บทที่ 509.4 แม่นางน้อยคนดี

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ นางอยากรู้คำตอบมาโดยตลอด ถึงขั้นยังเดินทางไปเยือนใบถงทวีปมารอบหนึ่ง เพียงแต่ว่าครั้งนั้นไม่เจอกับเจียงซ่างเจิน สวินยวนเจ้าสำนักผู้เฒ่าของสำนักกุยหยกบอกว่าเจียงซ่างเจินไปที่พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาแล้ว ตอนนี้ยังไม่กลับมา เจ้าสำนักผู้เฒ่ายังช่วยนางด่าเจียงซ่างเจินไปรอบหนึ่ง บอกว่าตะพาบที่ทรยศต่อความรู้สึกอันดีของผู้อื่น มากรักหลายใจขนาดนี้ควรตายอยู่ในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆานั่นแหละ แม่นางลี่มองเขาทีหนึ่งยังอาจทำให้สายตาสกปรก สมควรแล้วที่พื้นที่มงคลเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่จนเขาเกือบจะไปตายอยู่ในนั้น…แต่ลี่ไฉ่เองก็รู้ว่าเจ้าสำนักผู้เฒ่ายังคงเข้าข้างเจียงซ่างเจิน พูดอ้อมๆ เกี่ยวกับตนไปมากมาย เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการให้ตนตัดใจจากเจียงซ่างเจินได้

แต่จนกระทั่งได้พบเจอกับเจียงซ่างเจินอีกครั้ง ลี่ไฉ่ที่ตอนนี้ได้กลายเป็นเซียนกระบี่หญิงของภาคกลางอุตรกุรุทวีปกลับไม่อยากรู้คำตอบอีกแล้ว

ลี่ไฉ่หันหน้าไปมอง ถามว่า “เจ้าไม่ไปทักทายหน่อยหรือ?”

เจียงซ่างเจินส่ายหน้า “มีความเกี่ยวพันกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงมากเกินไป บวกกับที่เจ้าอยู่ข้างกายข้า ข้าเป็นคนต่างถิ่น ย่อมไม่กลัวความวุ่นวาย แต่เจ้าเป็นผู้ฝึกตนของที่นี่ ข้าจะทำให้เจ้าเดือดร้อนไม่ได้”

ลี่ไฉ่ยิ้มบางๆ

นางพลันขมวดคิ้วถาม “ทัณฑ์สวรรค์ของเมืองสุยเจี้ยนั่น ข้าดูจากท่วงทำนองของทะเลเมฆแล้ว หากเป็นก่อกำเนิดที่อ่อนแอสักหน่อยก็ยังเป็นเรื่องยุ่งยากใหญ่เทียมฟ้า สรุปว่าเขาต้านรับไว้ได้อย่างไร”

เจียงซ่างเจินยิ้มตอบ “ยังจะทำอย่างไรได้อีก ก็แค่ทุ่มสุดชีวิตเท่านั้น เมื่อมีความจริงใจก็ย่อมศักดิ์สิทธิ์ คำพูดประโยคนี้บางครั้งก็ยังต้องเชื่ออยู่บ้าง คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต สัจธรรมแห่งดินมิสู้สัจธรรมแห่งฟ้า นี่ก็คือสัจธรรมอันสูงสุด เจ้าคนที่ปลอมตัวเป็นราชครูแคว้นเมิ่งเหลียงผู้นั้น ถึงอย่างไรก็พอจะมีความรู้อย่างผิวเผิน ใช้ขอบเขตก่อกำเนิดลอบมองฟ้า นับว่าไม่ง่ายเลย ดังนั้นเส้นทางอนาคตของเขาย่อมต้องยิ่งใหญ่ยาวไกลกว่าเซี่ยเจิน”

ลี่ไฉ่พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย

เจียงซ่างเจินพลันเอ่ยว่า “ได้ยินว่าเจ้ารับลูกศิษย์หญิงที่มีพรสวรรค์ดีเยี่ยมมาคนหนึ่ง? ตอนนี้ยังมีความหวังว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็นหนึ่งในลำดับสิบคนรุ่นถัดไปด้วย?”

