิ้งก็ได้ยินเสียงหัวเราะแจ่มใสดังออกมา “ฮ่า ๆ ๆ ซือหม่าเทา เจ้ามาสาย อ่า…คุณชายผู้นี้คือผู้ใดกัน ? เชิญเข้ามาด้านในก่อน ! ”

ซือหม่าเทายกมือขึ้นคารวะแล้วเอ่ยว่า “พี่เฉาเฟิงและสหายทุกท่าน บัดนี้เพิ่งจะยามเฉินเท่านั้น ข้าได้ไปยังหอซื่อฟางตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อจองโต๊ะเอาไว้หนึ่งโต๊ะ จากนั้นก็ได้แย่งซื้อหนังสือพิมพ์มาหนึ่งฉบับ…”

ในขณะที่เขากำลังเอ่ยก็ได้หยิบหนังสือพิมพ์ออกมาโบกไปมา “ข่าวในวันนี้เกรงว่าพวกเจ้ายังมิรู้เป็นแน่ อ้อ ! สหายผู้นี้นามว่าจ้าวเจิ้ง ข้าได้รู้จักกับเขาตอนที่ซื้อหนังสือพิมพ์ ดูถูกชะตายิ่งนัก จึงได้เชิญเขามาร่วมงานเลี้ยงน้ำชาด้วย แล้วพี่สะใภ้เล่า ? ”

ชายผู้นั้นก็คือหวังเฉาเฟิง บุตรชายของหวังเสี่ยวจงเจ้าของร้านจิ่นซิ่วในอดีตว่อเฟิงเต้า

และพี่สะใภ้ที่ซือหม่าเทาเอ่ยถึงก็คือเจ้าของหอน้ำชานี้ บุตรีของเถ้าแก่จังเหวินฮุยนามว่าจังชีเยวี่ย อดีตเจ้าของหอเสียงไท่แห่งว่อเฟิงเต้านั่นเอง

“ชีเยวี่ยเดินทางไปทำธุระในวังเล็กน้อย ประเดี๋ยวก็คงกลับมา มาเถิด ๆ พี่จ้าว เชิญด้านในก่อน ! ”

เมื่อจ้าวเจิ้งเห็นสถานการณ์เยี่ยงนี้ สมองของเขาก็เข้าใจได้ทันทีว่าเยาวชนเหล่านี้ คาดว่าจะเป็นคุณชายของตระกูลพ่อค้าใหญ่ เขาถึงได้ยกมือทั้งสองข้างขึ้นคารวะด้วยกิริยาท่าทางจริงจัง

“พี่น้องทุกท่าน ข้ามีนามว่าจ้าวเจิ้ง มาจากเขตซื่อหยาง มณฑลเป่ยเซียว ยินดีที่ได้รู้จักทุกท่าน”

“มิต้องเกรงอกเกรงใจพวกเราหรอก มาเถิด ๆ เชิญนั่ง” ซือหม่าเทาเดินนำจ้าวเจิ้งเข้าไปนั่งที่ หยูซิ๋งเจี่ยนเอ่ยถามขึ้นมาว่า “เจ้าได้เชิญหยุนซีเหยียนมาด้วยหรือไม่ ? ”

หวังฉาวเฟิงต้มชาพลางส่ายหน้าเบา ๆ “ข้าได้พยายามเกลี้ยกล่อมเขาอยู่พักใหญ่ ทว่าเขามิอาจปลีกตัวออกมาได้เนื่องจากมีธุระมากมายต้องจัดการ เดิมทีเมื่อวานนี้ได้ตกลงกันแล้วว่าพวกเราทุกคนจะมารวมตัวกันที่นี่ในวันนี้ ผลปรากฏว่าตั้งแต่เช้าตรู่ พ่อบ้านของเขาก็ได้เดินทางมาส่งข่าวให้แก่ข้า”

“เอ่ยว่าหยุนซีเหยียนได้เดินทางออกจากเมืองกวนหยุนไปตั้งแต่เช้าตรู่ ซึ่งเขามุ่งหน้าไปทางหยวนเป่ยเต้า…”

หวางซุนอู๋หยาชะงักงันขึ้นมาทันใด “หมายความว่าราชวงศ์เหลียวถูกล้มล้างแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“แน่นอน ! ฝ่าบาทได้เปลี่ยนชื่อเป็นหยวนเป่ยเต้าเรียบร้อยแล้วด้วย เพียงแต่เรื่องนี้… จริงสิ ! ท่านซือหม่ามีหนังสือพิมพ์ต้าเซี่ยอยู่ในมือมิใช่หรือ ? มา ๆ ๆ ในเมื่อได้ตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์แล้ว เรื่องนี้พวกเราจะพลาดมิได้เป็นอันขาด เอามาให้ข้าอ่านสักหน่อยเถิด ! ”

