ผู้เฒ่าแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น “จะดีจะชั่วเจ้ากับข้าก็เคยเป็นพันธมิตรกันมาครั้งหนึ่ง แม้จะบอกว่าข้าปิดบังชื่อแซ่อยู่ในแคว้นเมิ่งเหลียง แรกเริ่มนั้นมีแผนการอยู่จริง แต่เมื่อผ่านประสบการณ์สัมผัสกับโลกีย์วิสัยกลับมีประโยชน์ต่อจิตเต๋าของข้าอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงสามารถกดข่มเจ้าได้ในทุกๆ เรื่อง ได้กำไรมากกว่าเจ้าเสมอ เจ้าคิดว่าเป็นเพียงแค่แผนการเล่นงานอย่างหนึ่งเท่านั้นหรือ? ไม่ใช่เลย แต่เป็นเพราะข้าคว้าจับโอกาสที่จะผสานมรรคาก่อกำเนิดก่อนเจ้ามาได้แล้ว หากเจียงซ่างเจินเป็นสหายของคนผู้นั้นจริง มีหรือจะจงใจทิ้งภัยร้ายเอาไว้เบื้องหลัง เว้นเสียแต่ว่าจะมองการณ์ไกลไปยิ่งกว่าข้าและเจ้า คิดคำนวณได้นานแล้วว่าจะต้องมีวันนี้ เจ้าไม่กลัว? แต่ข้ากลัว เพราะนี่คือแผนการอย่างโจ่งแจ้ง ข้ายินดีพาตัวเองลงไห ทำลายเรื่องดีๆ ของเจ้าก็คือการลงมือเพื่อขยับขยายอาณาเขตไปในหลายสิบแคว้นสำหรับการก่อตั้งสำนักของข้าในอนาคต สำหรับเจ้าเซี่ยเจินแล้ว แน่นอนว่าต้องเป็นแผนในมุมมืด ทุกสิ่งที่ลงแรงไปกลายเป็นความว่างเปล่าครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าถึงขั้นเดาออกเลยว่า กระบี่บินส่งข่าวที่ถูกข้าดักไว้เล่มนี้ เป็นเจียงซ่างเจินที่จงใจทิ้งไว้ให้ข้า”
เซี่ยเจินเก็บพลังอำนาจขุมนั้นมา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทำลายงานใหญ่ของข้า ยังจะทำให้จิตใจของข้าวุ่นวายอีก โจรเฒ่าอย่างเจ้าช่างดีดลูกคิดรางแก้วมาได้ดีจริงๆ”
ผู้เฒ่ากล่าวอย่างปลงอนิจจัง “เซี่ยเจิน จริงๆ เท็จๆ ดีๆ เลวๆ ไม่ว่าความตั้งใจแรกของข้าจะเป็นอะไร จริงใจหรือลวงหลอก ตามคำสัญญาที่มีก่อนหน้า ข้าจะไม่จงใจขัดขวางการดูดดึงปราณวิญญาณจากฟ้าดินของเจ้า เพียงแต่ว่าข้าแค่เดินนำไปก่อนหนึ่งก้าว ไม่ใช่สิ น่าจะเป็นสองก้าวแล้ว ดังนั้นในอนาคตยามที่ข้าเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน ข้าค่อยให้ทางเลือกเจ้าอีกครั้ง จะหนีไปจากที่นี่ ทำตัวเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่มีที่พักเป็นหลักแหล่งต่อไป หรือจะเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักข้า เจ้าและข้าไม่จำเป็นต้องช่วงชิงกันบนมหามรรคาซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นในพื้นที่เล็กๆ เช่นนี้อีก? หากสามารถมีหยกดิบสองคนในหนึ่งสำนัก มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน สนิทสนมแนบแน่น เจ้าและข้าต่างก็มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระที่ใครเห็นก็รังเกียจ นี่จะไม่กลายเป็นเรื่องเล่างดงามที่ผู้คนทั้งอุตรกุรุทวีปเล่าขานกันไปเป็นพันปีหรอกหรือ?”