ไฉ่ลี่สีหน้าปั้นยาก

เจียงซ่างเจินกลอกตามองบน “จะมาเป็นกังวลกับข้าไปไย กระต่ายไม่กินหญ้าข้างรังตัวเอง หนึ่งภูเขาชอบแค่คนเดียวเท่านั้น นี่คือเป้าประสงค์ที่ทำให้ข้าเจียงซ่างเจินเดินบนภูเขาได้รวดเร็วราวกับสายลม พันปีตั้งตระหง่านไม่ล้มลงดุจต้นสน!”

สีหน้าของลี่ไฉ่เย็นสนิทดุจน้ำค้างแข็ง ซักถามต่ออีกว่า “เจ้าถามเรื่องนี้ไปทำไม?”

เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “ข้าก็แค่กลัวว่านางจะเดินตามรอยเจ้า ลูกศิษย์เลียนแบบอาจารย์ ชื่นชอบบุรุษดีๆ ที่ทองพันชั่งก็ยากจะซื้อหามาได้”

ลี่ไฉ่ส่ายหน้า “ลูกศิษย์คนนั้นของข้ามีจิตแห่งเต๋ามั่นคงเหนือกว่าข้าในอดีตมากนัก ตลอดชีวิตนี้นางไม่มีทางชอบใคร เรื่องที่ว่าสตรีดีๆ กลัวบุรุษจะมาตอแยติดพันนั้น ไม่อาจใช้ได้ผลกับลูกศิษย์ของข้า”

เจียงซ่างเจินหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ผิดแล้ว ข้ากลัวว่านางจะไปตอแยติดพันพี่น้องคนดีของข้าผู้นั้นต่างหาก”

ลี่ไฉ่หลุดหัวเราะพรืด

เจียงซ่างเจินยิ้มหน้าทะเล้น “พี่หญิงลี่ ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาลองเดิมพันกันดู หากข้าแพ้ ข้าจะยอมทำตามทุกอย่าง แต่หากพี่หญิงลี่แพ้ ก็จะต้องมาเป็นผู้ถวายงานที่แขวนชื่ออยู่ในสำนักใหม่ของข้าที่ทะเลสาบซูเจี่ยน?”

ลี่ไฉ่พยักหน้ารับ “ตกลง!”

เจียงซ่างเจินมีสีหน้าประหลาดใจ “วิชาเดิมพันและโชคในการเดิมพันของข้า ในปีนั้นพี่หญิงลี่เคยประสบพบเจอกับตัวเองมาก่อนแล้ว เหตุใดครั้งนี้ถึงตอบรับรวดเร็วขนาดนี้?”

ลี่ไฉ่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ลูกศิษย์คนนั้นของข้าต้องปิดด่านสามสิบปี คนหนุ่มผู้นั้นจะเตร็ดเตร่อยู่ที่อุตรกุรุทวีปสามสิบปีเลยหรือ?”

เจียงซ่างเจินเอื้อมมือมาคว้าชายแขนเสื้อของเซียนกระบี่หญิง “พี่หญิงคนดี ครั้งนี้ละเว้นข้าเถอะนะ?”

ลี่ไฉ่สีหน้าหม่นหมอง ถามว่า “ไม่สามารถชอบคนแค่คนเดียวได้จริงๆ หรือ?”