“อย่าแย่งกันสิ ! ข้าจะอ่านให้พวกเจ้าฟังเอง เจ้าจงตั้งใจต้มชาไปเถิด อย่าทำให้เสียของ ! ”

“ทุกท่านจงฟังให้ดี ! ” ซือหม่าเทายกแขนเสื้อขึ้น จากนั้นก็กระแอมออกมาสองสามครา สีหน้าของเขาดูจริงจังเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นก็หยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาราวกับกำลังจะประกาศพระราชโองการอย่างไรอย่างนั้น

“รัชสมัยต้าเซี่ยที่หนึ่ง เดือนหกวันที่สาม กองนาวิกโยธินแห่งต้าเซี่ยจำนวน 20,000 นายภายใต้บัญชาของท่านแม่ทัพเฮ้อซานเตาเข้าบุกโจมตีเมืองต้าติ้งแห่งราชวงศ์เหลียว สงครามนี้…เอาชนะได้ในคราเดียว กองนาวิกโยธินได้เข้าควบคุมพระราชวังของราชวงศ์เหลียวรวมไปถึงขุนนางอีก 1,000 คน ธงดาบเทวะแห่งต้าเซี่ยได้โบกสะบัดพัดปลิวอยู่ในเมืองต้าติ้งอย่างสง่างาม…”

“รัชสมัยต้าเซี่ยที่หนึ่ง เดือนหก วันที่ห้า กองทัพอสนีบาตของราชวงศ์เหลียวจำนวน 450,000 นายได้เดินทางมายังเมืองต้าติ้ง แม่ทัพเฮ้อซานเตาได้นำกองนาวิกโยธินจำนวน 20,000 นายและทหารของราชวงศ์เหลียวจำนวน 300,000 นาย เข้าคุ้มกันกำแพงเมืองอย่างสุดกำลัง”

“เหล่าทหารทั้งหลายได้สละชีวิตและเลือดเนื้อของตนเพื่อปกป้องกำแพงเมืองต้าติ้งเอาไว้มิให้ล้มลง ทหารผู้กล้าเหล่านั้น ได้โจมตีทหารฝ่ายศัตรูที่บุกเข้ามานับครามิถ้วน ท้ายที่สุดกำแพงเมืองต้าติ้งก็เต็มไปด้วยซากศพกองโตราวกับภูเขาและทะเลเลือด…”

“รัชสมัยต้าเซี่ยที่หนึ่ง เดือนหกวันที่หก กองทัพเรือแห่งต้าเซี่ยกองที่หนึ่ง ซึ่งบัญชาการโดยจั่วมู่เดินทางไปถึงสนามรบ จึงเข้าสนับสนุนและโจมตีกองทัพอสนีบาตทันที กองนาวิกโยธินของเฮ้อซานเตาได้เดินทางออกจากรั้วกำแพงเมืองไปร่วมรบ เวลาผ่านไปเพียง 1 ชั่วยาม กองทัพฝ่ายศัตรูก็พ่ายแพ้อย่างราบคาบ…”

“นี่คือสงครามที่ทุกคนกำลังจับตามอง ทว่าในความจริงเป็นแล้ว ก่อนที่สงครามจะเริ่มต้นขึ้น ได้เกิดเรื่องราวที่น่าเศร้าโศกมากยิ่งนัก โปรดติดตามฉบับต่อไปในหัวข้อ…วิญญาณกองทัพไร้พ่าย วีรบุรุษผู้กล้าหาญ ทหารม้า 5,000 นายบุกเข้าโจมตีกองทัพของศัตรู 300,000 นาย วีรบุรุษทั้งหลายสังหารทหารฝ่ายศัตรูได้มากถึง 100,000 นายและสามารถกุมตัวองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์เหลียวเอาไว้ได้ ! ”

เมื่อซือหม่าเทาวางหนังสือพิมพ์ลง ทุกคนล้วนนิ่งเงียบราวกับกำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์

นี่คือสงครามที่ทั้งสูญสิ้นและเศร้าโศก !

นี่มิใช่สิ่งที่พวกเขาทั้งหลายซึ่งดำรงชีวิตอยู่ในสถานการณ์ปกติจะจินตนาการออกมาได้

ผ่านไปเนิ่นนานเลยทีเดียว ในที่สุดหวังฉาวเฟิงก็ได้ถอนหายใจออกมาอย่างยืดยาว “กว่าจะเป็นต้าเซี่ยในปัจจุบันนี้ได้มิง่ายเลย… ดังนั้นพวกเราทุกคนควรจะตระหนักหวงแหนและให้ความสำคัญกับต้าเซี่ยให้มาก ๆ ! ”