เซี่ยเจินเงียบงันไม่เอ่ยตอบโต้ เพียงแค่เงยหน้าจ้องนิ่งไปยังผู้เฒ่าชุดลัทธิขงจื๊อที่ยืนอยู่บนยอดเขา
สุดท้ายเซี่ยเจินถึงถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าพูดจาวางโตอย่างนี้ตั้งแต่ต้น เพราะคิดจะซื้อใจข้าให้ไปเป็นผู้ถวายงานของสำนักเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “ต่ำกว่าห้าขอบเขตบนลงไป ต่อให้เจ้าเป็นเซียนดินพสุธาในสายตาของคนบนโลก แต่ละคนก็ยังได้แต่ทำตัวลอยไปตามกระแส หลังจากที่ได้สมบัติมีบุญบารมีชิ้นนั้นมาครอบครอง ตอนนี้สภาพจิตใจของข้าจึงเริ่มเข้าสู่สภาวะสมบูรณ์แบบ ถึงได้มีความใจกว้างและวิสัยทัศน์เช่นนี้ คาดว่านี่คงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหลังจากเจียงซ่างเจินทำร้ายให้เจ้าได้รับบาดเจ็บแล้ว ถึงได้ไม่มีความคิดที่จะตีหมาตกน้ำซ้ำเติม ไม่อย่างนั้นในเมื่อข้าดักกระบี่บินไว้ได้แล้ว จะยังยอมทนดูเจ้ามายึดครองภูเขาจี้หวนไม่ยอมไปไหนคาตาของตัวเองหรอกหรือ? ใช้บาดแผลแลกบาดแผล ก็ต้องตัดรากถอนโถนให้จงได้ มีผู้ฝึกตนอิสระคนใดบ้างที่จะไม่ทำ?”
เซี่ยเจินใช้สองมือกดไว้บนร่างงูเขียวมีเขางอกที่กำลังอยู่ในสภาวะหลับลึกตัวนั้น แล้วกระตุกมุมปาก “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า กระบี่บินที่ข้าส่งไป ไม่ได้มีแค่เพียงเล่มเดียว? เล่มที่เจ้าได้ไปครอง เป็นเพียงแค่เวทอำพรางตาเท่านั้น? เป็นข้าที่จงใจปล่อยให้เจ้าดักไปได้? เจ้าไม่ลองคำนวณดูเสียหน่อยเล่า นับตั้งแต่ที่เจียงซ่างเจินออกจากเมืองสุยเจี้ยเดินทางกลับลงใต้ กับวันที่ข้าปรากฏตัวในภูเขาจี้หวน เป็นเพราะข้าเซี่ยเจินคำนวณไว้เรียบร้อยแล้วว่าเขากับเซียนกระบี่ทางทิศเหนือมีหวังที่จะปรากฎตัวพร้อมกันหรือไม่?”
ผู้เฒ่าถอนหายใจหนึ่งที “พูดถึงขนาดนี้แล้ว เจ้าอยากเดิมพันก็ตามใจเจ้า ถึงอย่างไรเจ้าเซี่ยเจินก็เดิมพันจนคลั่งไปแล้ว พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์”
เซี่ยเจินแสยะยิ้มดุดัน “ใช่ ตอนนี้ข้าเดิมพันจนคลั่งไปแล้ว หากเจ้ายังมาทำตัวยืนพูดไม่ปวดเอวอยู่ตรงนี้ ก็อย่ามาโทษที่ข้ายอมทุ่มสุดชีวิตให้ตัวเองบาดเจ็บอีกครั้ง แต่ก็ต้องทำให้เจ้าหลอมเม็ดกระบี่เม็ดนั้นช้าขึ้นให้จงได้!”
