บทที่ 509.2 แม่นางน้อยคนดี

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ท่ามกลางแสงดาบเงากระบี่ ประลองกลอุบายปัดแข้งปัดขาอยู่กับพวกคนที่มองกันและกันเป็นศัตรูคู่แค้น ปราณสังหารไหลเวียนวนอยู่ในถ้วยบนโต๊ะสุรา ล้วนถือเป็นการฝึกตน

ส่วนภาพเหตุการณ์ประหลาดแปลกใหม่ที่เกิดขึ้นในแคว้นไหวหวงแคว้นเล็กๆ ทางเหนือแห่งนี้ การที่อยู่ดีๆ ปีศาจก็เพิ่มพรวดขึ้นมา ก็มีความเกี่ยวข้องกับปราณวิญญาณที่ไหลทะลักจากด้านนอกมายังอาณาเขตของหลายสิบแคว้นเช่นกัน ไม่มีบ่อสายฟ้าที่สยบหมื่นสรรพสิ่งนั้นอยู่ แน่นอนว่าพวกมันต้องลิงโลด หลังจากการจำศีลในฤดูหนาวผ่านพ้นไป ทั้งงูและแมลงล้วนพากันกระเหี้ยนกระหือรืออยากแหวกดินออกมา

เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันกับผู้ฝึกตนเบื้องหลังซึ่งเป็นยอดฝีมือของแคว้นเมิ่งเหลียงกับคนที่มีนามว่าเซี่ยเจินนี้ ตอนนี้ยังไม่ถือว่าแตกหักกันอย่างสิ้นเชิง เหนือโอสถทองขึ้นไป ก่อกำเนิดยังพูดได้ง่าย จะตีกันหรือไม่ก็ยังหนีได้ แต่ขอแค่มีคนหนึ่งเป็นขอบเขตหยกดิบ ไม่จำเป็นต้องทั้งสองคน สำหรับตนก็ถือเป็นปัญหาใหญ่เทียมฟ้าแล้ว เฉินผิงอันไม่มีฟ้าอำนวยดินอวยพรหรือคนสามัคคีใดๆ เลย หากอีกฝ่ายคิดจะสังหารตนโดยไม่สนค่าตอบแทนจริงๆ ด้วยนิสัยของผู้ฝึกตนอุตรกุรุทวีปแล้ว ย่อมไม่มีความลังเลอย่างแน่นอน อยู่ในอุตรกุรุทวีปที่เซียนกระบี่เป็นข้อยกเว้นแห่งนี้ ผู้ฝึกตนต่างถิ่นที่เบื้องหลังมีที่พึ่งตายไปอย่างกะทันหันไม่ได้มีแค่คนสองคนแล้ว

ไม่อย่างนั้นด้วยปราณวิญญาณที่เหมือนกระแสน้ำขึ้นไหลทวนสู่ตอนบนของแม่น้ำลำคลองนี้ หากเฉินผิงอันมีใจอำมหิตเสียหน่อย ก็สามารถใช้หยกของอริยะแผ่นนั้นมาเก็บรวบรวมเป็นของตัวเองได้เลย เพียงแต่ว่าข้ามทวีปมาใช้แผ่นหยกที่แม้แต่หลิวเหล่าเฉิงแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนก็ยังหวาดกลัวแผ่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใช้อยู่ในกุรุทวีป จะกลายเป็นภาพเหตุการณ์ที่แตกต่างออกไป เพราะมีข้อต้องห้ามอยู่มาก ไม่แน่ว่าอาจทำให้สำนักศึกษาทั้งทวีปรู้สึกอคติและตำหนิเอาโทษ

