บทที่ 509.5 แม่นางน้อยคนดี

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เพียงไม่นานคนทั้งสี่ก็เดินมาทันบัณฑิตชุดขาว ตอนที่เดินสวนไหล่กัน ชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้าถือกระบอกธูปใบใหญ่ใบหนึ่งไว้ในมือ เขาชำเลืองตามองคนผู้นี้ แต่ไม่นานก็ดึงสายตากลับ เด็กหนุ่มที่มองดูเหมือนนิสัยซื่อๆ ส่งยิ้มมาให้ บัณฑิตก็ส่งยิ้มกลับไปให้เขา เด็กหนุ่มจึงยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม ต่อให้หันหน้ากลับไปแล้วก็ยังไม่ได้หุบรอยยิ้มลงในทันที

สตรีที่อายุมากกว่าขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่เอ่ยอะไร น้องสาวของนางอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกนางคว้าจับชายแขนเสื้อเอาไว้ บอกเป็นนัยแก่น้องสาวว่าอย่าสร้างเรื่อง เด็กสาวจึงยอมหยุด ทว่าเด็กสาวที่สองแก้มแดงก่ำเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ยังอดใจไม่ไหวหันหน้ากลับมา ยิ้มถามว่า “บัณฑิตอย่างเจ้าก็จะไปจุดธูปไหว้พระที่วัดจินตั๋วด้วยหรือ? เจ้าไม่รู้หรือไรว่าชาวบ้านของเมืองอวี้ฮู่ต่างก็ไม่ไปที่นั่นกันแล้ว เจ้ากลับดีนัก คิดจะไปชิงธูปประธานหรืออย่างไร?”

บัณฑิตปาดเหงื่อบนหน้าผาก หอบหายใจเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มเอ่ยว่า “ข้าเพิ่งมาถึงเมืองอวี้ฮู่ มีสหายที่รู้จักกับภิกษุที่วัดจินตั๋ว บอกว่าหากไปที่นั่นสามารถไปพักค้างแรมอ่านตำราได้ ทั้งเงียบสงบ แล้วก็ไม่ต้องจ่ายเงิน”

เด็กสาวกำลังจะพูด แต่กลับถูกพี่สาวของนางหยิกแขน เจ็บจนใบหน้าของนางยับยู่ หันหน้ามาพูดเบาๆ “ท่านพี่ ตอนนี้กลางวันแสกๆ ใกล้ๆ นี้คงไม่มีพวกผีในวัดมาสืบข่าวที่นี่หรอก หากบัณฑิตคนนี้ไปที่วัดจินตั๋วจริงๆ ถึงเวลานั้นพวกเราตีกับพวกผีขึ้นมา สรุปว่าเราจะช่วยเขาหรือไม่ช่วยเล่า? แบบนั้นจะยิ่งไม่ลำบากใจกว่าเดิมหรอกหรือ? หากไม่ช่วย ต่อให้สังหารภูตผีปีศาจและได้เงินมาแล้ว มโนธรรมในใจของข้าก็คงไม่อาจสงบลงได้ ข้าจะบอกเขาสักคำ ไม่ให้เขาพาตัวไปตายเปล่าๆ อ่านหนังสือที่ไหนดันไม่อ่าน จะไปอ่านในรังของพวกผีเสียได้ คนผู้นี้ก็จริงๆ เลย ด้วยโชคที่ย่ำแย่เช่นนี้ของเขา แค่มองก็รู้แล้วว่าคงไม่มีชะตาดีๆ ที่จะสอบติดกระดานทองคำได้หรอก”

พี่สาวของนางถอนหายใจเบาๆ ใช้นิ้วดีดหน้าผากเด็กสาวแรงๆ “พยายามพูดให้น้อย ขวางบัณฑิตไว้ได้แล้ว เจ้าก็ห้ามเอาแต่ใจอีก การเดินทางไปเยือนวัดจินตั๋วหลังจากนี้ต้องเชื่อฟังข้าทุกเรื่อง!”