ผู้เฒ่าโบกมือ “ช่างเถิด ถือเสียว่าสำนักของข้าในอนาคตขาดผู้ถวายงานขอบเขตหยกดิบไปคนหนึ่งแล้วกัน”
เซี่ยเจินโบกชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง ตวาดกร้าว “เจ้าสุนัขแก่ไสหัวไปเสียที เห็นหน้าเจ้าแล้วรำคาญตา!”
ผู้เฒ่าเพียงยิ้มรับ ก่อนที่ร่างจะหายวับไป
เซี่ยเจินยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักของศาลาเหมือนสัตว์ที่ติดกับ เขาเดินวนเป็นวงกลม จากนั้นก็โบกชายแขนเสื้อทั้งสองข้าง ยอดเขาน้อยใหญ่สิบกว่าแห่งซึ่งรวมถึงภูเขาจี้หวนเป็นหนึ่งในนั้นเหมือนถูกมีดตัดเข้าที่ฐานภูเขา พากันลอยขึ้นกลางอากาศ แล้วจึงถูกเซี่ยเจินบังคับค่ายกลย้ายภูเขา ทำให้ยอดเขาชี้ลงดินห้อยกลับหัว แล้วจึงพากันร่วงกระแทกพื้น ทุกครั้งที่กระแทกลงในบริเวณสายน้ำภูเขาใกล้เคียงจะต้องมีฝุ่นคลุ้งกระจายมืดฟ้ามัวดิน พลานุภาพที่ยอดเขาทุกลูกกระแทกลงบนพื้นล้วนมีพลังพิฆาตอันน่าตะลึงที่อยู่ระหว่างขอบเขตโอสถทองกับขอบเขตก่อกำเนิด น่าเสียดายก็แต่ยันต์ค่ายกลประเภทนี้เป็นสิ่งไร้ชีวิต หากเสียเวลาอยู่กับมันนานเกินไปจะขยับเคลื่อนไปไหนไม่ได้ เซียนกระบี่หนุ่มที่สมควรโดนแทงเป็นพันเป็นหมื่นครั้งคนนั้นถูกเจ้าตะพาบเฒ่าแหวกหญ้าให้งูตื่น จึงไม่เดินเข้ามาในอาณาเขตของภูเขาจี้หวน ค่ายกลย้ายภูเขาที่พลังอำนาจมหาศาลเพราะต้องทุ่มเงินไปก้อนใหญ่จึงกลายมาเป็นเรื่องตลกและของประดับตกแต่งอย่างหนึ่งเท่านั้น เวลานี้จึงถูกเซี่ยเจินเอามาระบายไฟโทสะที่อัดแน่นอยู่ในอก
ในรัศมีพันลี้โดยรอบต่างก็สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวอันน่าตะลึงเป็นระลอกราวกับวัวดินกำลังพลิกตัว
ทำให้พวกเย่หานสามคนที่มองดูอยู่หัวใจหดรัดเกร็ง
สุดท้ายเซี่ยเจินก็เตรียมจะกระชากเอารากภูเขาของภูเขาจี้หวนลูกนี้ขึ้นมาแล้วบังคับให้ไปกระแทกอยู่กลางอากาศสูงเหนือทะเลเมฆด้วย
เพียงแต่ว่าเซี่ยเจินขมวดคิ้ว
บนเส้นทางของสันเขามีคนเดินลงมาสองคน หรือจะพูดให้ถูกคือสามคน
ชายหญิงคู่หนึ่งที่ลักษณะคล้ายคู่บำเพ็ญเพียรเดินเคียงไหล่กันมาพลางพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานไปด้วย ในอ้อมอกของสตรียังอุ้มห่อผ้าที่ห่อเด็กทารกเอาไว้ สีหน้าของนางอ่อนโยนยิ่ง
ตรงเอวของสตรีห้อยกระบี่ยาวสีขาวหิมะที่ยาวมากเล่มหนึ่ง
เซี่ยเจินรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ
ส่วนบุรุษคนนั้นก็ยิ่งทำให้เซี่ยเจินเสียววาบไปทั้งแผ่นหลัง
บุรุษคนนั้นบ่นว่า “เอะอะอะไรกันนี่ เสียงดังหนวกหูลูกของข้ากับพี่หญิงลี่แล้ว เดี๋ยวก็ต้องทำหน้าผีหลอกให้นางอารมณ์ดีอีก นางถึงจะหยุดร้องไห้”
คราวนี้เซี่ยเจินสิ้นหวังจริงๆ แล้ว
สตรีที่ถูกบุรุษผู้นั้นเรียกอย่างสนิทสนมว่าพี่หญิงลี่
หากเป็นท่านผู้นั้นที่ตนเดาไว้จริง วันนี้ต่อให้ทุ่มสุดชีวิตก็อย่าหวังว่าจะหนีรอดไปได้
เซียนกระบี่หญิงภาคกลางของอุตรกุรุทวีปมีนามว่าลี่ไฉ่
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตมีนามว่าเกล็ดหิมะ
กระบี่ประจำกายมีนามว่าซวงเจียว
คือหนึ่งในเซียนกระบี่ที่ยังไม่เคยเดินทางไปเยือนภูเขาห้อยหัว และตอนนี้ยังคงอยู่ที่อุตรกุรุทวีป
เพื่อแสดงถึงความเคารพ ดังนั้นเซียนกระบี่จึงกลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่
ฟังดูเหมือนฝืนใจอย่างมาก
แต่พลังสังหารของนางนั้น เป็นของจริงแท้แน่นอน
เซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนทุกคนของอุตรกุรุทวีปล้วนไม่มีใครที่ไร้ฝีมือ ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบ ยกตัวอย่างเช่นท่านผู้นั้นของสำนักฉงหลิน ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดก็ยังไม่อยากจะไปท้าทาย เอาชนะมาได้ก็ยังรังเกียจว่าน่าอับอาย แต่หากมีเซียนกระบี่คนใหม่เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบ ก็แทบจะต้องประลองกระบี่สู้ตายกับเซียนกระบี่อีกหลายคน หากตายไป แน่นอนว่าเป็นเพราะโชคไม่ดี ความสามารถไม่สูงยังกล้าทำตัวอวดเก่ง แบกรับบรรดาศักดิ์ของเซียนกระบี่เอาไว้ไม่อยู่ ตายไปก็ไม่นับเป็นอะไรได้ แต่หากสามารถรอดตายมาได้ก็จะมีคุณสมบัติที่จะหยัดยืนอยู่บนแผ่นดินของอุตรกุรุทวีป
เซี่ยเจินกัดฟัน หันหน้าไปคารวะยังทางภูเขาแล้วเอ่ยว่า “คารวะเซียนกระบี่ใหญ่ลี่ คารวะผู้อาวุโสเจียง”
เจียงซ่างเจินผู้นั้นยิ้มตาหยี “โอ้ เวลานี้รู้จักเรียกข้าว่าผู้อาวุโสแล้วรึ”
สตรีผู้นั้นขมวดคิ้ว “หากไม่เป็นเพราะเห็นว่าเจ้ายังพอจะรู้กาลเทศะ รู้จักส่งกระบี่บินมาแจ้งข่าวข้า เวลานี้เจ้าคงตายไปแล้ว ผู้ฝึกตนอิสระอย่างเจ้านี่ไม่รู้จักมารยาทเลยหรือไร เปลี่ยนลำดับทักทายเสียใหม่”
เซี่ยเจินเกือบจะศีรษะระเบิดหลังจากได้ยินคำของอีกฝ่าย ได้แต่พูดเสียงสั่นว่า “คารวะผู้อาวุโสเจียง คารวะเซียนกระบี่ใหญ่ลี่!”