คนเบื้องหลังสองคน เมื่อเทียบกับเซี่ยเจินแล้ว เฉินผิงอันกริ่งเกรงผู้ฝึกตนใหญ่ที่มีความเกี่ยวข้องกับแคว้นเมิ่งเหลียงคนนั้นมากกว่า อีกฝ่ายวางแผนการทุกก้าวย่างด้วยความระมัดระวัง ไม่จำเป็นต้องให้คนผู้นั้นลงมือเองแม้แต่น้อย เพียงแค่ส่งลูกน้องมาสองคนก็ได้รับสมบัติหนักของเมืองสุยเจี้ยชิ้นนั้นไปครอง ถึงท้ายที่สุดหากไม่เป็นเพราะตนฝ่าค่ายกลบุกเข้าไปในวังมังกรของทะเลสาบชางอวิ๋น ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่จงใจทำตัวเป็นหลานในกลุ่มของผู้ฝึกลมปราณแคว้นเมิ่งเหลียงคนนั้นก็ต้องยังอำพรางตนต่อไปแน่

ได้เห็นตู้อวี๋เพียงคนเดียวก็พอจะรู้สถานการณ์ของตำหนักขวานผีคร่าวๆ เห็นเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีและฮูหยินแห่งคูน้ำเสาซีก็พอจะเข้าใจขนบธรรมเนียมของทะเลสาบชางอวิ๋นได้พอประมาณ เห็นเยี่ยนชิงก็รู้สภาพการณ์ของดินแดนเซียนเป่าต้ง เห็นเหอลู่ก็รู้ถึงพฤติการณ์ของนครหวงเยว่ ล้วนเป็นหลักการเดียวกันนี้ทั้งสิ้น แน่นอนว่าอาจมีส่วนที่ผิดพลาดไปบ้าง แต่ขอแค่อยู่ด้วยกันนานวันเข้า ได้เห็นผู้ฝึกตนมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะยิ่งขยับเข้าใกล้เรื่องจริงและความจริงมากขึ้น หนึ่งในหมื่นนั้นก็จะเล็กลงตามไปด้วย บางครั้งยังพอจะมองหนึ่งส่วนก็เห็นภาพทั้งหมด นี่คือพูดถึงเทพอภิบาลเมืองประจำศาลของเมืองสุยเจี้ย ฟ่านเหวยหรานและเย่หาน เพราะว่าพวกเขาล้วนเป็นผู้นำของสถานที่หนึ่ง ขนบธรรมเนียมประจำบ้านเป็นอย่างไร ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นพวกเขาที่เป็นผู้ตัดสินใจ

หนึ่งมองขึ้น หนึ่งมองลง สองอย่างรวมกันก็เหมือนหัวและท้ายสองด้านของเส้นเส้นหนึ่ง หากถูกคนจับปลายทั้งสองด้านขึ้นมา ต่อให้เจ้าจะซุกซ่อนเส้นสายนั้นไว้ได้ยาวเป็นพันลี้ก็ยังยากจะหลบพ้นสายตาของคนผู้นั้นไปได้อยู่ดี

วิถีทางโลกซับซ้อน หากอยากจะใช้ชีวิตได้อย่างผ่อนคลาย ถ้าไม่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาใช้ชีวิตของตัวเองไป เสวยสุขหรือประสบทุกข์ก็ล้วนยอมรับชะตากรรม ก็ต้องได้แต่มองให้มากคิดให้มาก ทว่าอย่างหลังนี้กลับเหนื่อยกายเหนื่อยใจ ภูเขาลูกหนึ่งมักจะสูงกว่าอีกลูกเสมอ ต่อให้เป็นอริยะของแต่ละฝ่ายที่เฝ้าพิทักษ์ฟ้าดินขนาดเล็กเหมือนเทวดาของแต่ละที่ ขอแค่วันใดเดินออกมาจากฟ้าดินขนาดเล็กที่เป็นบ้านของตัวเองก็ต้องเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ไปอาศัยอยู่ใต้ชายคาของคนอื่นอยู่ดี เพราะยังคงต้องทอดสายตามองไปยังเส้นสายมากมายและกฎเกณฑ์ยิบย่อยในโลกมนุษย์