เด็กสาวปิติยินดี ชะลอฝีเท้าให้ช้าลง มาเดินเคียงไหล่กับบัณฑิต ยิ่งทิ้งระยะห่างจากสามคนที่อยู่เบื้องหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ

ประโยคแรกของเด็กสาวนั้นเข้าใจพูดอย่างมาก “บัณฑิตท่านนี้ เจ้าแต่งงานหรือยัง คิดว่าพี่สาวของข้าหน้าตาเป็นอย่างไร?”

บัณฑิตต่างถิ่นยิ้มกล่าว “แม่นางอย่าล้อข้าเล่นเลย”

เด็กสาวพลันคลี่ยิ้ม “หยอกเจ้าเท่านั้นแหละ”

จากนั้นเด็กสาวก็ตีหน้าเคร่ง “หลังจากนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้ว ตอนนี้วัดจินตั๋วแห่งนั้นอันตรายอย่างมาก มีผีร้ายกลุ่มหนึ่งปรากฎตัวแล้วขับไล่ภิกษุในวัดไปท่ามกลางแสงสายัณห์ ขนาดเจ้าอาวาสที่พอจะมีวิชาคาถาติดตัวอยู่บ้างก็ยังตายคาที่ แถมยังมีพวกภิกษุและคนมีจิตศรัทธาอีกส่วนหนึ่งที่หนีไม่ทันต้องตายไป พวกมันยึดครองวัด กินคนจริงๆ นะ เพราะฉะนั้นเจ้าอย่าไปเลย ตอนนี้ในวัดไม่มีพระหัวโล้นแม้แต่คนเดียว ไม่ได้หลอกเจ้าจริงๆ หากเจ้าไม่เชื่อก็ลองไปสืบข่าวที่เมืองดูได้ ถ้าข้าโกหกเจ้า เจ้าก็แค่ไปกลับเสียเที่ยวเท่านั้น แต่หากข้าไม่ได้โกหกเจ้า เจ้าจะไม่ต้องมาตายอย่างอยุติธรรมอยู่ต่างบ้านต่างเมืองหรอกหรือ? ยังจะสอบติดตำแหน่งดีๆ สร้างชื่อเสียงให้แก่วงศ์ตระกูลได้อย่างไร?”

บัณฑิตคนนั้นถาม “แล้วทำไมพวกเจ้าถึงจะไปจุดธูปไหว้พระที่นั่นล่ะ?”

เด็กสาวกระทืบเท้า “นี่เจ้ามองไม่ออกหรือว่าพวกเราเป็นคนมีความสามารถที่มาเพื่อกำจัดปีศาจปราบมาร?!”

บัณฑิตอึ้งตะลึงไป ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง “บนโลกนี้มีภูตผีปีศาจเสียที่ไหน แม่นางอย่าได้หลอกข้าเลย”

สตรีและชายฉกรรจ์ที่เดินอยู่ด้านหน้าหันมามองหน้ากัน ต่างก็ส่ายหัว

เด็กหนุ่มก็ยิ่งกระตุกมุมปาก

มีเพียงเด็กสาวสองแก้มแดงปลั่งน่ารักน่าเอ็นดูที่ร้อนใจขึ้นมาแล้ว “พี่สาวข้าบอกว่าบัณฑิตอย่างพวกเจ้าล้วนดื้อดึง ยากที่จะกลับใจมากที่สุด หากเจ้ายังไม่รู้จักหนักเบาแบบนี้ต่อไป ข้าคงต้องต่อยเจ้าให้สลบ จากนั้นก็โยนเจ้าไว้ในศาลา แต่ทำแบบนั้นก็มีอันตราย หากถึงยามค่ำคืนแล้วมีพวกภูตผีตัวสองตัวหนีรอดออกมาได้ ถ้าพวกมันได้กลิ่นคนเข้า เจ้าก็ยังต้องตายอยู่ดี บัณฑิตที่อ่านตำรามากจนสมองทึ่มทื่อรีบไปได้แล้ว!”