เจียงซ่างเจินตบแขนของเซียนกระบี่หญิง “เจ้าอย่าทำแบบนี้สิ เจียงหลางเป็นคนอย่างไร พี่หญิงลี่ยังไม่รู้อีกหรือ? ข้าไม่เคยถือสามารยาทจอมปลอมพวกนี้หรอก”
สตรีแค่นเสียงเย็น “บัญชีของเจ้า รออีกเดี๋ยวค่อยมาคิดกัน จะไปช่วยเจ้าสำแดงบารมีอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนหรือไม่ ข้ายังไม่ได้รับปากเจ้าหรอกนะ”
เจียงซ่างเจินค้อมเอวลง เลิกมุมหนึ่งของผ้าอ้อมขึ้นด้วยสีหน้าปกติ พูดเสียงอ่อนโยนด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวนีเอ๋อร์ *(นีเอ๋อร์เป็นคำเรียกเด็กหญิง)*เจ้าอย่าโกรธท่านแม่ที่เจ้าเพิ่งรับมาเลยนะ รีบโตเร็วๆ เข้า พอพูดเป็นแล้วจะได้ช่วยพ่อขอความเมตตา”
มุมปากของสตรีกระดกขึ้นแล้วถูกกดลงไปอีกครั้ง
เซี่ยเจินที่น่าสงสารใกล้จะเป็นบ้าเต็มทีแล้ว
เจียงซ่างเจินหันหน้ามามองเซี่ยเจิน “เจ้าน่ะ เหมือนข้าในอดีต ต่อสู้เป็นแล้วก็หนีได้ นับว่าหาได้ยากยิ่ง เพราะฉะนั้นข้าถึงได้เหลือชีวิตสุนัขของเจ้าไว้ครึ่งหนึ่ง คิดว่าขอแค่ข้าได้พบกับพี่หญิงลี่ ยามที่จับมือกันลงใต้แล้วเจ้าสามารถทำตัวสงบเสงี่ยมได้สักหน่อย ข้าก็จะไม่ถือสาหาความเจ้าให้มากเกินไป ช่วยไม่ได้ที่ความสามารถในการเผ่นหนีของเจ้ามีเหมือนข้าในปีนั้นครึ่งหนึ่ง แต่สมองกลับเหลวเป็นแป้งเปียก ราชครูแคว้นเมิ่งเหลียงผู้นั้นพูดจาอย่างจริงใจกับเจ้าไปมากมายขนาดนั้น แต่ละประโยคล้วนเห็นเจ้าเป็นดั่งบุตรชายแท้ๆ ของเขาเอง แต่เจ้ากลับดีนัก ดันฟังไม่เข้าหูแม้แต่ครึ่งคำ ปีนั้นข้าเจียงซ่างเจินอยู่ในอุตรกุรุทวีปของพวกเจ้าเห็นพวกคนบนภูเขาที่มีใจนึกอยากตายอยู่อย่างเดียว แล้วข้าก็ทำให้พวกเขาสมปรารถนามานักต่อนักแล้ว แต่คนที่เปลี่ยนลูกไม้หาที่ตายอย่างเจ้า กลับมีให้เห็นได้ไม่บ่อยนัก”
เซี่ยเจินกล่าวเสียงหนัก “ขอร้องผู้อาวุโสเจียงโปรดให้โอกาสข้าอีกครั้ง ครั้งสุดท้าย!”