การใช้เหตุผล อาจไม่มีประโยชน์เสมอไป

การเข้าใจกฎเกณฑ์ ย่อมไม่ใช่เรื่องร้ายอย่างแน่นอน

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบมีเหตุผลหรือไม่? แต่เขากลับเข้าใจหลักการการหากฎเกณฑ์ของผู้อื่น คว้าจับเส้นสายในการกระทำของเฉินผิงอันไว้ได้ ดังนั้นเหนือทะเลสาบชางอวิ๋นถึงได้มีเมฆมืดทะมึนหนาชั้นแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ เฉินผิงอันจึงไม่กล้าฆ่าเขา ด้วยกลัวว่าน้ำในหนึ่งทะเลสาบสามลำคลองและสองคูจะไหลทะลัก เกิดน้ำท่วมกลายเป็นภัยพิบัติสำหรับชาวบ้านที่บริสุทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วน ตอนอยู่ในวังมังกร เขาไม่ได้สมควรตายน้อยไปกว่าเย่หานหรือฟ่านเหวยหรานเลย แต่เขาเป็นฝ่ายให้คำสัญญาด้วยตัวเองว่าในอนาคตยินดีจะปกป้องปวงประชาในอาณาเขต ชดเชยซ่อมแซมชะตาแห่งภูเขาแม่น้ำ ทำความดีชดใช้ความผิด ดังนั้นไม่ว่าจะหนึ่งหมัดหรือหนึ่งกระบี่ของเซียนกระบี่ชุดเขียวก็ล้วนไม่ได้ร่วงใส่หัวเขา

จากนั้นนักเล่านิทานกับลูกศิษย์ของเขาก็สวาปามกินอาหารกันอย่างหิวโหย

เฉินผิงอันเพียงแค่ดื่มเหล้าในถ้วยตัวเองไปช้าๆ ไม่ได้ขยับตะเกียบมาตั้งแต่แรก

นักเล่านิทานส่งเสียงเรอดังเอิ้ก ก่อนจะยิ้มแต้เอ่ยว่า “คุณชายไม่กินอะไรเลยสักคำ เอาแต่ดื่มเหล้าอย่างเดียว ไม่หิวเลยหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่หิวจริงๆ แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้ารู้สึกว่าอาหารมื้อนี้สมควรเป็นของท่านผู้เฒ่า”

ผู้เฒ่ากล่าวอย่างจนใจ “เหตุใดข้าถึงได้รู้สึกว่าคำพูดของคุณชายเหมือนลาหัวโล้นที่ท่องพระคัมภีร์ ทำให้คนฟังไม่เข้าใจเอาเสียเลย”

เฉินผิงอันถาม “ท่านผู้เฒ่าจะผ่านด่านไปที่เมืองอิ๋นผิงเมื่อไหร่หรือ?”

ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “จะไปเดี๋ยวนี้เลย กินดื่มอิ่มหนำแล้ว ใช่แล้ว ข้าเรียนวิชาการดูรูปลักษณ์มาบ้าง คุณชายเลี้ยงข้าวข้ามื้อนี้ ไม่อย่างนั้นก็ให้ข้าช่วยดูดวงแทนคุณชายดีไหม? คุณชายวางใจเถอะ ไม่เก็บเงินแน่นอน”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนท่านผู้เฒ่าแล้ว”

ผู้เฒ่าหยิบเหรียญทองแดงสองสามเหรียญที่ได้มาก่อนหน้านี้ออกมาจากชายแขนเสื้อ แล้วจึงโยนลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ลูบหนวดใช้ความคิด เงียบงันไปครู่ใหญ่