เจียงซ่างเจินยิ้มอ่อน “รอวันใดขอบเขตของพี่หญิงลี่สูงกว่าข้าแล้วค่อยว่ากัน”

ลี่ไฉ่ถอนหายใจ ใช้จิตแห่งกระบี่ตัดขาดริ้วคลื่นเหล่านั้นทิ้งอย่างเด็ดขาดทันที เดินทางไปเยือนชายหาดโครงกระดูกพร้อมกับเจียงซ่างเจิน โดยสารเรือของสำนักพีหมาข้ามทวีปไปเยือนแจกันสมบัติทวีป

ได้ยินว่าเจ้าตะพาบข้างกายผู้นี้จะไปเยือนสถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่าภูเขาลั่วพั่วของเขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลี ใช้สถานะของโจวเฟยขอบเขตก่อกำเนิดไปขอตำแหน่งผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อ

ฟังจากน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเรื่องนี้อาจจะไม่สำเร็จเสมอไป

ลี่ไฉ่หันหน้ามามองเจียงซ่างเจินที่เงียบงันใช้ความคิด

เวลายิ้มและพูดจากับคนอื่น กวนโอ้ยน่าเตะ

แต่เวลาไม่ยิ้มกลับจริงจังอย่างมาก

น่าเสียดายที่คนเช่นนี้ ว่ากันว่าตลอดชีวิตนี้มีเพียงสตรีคนเดียวที่เขาไม่อาจปล่อยวางได้ สตรีผู้นั้นกลับเป็นเพียงสตรีชาวบ้านทั่วไปด้านล่างภูเขา อีกทั้งเขายังไม่เคยแตะต้องนางมาก่อน เพียงแค่มองดูนางแต่งงานให้กำเนิดบุตรแก่ผู้อื่น ความงามร่วงโรย เส้นผมขาวโพลน แล้วจากโลกนี้ไปอย่างสงบ

ลี่ไฉ่ลังเลเล็กน้อย “เจียงซ่างเจิน หากวันนี้เจ้าได้เจอกับสตรีที่เหมือนกัน จะยังชอบนางแบบนั้นอยู่อีกไหม?”

เจียงซ่างเจินส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่”

ลี่ไฉ่คลางแคลงไม่เข้าใจ

เจียงซ่างเจินเอ่ยเนิบช้า “การพบกันครั้งแรกในชีวิต พบเจอกับเด็กสาวอรชรในภูเขา เดินขึ้นเขาเห็นสายน้ำขุนเขากว้างใหญ่ไพศาล แหงนหน้าเห็นเซียนขี่เมฆ ทะยานลมเห็นตะวันจันทราลอยกลางอากาศ กับภาพเหตุการณ์อีกมากมายทำนองเดียวกันนี้ที่จะพบเจอในวันหน้า แน่นอนว่าต้องเป็นทัศนียภาพที่แตกต่างกัน ไม่แน่เสมอไปว่าคนและเรื่องราวที่พบเจอครั้งแรกจะต้องงดงาม แต่ความรู้สึกเช่นนั้นจะล้อมวนอยู่ในหัวใจ ร้อยปีพันปีก็ยากจะลืมเลือน”

แล้วเจียงซ่างเจินก็หัวเราะ หันหน้ามาเอ่ย “ก็เหมือนปีนั้นที่ข้าได้พบพี่หญิงลี่เป็นครั้งแรก สวมเพียงถุงเท้าเดินขึ้นบันได ในมือถือรองเท้าปักสีทอง…”

ลี่ไฉ่อับอายจนพานเป็นความโกรธ “หุบปากสุนัขของเจ้าเดี๋ยวนี้!”

เจียงซ่างเจินพูดเสียงอ่อนโยน “ภรรยาอย่าได้เขินอาย จิตใจสามีวุ่นวายไปหมดแล้ว”

……

เมืองอวี้ฮู่ของแคว้นไหวหวง

ตรงประตูเมืองติดประกาศของทางการและของตระกูลคนมีเงินเอาไว้ไม่น้อย เนื้อหาล้วนเป็นการเชิญให้ยอดฝีมือไปทำพิธีในบ้านของพวกเขา ช่วงท้ายของประกาศส่วนใหญ่เป็นถ้อยคำที่บอกว่าจะตบรางวัลให้อย่างงาม แต่จะให้เงินมากน้อยเท่าไรกันแน่ กลับไม่พูดถึงสักคำ

เฉินผิงอันที่ยืนอยู่ใต้กำแพงอ่านประกาศเหล่านั้นอย่างละเอียด ดูจากท่าทางแล้วทั้งในและนอกเมืองต่างก็วุ่นวายอย่างมาก