บัณฑิตพูดอย่างโง่งม “ตอนนี้ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว ในกระเป๋าก็ไม่มีเงิน ไม่อาจเดินไปกลับเมืองอีกจริงๆ อีกเดี๋ยวข้าจะรอดูอยู่ข้างนอกวัดจินตั๋วก็แล้วกัน หากไม่มีผู้มีจิตศรัทธาและภิกษุอยู่เลยสักคนเดียว ข้าค่อยหันหัวกลับทันที”

เด็กสาวทอดถอนใจ “พี่สาวข้าบอกแล้วว่า ผีเหล่านั้นมีตบะสูงส่งลึกล้ำ สามารถร่ายใช้วิชาอภินิหาร แผ่ปราณดุร้ายปิดบังไปทั่วแผ่นฟ้า เมฆทะมึนบดบังดวงอาทิตย์ ถึงเวลานั้นเจ้ายังจะหนีอย่างไร?”

เด็กสาวตะโกนไปข้างหน้า “ท่านพี่ ให้ข้าพาเจ้าทึ่มผู้นี้กลับไปที่เมืองก่อนเถอะ อย่างมากข้าก็แค่ต้องวิ่งให้เร็วสักหน่อย รับรองว่าจะไปถึงวัดจินตั๋วก่อนฟ้ามืดได้แน่นอน”

พี่สาวของนางพูดอย่างเดือดดาล “พวกเราเลือกเวลากันมาก่อนตั้งแต่แรกแล้ว นี่ก็เพราะกังวลว่าผีในวัดจะสามารถปรากฏตัวตอนกลางวัน และยังพยายามหายันต์มาเพิ่มให้มากขึ้น หากผีร้ายพวกนั้นสามารถบังคับเมฆให้ปกคลุมวัด ไม่มีเจ้า พวกเราจะทำอย่างไร เจ้าคิดจะช่วยเก็บศพให้พวกเราสามคนหลังจบเรื่องอย่างนั้นหรือ? มรสุมที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เจ้าลืมไปแล้วหรือไร?!”

เด็กสาวอัดอั้นไม่สบายใจ ร้องอ้อรับหนึ่งที ไหล่ลู่คอตก พูดกับบัณฑิตว่า “บัณฑิต ไปเสียเถอะ พวกเราไม่ได้รู้จักกันเสียหน่อย ข้าคงไม่ถึงขั้นที่ต้องเอาเจ้ามาหาความบันเทิงให้ตัวเอง จงใจหลอกว่าที่วัดจินตั๋วมีผีเข้าออกหรอก”

ทว่าบัณฑิตกลับทำให้นางโมโหจนน้ำตาคลอ เขายังดึงดันบอกว่าจะต้องไปดูที่หน้าประตูวัดจินตั๋วกับตาตัวเองให้ได้

นางเตรียมจะยื่นมือปล่อยหมัดใส่เขา ความหวังดีถูกมองเป็นประสงค์ร้าย แต่นางก็ไม่อาจทนเห็นเขาพาตัวไปตายคาตาตัวเองได้

คิดไม่ถึงว่าเจ้าหนอนหนังสือผู้นั้นจะถอยหลังไปหนึ่งก้าว “แม่นางอย่าได้ลงไม้ลงมือกับคนอื่นสิ วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ หากถูกเจ้าตีสลบแล้วทิ้งไว้ในศาลา ถึงเวลานั้นหากมีคนมาขโมยหีบไม้ไผ่ของข้าไป เจ้าจะชดใช้เงินให้ข้าหรือไร?”