เฉินผิงอันเพียงยิ้มไม่เอ่ยอะไร

ผู้เฒ่าใช้นิ้วขยับเหรียญทองแดงบนโต๊ะเบาๆ ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “คุณชายมีจิตใจที่ดีงาม คือคนที่มีโชควาสนาลึกล้ำ แต่ก็ต้องจำไว้ว่า คนมีโชคไม่ไปเยือนสถานที่อับโชค คำพูดเก่าแก่โบราณไม่ใช่แค่คำพูดจากปากเปล่าไร้หลักฐาน คนฟังไม่ควรมองข้าม ข้าว่าคุณชายเดินทางมาเที่ยวแคว้นไหวหวงทางทิศเหนือครั้งนี้ สามารถไปได้ทุกที่ มีเพียงภูเขาจี้หวนที่อยู่ห่างไปข้างหน้าร้อยกว่าลี้เท่านั้นที่ไม่ควรไป สำหรับคุณชายแล้ว ที่นั่นก็คือสถานที่อับโชค ไปเยือนอาจไม่ได้มีอันตรายใหญ่หลวงอะไรเสมอไป แต่หากเจอพวกคนชั่วมาขวางทางเข้าจริงๆ เกิดปัญหาแทรกซ้อนขึ้นมา ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องดี”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตกลง ข้าจะเชื่อท่านผู้เฒ่า จะอ้อมผ่านภูเขาจี้หวนไป”

ผู้เฒ่าเงยหน้า “คุณชายเชื่อจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คำพูดของคนเฒ่าคนแก่ จะไม่เชื่อได้อย่างไร ถึงอย่างไรการเดินทางมาเยือนแคว้นไหวหวงครั้งนี้ แค่ต้องเดินอ้อมไกลไปไม่กี่ก้าวก็ไม่อาจนับเป็นอะไรได้”

ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืนพลางทอดถอนใจ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่รบกวนคุณชายแล้ว ขอตัวลาไปก่อน จะรีบออกจากด่าน เรื่องของการทำนายนี้เป็นการเปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ มักทำให้คนไม่เป็นสุขเสมอ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าดื่มเหล้ากานี้หมดก็จะเดินอ้อมขึ้นเหนือไปเหมือนกัน จะไม่ไปหาเรื่องซวยใส่ตัวที่ภูเขาจี้หวนเด็ดขาด”

ผู้เฒ่าจึงพาลูกศิษย์ที่เงียบขรึมออกไปจากหอปี้ซานด้วยกัน

เฉินผิงอันดื่มเหล้าอิ๋งฝูซึ่งเป็นเหล้าที่ผลิตในท้องถิ่นกานั้นหมด ตอนที่ลงจากหอไปคิดเงินก็ต้องอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้ายิ้มๆ เขาต้องจ่ายค่าอาหารพร้อมสุราไปถึงยี่สิบตำลึงเงินเต็มๆ ที่แท้ตอนที่นักเล่านิทานคนนั้นลงจากหอมาได้แอบเอาเหล้าหมักยี่สิบปีซึ่งเป็นสมบัติประจำหอปี้ซานไปด้วยสองกา บอกว่าเพื่อนที่นั่งอยู่ชั้นบนจะจ่ายเงินแทนเขาเอง เฉินผิงอันไม่ได้เก็บมาใส่ใจมากนัก เพราะว่าเขาไม่จำเป็นต้องคาดเดาสถานะของคนผู้นี้ให้มากความแล้ว เรื่องวุ่นวายใจลดน้อยลงไปเรื่องหนึ่ง ไม่ต้องแบ่งสมาธิจนถ่วงเวลาการฝึกตน ควักเงินแค่ไม่กี่สิบตำลึง ก็นับว่าคุ้มค่ามากแล้ว

สุดท้ายเฉินผิงอันก็เดินอ้อมภูเขาจี้หวนลูกนั้นไปจริงๆ ในภูเขามีน้ำตกหลายชั้น เดิมทีคือสถานที่ที่ธรรมชาติงดงามซึ่งเขาอยากจะไปเที่ยวชมดูสักครั้ง

……

กลางภูเขาจี้หวน

ในศาลาพักเท้าแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่กึ่งกลางภูเขา

บุรุษหนุ่มที่ตรงเอวมีเข็มขัดหยกเขียวรัดพันสีหน้าเขียวคล้ำ ข้างกายคือเย่หาน ฟ่านเหวยหรานและสตรีผู้เป็นบรรพจารย์รองของดินแดนเซียนเป่าต้ง