ซื้อเสบียงส่วนหนึ่งมาเพิ่มเติมจากในเมือง คืนนั้นเฉินผิงอันก็พักค้างแรมในโรงเตี๊ยม ท่ามกลางม่านราตรี เขามานั่งดื่มเหล้าเงียบๆ อยู่บนหลังคา

และบนถนนของเมืองในยามค่ำคืนก็มีเงาร่างสีขาวหิมะสายหนึ่งลอยไปลอยมา แลบลิ้นปลิ้นตา ใบหน้าบิดเบี้ยวอยู่จริง สองเท้าของนางลอยพ้นพื้น ลอยไปทางนั้นทีนางนี้ที เพียงแต่ว่าปราณดุร้ายบนร่างยังเบาบาง ขอแค่เป็นครอบครัวที่แปะภาพเทพทวารบาลเอาไว้ ไม่ว่าจะฟูมฟักปราณวิญญาณได้หรือไม่ นางก็ล้วนไม่ไปเยือน ตอนนี้ทางเมืองได้เปลี่ยนตัวคนเคาะระฆังบอกเวลาตอนกลางคืนเป็นชายฉกรรจ์สองคนที่ขวัญกล้าเทียมฟ้า มีพลังหยางโชติช่วง ทางที่ว่าการยังตั้งใจเพิ่มเงินรางวัลก้อนหนึ่งให้พวกเขาเป็นพิเศษ ทุกวันสามารถซื้อเหล้าดื่มได้สองกา ผีสาวชุดขาวที่ผูกคอตายตนนั้นอยากจะขยับเข้าใกล้พวกเขาอยู่หลายครั้ง แต่แค่เข้าใกล้ก็จะต้องถูกพลังหยางที่มองไม่เห็นกระแทกชนให้ถอยออกไป พอชนตออยู่หลายครั้งเขา นางจึงจากไปอย่างขุ่นเคือง ไปเกาครูดกำแพงไม้ของบ้านคนยากจน พวกคนบางคนที่หลับสนิท นอนกรนเสียงดังเหมือนฟ้าผ่าไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวจากทางด้านนอกแม้แต่น้อย มีแค่คนหลับไม่สนิทบางคนที่จะตกใจกลัวจนตัวสั่น ทำให้นางส่งเสียงหัวเราะคิกคัก ยิ่งฟังแล้วขนหัวลุก

เฉินผิงอันเห็นว่าผีที่ผูกคอตายตนนั้นไม่ได้เข้าเรือนไปทำร้ายคนอย่างแท้จริง จึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

เขานอนอยู่บนหลังคา ยกขาไขว่ห้าง หยิบเอาพัดพับมาพัดลมเย็นเข้าใส่ตัวเบาๆ

เส้นสายนั้นกลัวการถูกดึงให้ยืดยาวออกไปมากที่สุด มองเห็นความจริงของสองฝั่งไม่ชัด หากขึ้นไปบนสวรรค์มรกตหรือลงไปยังน้ำพุเหลือง ก็ต้องมีชาติก่อนและการกลับชาติมาเกิดใหม่ สูงต่ำ ก่อนหลัง ล้วนไม่แน่นอน

และก็ยิ่งกลัวว่าบนเส้นเส้นหนึ่งจะมีกิ่งก้านตัดสลับจนเกิดเป็นเส้นเล็กๆ นับไม่ถ้วนแยกออกไป ดีเลวปะปนกันพร่าเลือน กลายเป็นดั่งเชือกก้อนหนึ่งที่ขมวดรวมอย่างยุ่งเหยิง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเส้นเส้นหนึ่งถูกลากยาวก็หนีไม่พ้นที่ต้องว่ากันไปตามสถานการณ์ ถ้าอย่างนั้นยิ่งมองไปไกลก็ยิ่งต้องเปลืองแรงมากเท่านั้น