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “เซียนกระบี่ใหญ่ท่านที่อยู่ทางทิศเหนือถูกเจ้าแอบชักนำมาได้จริงๆ เพียงแต่ว่าพวกเราสองสามีภรรยามีใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่วมกันต้านรับศัตรู กว่าจะเล่นงานให้เขาถอยกลับไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย บริเวณใกล้เคียงกับสายน้ำใหญ่ทางภาคกลางถูกผ่าจนเป็นท้องน้ำขนาดยักษ์หนึ่งเส้นและรูขนาดใหญ่หนึ่งรู ตอนนี้น่าจะเกิดเป็นทะเลสาบใหญ่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแห่งแล้ว เจ้าว่าสนุกหรือไม่เล่า? นับว่าลำบากเขาแล้วจริงๆ เพื่อสังหารข้าเจียงซ่างเจิน เซียนกระบี่คนหนึ่งถึงกับยอมฝืนนิสัยเก็บหัวเก็บหางอำพรางตัวเอาไว้ โชคดีที่พี่หญิงลี่คุ้นเคยกับปณิธานกระบี่บนร่างเขา ไม่อย่างนั้นข้าเจียงซ่างเจินคงต้องทิ้งแขนหรือทิ้งขาไว้ที่อุตรกุรุทวีปของพวกเจ้าแล้ว เซียนกระบี่ผู้นั้นก็น่าจะเอาหัวตัวเองโหม่งก้อนเต้าหู้ตายไปแล้ว มีแต่อันตรายรายล้อมอยู่รอบด้านจริงๆ เจ้าเซี่ยเจินช่างเป็นพวกไม่รู้จักหยุดอยู่เฉยๆ เสียบ้างเลย ถือว่าข้ากลัวเจ้าแล้ว ตกลงไหม? เซี่ยเจินนายท่านใหญ่เซี่ย ถือว่าข้าขอร้องเจ้าล่ะ ได้ไหม?”
เซี่ยเจินไม่เหลือความลังเลใดๆ อีกฝ่ายต้องไม่มีเจตนาดีอะไรแน่!
เสียงปังดังหนึ่งครั้ง
เซี่ยเจินก็จำแลงร่างจากร่างจริงไปนับร้อยนับพันรูปแบบ บ้างก็ทะยานลม บ้างก็เผ่นหนี บ้างก็ผลุบหายลงไปใต้ดิน พากันแยกย้ายหนีกระเจิง ขอแค่หนึ่งในนั้นหนีไปได้ก็มีชีวิตรอดแล้ว! วิชาลับที่ค่าตอบแทนสูงมากเช่นนี้ ต่อให้จะทำให้ตัวเองที่บาดเจ็บอยู่แล้วต้องบาดเจ็บเพิ่มอีก แต่ถึงอย่างไรก็ดีกว่าถูกผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนสองคนเล่นงานจนกายดับจิตสลาย
เจียงซ่างเจินกล่าวอย่างตกตะลึง “คราวก่อนไม่ได้ใช้วิธีหนีเช่นนี้ เจ้าตัวดี ไม่เสียแรงที่เป็นเซียนในสายตาของมดตัวน้อยกลุ่มนี้จริงๆ ทำเอาข้าตกใจแทบตาย”
เซียนกระบี่หญิงที่อยู่ข้างกายเจียงซ่างเจินกระตุกมุมปาก ฝ่ามือดันด้ามกระบี่ที่พกเอาไว้ หลังจากเสียงสั่นสะท้านเบาๆ ผ่านไป กระบี่ไม่ได้ออกจากฝัก
ทว่าสี่ด้านแปดทิศของฟ้าดินรอบด้านภูเขาจี้หวนล้วนมีปราณกระบี่สีขาวหิมะเป็นเส้นๆ กลิ้งหลุนๆ เข้ามา บ้างก็เป็นเส้นตรง บ้างก็คดเคี้ยว บ้างก็ล่องลอย
พริบตาเดียวฟ้าดินพลันเงียบสงัด
เจียงซ่างเจินยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งไปคว้าจับโอสถทองหนึ่งเม็ดและคนจิ๋วที่ขนาดใหญ่เท่าเมล็ดข้าวสารแล้วเก็บไว้ในฟ้าดินของชายแขนเสื้อ จากนั้นก็คว้าอีกครั้ง จับงูเขียวมีเขางอกที่นอนอยู่บนพื้นอย่างซูบเซียวอ่อนระโหยเข้าไปเก็บไว้ในชายแขนเสื้อด้วยกัน พูดอย่างหงุดหงิดว่า “น่ารำคาญจะตายอยู่แล้ว ทำให้ข้าผู้อาวุโสได้เงินได้สมบัติมาอีกแล้ว!”