เขาก็คือเซี่ยเจินที่โชคดีรอดพ้นความตายมาได้

เซี่ยเจินคำรามอย่างเดือดดาล “เจ้าแก่ เหตุใดเจ้าถึงต้องทำลายการใหญ่ของข้า?! ข้าบอกกับเจ้าอย่างชัดเจนแล้วว่าได้ส่งจดหมายไปให้เซียนกระบี่ใหญ่ที่อยู่ภาคกลาง คนผู้นี้เป็นพวกเดียวกับเจียงซ่างเจิน ต่อให้เจียงซ่างเจินหลบอยู่ในมุมมืดก็ยังต้องอกสั่นขวัญผวา กริ่งเกรงหวาดกลัวอยู่ดี! คราวนี้เจ้าทำให้เหยื่อล่อตกใจหนีไป หากเซียนกระบี่ใหญ่โกรธกริ้วขึ้นมา เจ้าคิดว่าตัวเองหลอมเม็ดกระบี่ก่อนกำเนิดได้สำเร็จก็เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนแล้วจริงๆ งั้นหรือ?! เจ้าโง่หรือไร? ข้าให้คำสัตย์สาบานแล้วว่าอาวุธกึ่งเซียนเล่มนั้นจะเป็นของเจ้า ข้าแค่ต้องการของชิ้นอื่นๆ บนร่างเขา เจ้ายังไม่พอใจอีกหรือ?! หรือจะต้องให้พวกเราทั้งสองฝ่ายไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวอะไรมาเลยถึงจะมีความสุข?”

บนภูเขาลูกหนึ่งที่ห่างไปไกล ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งยิ้มบางๆ นักเล่านิทานและชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่สีหน้าเฉยชาปรากฎตัวอยู่ข้างกายเขา จากนั้นเรือนกายก็ทับซ้อนกันกลายเป็นคนคนเดียว

น่าจะเป็นวิชาตระกูลเซียนที่ให้ร่างจริงจิตหยางและจิตหยินออกจากช่องโพรงเดินทางไกลไปพร้อมกัน

ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “อย่าได้ใช้คำลวงแบบนี้มาขู่ให้ข้ากลัวเลย ด้วยนิสัยของเซียนกระบี่ใหญ่คนนั้น ต่อให้ได้รับจดหมายแล้วก็ยังดูแคลนที่จะทำเรื่องแบบนี้ นี่เจ้ายังคิดจะตกปลาอีก เจ้าคิดว่านี่เป็นแค่การตีกันเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเราหลายสิบแคว้นจริงๆ หรือ หากตีกันเล็กๆ น้อยๆ จริง ต้องเปลืองแรงขนาดนี้ไปทำไม?”

ผู้เฒ่าก็คือราชครูแห่งแคว้นเมิ่งเหลียง สองนิ้วของเขาคีบกระบี่บินส่งข่าวเล่มหนึ่งเอาไว้แล้วบีบมันให้แตกเบาๆ “แล้วนับประสากับที่เซียนกระบี่ไม่เคยได้รับจดหมายลับฉบับนี้ของเจ้า”

เซี่ยเจินสีหน้ามืดทะมึน โกรธจัดจนกลายเป็นขำ “นี่เจ้าคิดจะผูกปมแค้นกับข้าเซี่ยเจินอย่างนั้นรึ?!”