ก็เหมือนกับผีสาวที่หลอกให้ชาวบ้านตกใจกลัว ไม่ว่าผู้ฝึกตนคนใดคิดจะสังหารนางก็ไม่ถือว่าเป็นความคิด สะสมบุญกุศลก็มีหลักการอยู่เหมือนกัน แต่หากมองให้ไกลอีกสักหน่อย ชาวบ้านที่อยู่โดยรอบเมืองอวี้ฮู่แห่งนี้รู้ว่าระหว่างฟ้าดินมีผีอยู่ วันหน้าอย่างน้อยที่สุดเมื่อคิดจะทำความชั่วก็จะต้องใคร่ครวญถึงคำว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว และวัฎจักรสังสารการกลับมาเกิดใหม่หน่อยหรือเปล่า? ผีสาวตนนั้นล่องลอยไปในยามค่ำคืน ขอแค่นางไม่เคยทำร้ายคนอย่างแท้จริง สรุปแล้วนางผิดหรือถูกกันแน่? หรือว่าเหตุใดปีนั้นนางถึงแขวนคอฆ่าตัวตาย ทิฐิความดึงดันไม่สลายหายไปไหน จนกลายมาเป็นผี แล้วนางต้องเจอกับความไม่เป็นธรรมอะไรหรือไม่?

เฉินผิงอันหลับตาลง หลับยาวไปจนฟ้าสาง

การฝึกตนในทุกวันนี้ล้วนสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา ดังนั้นตอนนี้จะท่องเที่ยวหาประสบการณ์อย่างไร เดินทางช้าหรือเร็วก็ล้วนไม่สำคัญแล้ว

ยามเช้าตรู่ของวันนี้ ขณะที่เฉินผิงอันออกนอกเมืองก็เห็นกลุ่มคนสี่คนฉีกประกาศของทางการฉบับหนึ่งลงมาอย่างห้าวเหิม ดูจากท่าทางแล้วน่าจะไปหาเรื่องพวกผีที่แอบยึดครองวัดกลุ่มนั้น

เฉินผิงอันรู้สึกสงสัยเล็กน้อย คนสี่คนนี้ สองชายสองหญิง สวมใส่อาภรณ์ที่ไม่ถือว่าใหม่เอี่ยม ไม่ใช่ว่าแกล้งทำเป็นจน แต่เป็นคนไม่มีเงินจริงๆ คนที่อายุมากสุดคือบุรุษวัยกลางคนที่มีตบะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสอง เด็กหนุ่มคนนั้นน่าจะเป็นลูกศิษย์ของเขา พอจะถือว่าเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวได้คนหนึ่ง ส่วนสตรีสองคน ดูจากหน้าตาแล้วน่าจะเป็นพี่น้องกัน และก็เป็นผู้ฝึกลมปราณที่เพิ่งจะเหยียบลงบนเส้นทางของการฝึกตน ในช่องโพรงลมปราณมีปราณวิญญาณเบาบางกักเก็บอยู่ แต่ก็น้อยจนสามารถมองข้ามไปได้โดยตรง

หากจะบอกว่าผู้ฝึกตนใหญ่แคว้นเมิ่งเหลียงที่ปลอมตัวเป็นนักเล่านิทานสามารถทำให้เฉินผิงอันมองออกว่าเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสอง แต่เขากลับยังเกิดใจระแวดระวัง อันที่จริงนี่ล้วนเป็นเพราะภาพบรรยากาศที่ปรากฏอยู่รอบตัวคนผู้นั้นทำให้เขารู้สึกเช่นนี้

ชายหญิงสี่คนที่อยู่ตรงหน้านี้มีเพียงแค่ตบะที่ตื้นเขินจริงๆ

รับมือกับผีสาวชุดขาวแขวนคอตายที่ล่องลอยอยู่ในเมืองอาจจะไม่ยาก แต่วัดนอกเมืองแห่งนั้นเป็นผีที่รวมตัวกันกลายเป็นกลุ่มอิทธิพล อีกทั้งยังกล้ายึดครองวัดที่เดิมทีควันธูปไม่เลว ขับไล่ภิกษุทั้งหมดออกจากวัด พวกเขาสี่คนน่าจะรับมือได้ยากถึงจะถูก หากไม่ระวัง ไม่มีวิชาป้องกันชีวิตที่เป็นดั่งสมบัติก้นกรุแล้วล่ะก็ อาจจะกลายเป็นว่าพาตัวไปเป็นซาลาเปาไปเป็นเกี้ยวที่มอบให้กับวัดแห่งนั้นก็เป็นได้