เซียนกระบี่สาวลี่ไฉ่ถลึงตามองเขาหนึ่งที
เจียงซ่างเจินเอ่ยเรียกชื่อที่เพิ่งตั้งของเด็กน้อยในห่อผ้าที่อยู่ในอ้อมอกของนางเบาๆ แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวเอาไว้เป็นสินสอดของเสี่ยวนีเอ๋อร์ในอนาคตก็แล้วกัน”
ลี่ไฉ่มองไปเห็นสามคนที่อยู่ตรงนั้นก็ให้ขวางหูขวางตา จึงถามอย่างหงุดหงิด “กบใต้บ่ออย่างพวกเจ้าสามตัวจะเอายังไง?”
เจียงซ่างเจินเหล่ตามองคนทั้งสาม
คนทั้งสามนั้นได้คุกเข่าลอยตัวอยู่กลางอากาศแล้ว
เซี่ยเจินถือเป็นเซียนบนยอดเขาในใจของพวกเขา
ทว่าเวลาเพียงชั่วพริบตานี้กลับตายแล้ว?
เจียงซ่างเจินช่วยปัดชายแขนเสื้อข้างหนึ่งให้สตรีอย่างอ่อนโยน “ไม่สู้ปล่อยพวกเขาไปเถิด? นี่อยู่ต่อหน้าลูกสาวของพวกเรานะ…”
ระหว่างที่พูดก็มีใบหลิวใบหนึ่งพลันแทงทะลุหว่างคิ้วของเย่หานและฟ่านเหวยหราน สุดท้ายหายเข้าไปในร่างของเจียงซ่างเจิน เขายิ้มกล่าว “ถึงอย่างไรเสี่ยวนีเอ๋อร์ก็หลับอยู่ มองไม่เห็น”
ศพของผู้ฝึกตนโอสถทองสองศพร่วงสู่ตีนเขาภูเขาจี้หวน
เจียงซ่างเจินไม่แม้แต่จะชายตามอง
ทรัพย์สมบัติเก่าๆ พังๆ บนร่างของพวกเขา มีค่าพอให้ข้าเจียงซ่างเจินค้อมเอวยื่นมือไปเก็บให้ถ่วงเวลาการหาเงินก้อนใหญ่ของข้าหรือไร?
เหลือเพียงบรรพจารย์รองของดินแดนเซียนเป่าต้งที่รอดชีวิตเป็นคนสุดท้าย ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่มีลักษณะเหมือนสตรีแต่งงานแล้วยังคงตัวสั่น หมอบกราบอยู่กับพื้นไม่ลุกขึ้นมา
คนทั้งสองเริ่มทะยานลมลงใต้ไปด้วยกัน
ลี่ไฉ่เห็นมาจนชินตา ไม่มีความประหลาดใจปรากฏให้เห็นแม้แต่น้อย
ปีนั้นหากไม่เป็นเพราะบุรุษปากหวานข้างกายผู้นี้ ตนที่อยู่ตรงด่านคอขวดของโอสถทองก็คงตายไปนานแล้ว
ครั้งนั้นเจียงซ่างเจินต้องเอาชีวิตครึ่งหนึ่งไปทิ้ง
นี่คือหนึ่งในการค้าขาดทุนที่มีน้อยจนนับนิ้วได้เมื่อครั้งที่เจียงซ่างเจินเดินทางมาท่องเที่ยวอุตรกุรุทวีป
แต่จนถึงทุกวันนี้นางก็ยังไม่รู้ว่าเหตุใดเขาต้องทำเช่นนั้น
ปีนั้นเขาชอบตน แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง แต่ก็เหมือนกับที่เขาชอบสตรีงดงามคนอื่นๆ เท่านั้น บางทีอาจชอบมากกว่าเล็กน้อย แต่ก็ไม่ควรจะสู้สุดชีวิตเพื่อนางแบบนี้ถึงจะถูก
—–