ราชครูเฒ่ายิ้มอ่อน “อาณาเขตของหลายสิบแคว้นนี้ ตอนนี้มีปราณวิญญาณเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย คือสถานที่แห่งหนึ่งที่ไม่ดีและไม่เลว เจ้าและข้าเป็นเพื่อนบ้านกันมานานหลายปี เจ้าเซี่ยเจินมีชื่อเสียงด้านการรับมือได้ยาก แม้จะบอกว่าตอนนี้รากฐานมหามรรคาเสียหาย แต่ข้าก็ยังไม่อาจฆ่าเจ้าได้ เจ้าคิดจะฆ่าข้าก็ยิ่งยาก พวกเราสองคนแข่งกันแค่ว่าใครจะเลื่อนขึ้นเป็นห้าขอบเขตบนได้ก่อน ดังนั้นเหตุใดข้าต้องทนมองดูเจ้าส่งข่าวไปถึงจวนตระกูลเซียนของผู้ฝึกกระบี่ใหญ่ที่อยู่ภาคกลางคนนั้น หากเซียนกระบี่ใหญ่เกลียดแค้นเจียงซ่างเจินมากอย่างแท้จริง จนถึงขั้นยอมลดตัวมาลงมือกับผู้ฝึกกระบี่เล็กๆ คนหนึ่ง ถึงเวลานั้นก็เท่ากับว่าเจ้าได้กอดขาใหญ่เอาไว้แล้ว หากคนเขาจดจำน้ำใจนี้ของเจ้าได้ขึ้นมา ในอนาคตต่อให้ข้าเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ ยังจะกล้ามาแย่งชิงเขตอิทธิพลหลายสิบแคว้นนี้กับเจ้าได้อย่างไร? เซี่ยเจิน น่าเสียดายนัก เจ้าร้อนใจจนเสียกระบวน ยอมลดความเร็วในการเขมือบกลืนปราณวิญญาณของชายแดน แต่ก็ต้องมาเสียเวลายี่สิบวันนำพาสุนัขสามตัวมาที่ภูเขาจี้หวนเพื่อจัดวางค่ายกลย้ายภูเขาอย่างประณีตบรรจงให้จงได้ แต่ถึงท้ายที่สุดแล้วดูเหมือนว่าจะไม่มีโอกาสได้นำมาใช้?”

เซี่ยเจินหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าเองก็อยู่ในนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ?”

ผู้เฒ่าแสร้งทำเป็นกระจ่างแจ้ง “ก็จริงนะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าตัวอ่อนเม็ดกระบี่ที่ข้าหลอมเล็กสำเร็จแล้วนี้ ยามที่เจอกับค่ายกลย้ายภูเขาของเจ้า พลังสังหารของใครจะมากกว่ากัน หรืออานุภาพของใครจะยิ่งใหญ่กว่า ระหว่างเจ้าและข้าไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องเปิดฉากต่อสู้กัน หากเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิดไว้ก็ถือว่าประหยัดเวลาไป ตอนนี้ไม่ใช่อย่างในอดีตที่เจ้าแข็งแกร่งข้าอ่อนแออีกแล้ว ลมและน้ำหมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน แม้แต่สถานการณ์เล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้เจ้าเซี่ยเจินก็ยังมองไม่ออกหรือ?”

ราชครูแคว้นเมิ่งเหลียงท่านนี้ส่ายหน้ายิ้ม “แต่ก็ไม่ใช่ว่าข้าดูแคลนเจ้าเซี่ยเจินหรอกนะ ค่ายกลนี้สามารถทำร้ายเขาได้ก็จริง แต่ไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถกักตัวเขาไว้ได้ ข้าที่มาที่นี่ก็เพื่อช่วยเจ้ารั้งม้าหยุดริมหน้าผา *(เปรียบเปรยว่าหยุดกระทำที่ดึงดันได้ทันเวลา ไม่ให้สายเกินแก้)*เจ้าเซี่ยเจินไม่ควรเห็นความหวังดีของข้าเป็นประสงค์ร้ายเช่นนี้ อาศัยจดหมายลับฉบับหนึ่งที่ไม่รู้ว่าจะกลายเป็นวัวดินปั้นจมลงสู่มหาสมุทรหรือไม่ ก็กล้าเล่นลูกไม้พินาศวอดวายทั้งสองฝ่ายอะไรนั่นกับเจียงซ่างเจิน ข่าวคราวตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมานี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าสืบสาวเบาะแสมาพบ การข่าวของข้าจึงติดขัดไม่ว่องไวเหมือนเจ้า แต่เรื่องเก่าก่อนในอดีตข้ากลับรู้มากกว่าเจ้าเซี่ยเจิน หากเจ้าส่งจดหมายลับไปให้เซียนกระบี่ใหญ่ที่อยู่ทางเหนือ ข้าก็ไม่มีทางขวางกระบี่บินเล่มนี้หรอก”