เฉินผิงอันคิดแล้วจึงไม่ได้ออกจากเมืองไปโดยตรง แต่แอบฟังคำกระซิบของพวกเขาที่นึกว่าไม่มีใครได้ยิน พวกเขาคุยกันเรื่องยิบย่อยที่บอกว่าก่อนหน้านี้ไปซื้อยันต์กระดาษเหลืองจากร้านในเมืองมาเป็นจำนวนมาก และเอาทองก้อนมาบดละเอียดแล้วทาลงบนตัว เด็กสาวสองคนที่หนาวจนข้างแก้มเป็นสีแดงก่ำยังพูดอีกว่า ทางที่ดีที่สุดคือสามารถทวงเงินค่ามัดจำมาจากทางการได้ อาศัยประกาศของทางฝั่งเจ้าเมืองไปขอยืมภาชนะอย่างพวกกระถางรมควันธูปหลายๆ ใบมาจากทางศาลเทพอภิบาลเมืองและศาลบู๊ โอกาสชนะของพวกเราก็จะเพิ่มมากขึ้น การเดินทางไปเยือนวัดจินตั๋วก็จะมั่นคงมากขึ้น

เด็กหนุ่มบ่นเล็กน้อย บอกว่าเหตุใดไม่ปราบภูตจิ้งจอกปีศาจกระต่ายเหล่านั้น เงินรางวัลสองก้อนรวมกันจากทางการและตระกูลคนรวยต้องได้มาครองอย่างสบายๆ แน่นอน ความเสี่ยงก็ไม่มากด้วย

สตรีอายุมากกว่าหน่อยที่เรือนกายสูงเพรียว หน้าตาอยู่ในระดับกลางๆ จึงอธิบายกับเด็กหนุ่มเสียงเบาว่า หากถูกพวกภูตผีในวัดจินตั๋วรู้ร่องรอยของพวกเขา มีแต่จะยิ่งต้องเพิ่มการป้องกันมากขึ้น และโอกาสที่จะทำสำเร็จก็จะยากมากขึ้น

เฉินผิงอันฟังจากน้ำเสียงในการพูดคุยของพวกเขาแล้วเห็นว่าเอาจริงเอาจังกันอย่างมาก ไม่มีความผ่อนคลายเบาสบายอยู่เลย ไม่เหมือนกับท่าทีห้าวเหิมอย่างตอนที่ชายฉกรรจ์คนนั้นฉีกประกาศออก

เฉินผิงอันจึงออกมาจากเมือง มุ่งหน้าตรงไปยังวัดจินตั๋วที่อยู่ห่างจากเมืองไปประมาณสามสิบลี้

จากนั้นก็มาหยุดพักอยู่ในศาลาข้างทางในขณะที่อยู่ห่างจากวัดจินตั๋วอีกประมาณเจ็ดแปดลี้ พักเท้ารออยู่ที่นั่น ด้านนอกศาลาก็คือธารน้ำอิงภูเขาที่สายน้ำไหลริกๆ

รอจนกระทั่งถึงช่วงเที่ยงวันถึงได้เห็นเงาร่างของคนทั้งสี่

เฉินผิงอันไม่รอให้พวกเขาขยับเข้ามาใกล้ก็เริ่มเดินมุ่งหน้าไปทางวัดจินตั๋วต่อ

สะพายหีบไม้ไผ่ ในมือถือไม้เท้า เดินชะลอฝีเท้าคล้ายบัณฑิตอ่อนแอคนหนึ่งที่เดินทางอย่างยากลำบาก

 —–