ผู้เฒ่ากลั้นยิ้ม มองไปทางเซี่ยเจินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยแววดูแคลนและเวทนา “เพราะนั่นคือเซียนกระบี่ที่เป็นบุรุษคนหนึ่ง บุตรสาวคนเดียวที่เขารักทะนุถนอมถูกเจียงซ่างเจินทำร้าย ถ่วงเวลาบนมหามรรคา ยามฆ่าเจียงซ่างเจินย่อมไม่กักเก็บพลังไว้อย่างแน่นอน แต่ท่านที่เจ้าส่งจดหมายไปให้ นางเป็นสตรีนี่นา ดูท่าเจ้าคงไม่ค่อยรู้แน่ชัดว่าบุญคุณความแค้นระหว่างนางกับเจียงซ่างเจินในปีนั้น ที่นางแค้น หาใช่ว่านางเสียใจที่ตัวเองไปหลงรักเจียงซ่างเจินอย่างที่โลกภายนอกเล่าลือกันไม่ แต่เป็นเพราะนางเคียดแค้นที่คนผู้นี้มากรักหลายใจ ไปที่ไหนก็เด็ดดอมบุปผาไปทั่ว หากเจอหน้ากันจริงๆ เจียงซ่างเจินใช้ปากนั้นของเขาพูดจาเกลี้ยกล่อมกรอกน้ำแกงลวงใจให้นางสักสองสามคำ ถึงเวลานั้นเจ้าไม่กลัวหรือว่าเซียนกระบี่หญิงผู้นั้นจะแว้งกลับมาประทานกระบี่ให้ข้าและเจ้าเป็นรางวัลคนละที? ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าเจ้าเซี่ยเจินไม่ถือว่าเป็นพันธมิตรที่ดีอะไรเลยจริงๆ หากปีนั้นคนหนุ่มผู้นั้นตบะสูงสักหน่อย เป็นก่อกำเนิดเหมือนกับพวกเรา ไม่แน่ว่าข้าอาจร่วมมือกับเขาสังหารเจ้าแล้วก็ได้ ส่วนตอนนี้น่ะหรือ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ข้าเองก็ไม่คิดจะสู้สุดชีวิตกับเจ้า เผาผลาญตบะโดยไม่จำเป็น เจ้าเองก็ค่อยๆ ดูดซับปราณวิญญาณให้ฟื้นคืนกลับมาเถอะ ช้าไปหนึ่งก้าวก็ช้าเสียทุกก้าว ตามการอนุมานของข้าในปีนั้น คอขวดก่อกำเนิดของเจ้า เดิมทีก็ต้องมาถึงช้ากว่าข้าหกสิบปีอยู่แล้ว ตอนนี้ดูท่าแล้ว อันที่จริงจิตแห่งเต๋าของเจ้ายังไม่มั่นคง เมื่อมาถึงขอบเขตของเจ้าและข้านี้ หากยังทำตัวเหมือนผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่ว่าเรื่องใดก็อยากยึดเอาความได้เปรียบทั้งหมดไปครองอย่างในอดีต ย่อมต้องเจอกับความยากลำบากอย่างสุดแสน”

ศาลาที่เซี่ยเจินยืนอยู่พลันระเบิดเป็นผุยผง เย่หาน ฟ่านเหวยหรานและบรรพจารย์รองของดินแดนเซียนเป่าต้งล้วนถูกบีบให้ต้องพุ่งตัวออกมา ทะยานลมหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ สีหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ

—–