เด็กสาวหันตัวกลับ วิ่งเร็วๆ จนตามไปทันพี่สาว ยกมือเช็ดใบหน้าอย่างแรง

นางรู้สึกว่าเหตุใดใต้หล้านี้ถึงมีคนที่ใจดำขนาดนี้ได้

นางใกล้จะเสียใจตายอยู่แล้ว

แต่นางก็อดไม่ไหวหันกลับไปมองอีกครั้ง เจ้าหมอนั่นยังตามมาจริงๆ

ในขณะที่นางลังเลว่าควรจะต่อยเขาอีกครั้งดีไหม เจ้าตัวดีนั่น เวลาที่ควรฉลาดไม่ฉลาด เวลาที่ควรโง่กลับไม่โง่ เขาดันยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับมาเบื้องหน้า

เด็กสาวกำลังจะด่าเขา แต่กลับถูกพี่สาวคว้าแขวนเอาไว้ “หยุดทำตัวเหลวไหลได้แล้ว!”

เด็กสาวก้มหน้าลง

เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ

ดูท่าคงทำให้คนดีคนหนึ่งต้องผิดหวังแล้ว

เขายังคงเดินตามมาด้านหลังช้าๆ สองฝ่ายทิ้งระยะห่างจากกันมากขึ้นเรื่อยๆ

เด็กสาวกำลังจะหันหน้ากลับไป แต่กลับถูกพี่สาวของนางตวาดดุ “จะต้องทำร้ายให้พวกเราตายหมด เจ้าถึงจะพอใจใช่ไหม? เจ้าไม่กลัวหรือว่า แท้จริงแล้วคนผู้นั้นคือผีชางของกลุ่มผีร้ายนั่น?”

ในที่สุดเด็กสาวก็ไม่หันกลับไปอีก

นางก้มหน้าเดินเตะก้อนหินเล็กๆ ไปตลอดทาง

พี่สาวของนางทอดถอนใจ “นิสัยนี้ของเจ้า สักวันต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่ ทำดีได้ชั่ว ตลอดทางมานี้ พวกเราพบเห็นมาน้อยนักหรือ?”

เด็กสาวร้องอ้อรับหนึ่งที ไม่เอ่ยตอบโต้

ห่างไปไกล บัณฑิตชุดขาวที่เบื่อหน่ายใช้ไม้เท้าเดินป่าเขี่ยหินแต่ละก้อนกลับมาอยู่ตำแหน่งเดิม ยิ้มบางเอ่ยว่า “เป็นแบบนี้จริงๆ หรือ?”

ขยับเข้าใกล้วัดจินตั๋ว เด็กสาวแอบหันหน้ากลับไป เนื่องจากเส้นทางภูเขาคดเคี้ยวจึงมองไม่เห็นเงาร่างของบัณฑิตคนนั้นแล้ว

คนทั้งสี่เดินหน้าไปได้อีกหนึ่งลี้ การมองเห็นก็พลันเปิดกว้าง สีหน้าของสตรีอายุน้อยเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด “ถึงแล้ว”

ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับ

เห็นเพียงว่าในวัดจินตั๋วมีปราณดุร้ายจางๆ ไหลเวียนวนไม่หยุดนิ่ง เพียงแต่ว่ามันเบาบางมาก แค่ลมพัดมาก็สลายหายไป สตรีกล่าวอย่างกังขา “ดูเหมือนว่าจะผิดปกติ เมื่อคืนวานพวกเรามองวัดมาจากที่ไกลๆ ปราณดุร้ายไม่ควรน้อยเพียงนี้ถึงจะถูก”

ชายฉกรรจ์ใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยว่า “นี่เป็นเรื่องดี บางทีดวงอาทิตย์ที่ลอยกลางนภาอาจบีบให้ภูตผีสิ่งสกปรกเหล่านั้นได้แต่หลบเร้นกายไม่กล้าออกมาจริงๆ ก็ได้ พวกเราสองอาจารย์และศิษย์ก็จะได้เอายันต์ไปติด สาดข้าวสารเสกและเลือดหมาได้พอดี ส่วนพวกเจ้าก็ไปจัดวางค่ายกล ถึงยามสนธยา ท้องฟ้ายังมีแสงสว่างเสี้ยวสุดท้ายเหลืออยู่ ก็ค่อยใช้วิชาอสนีลากพวกมันออกมาจากใต้ดิน วัตถุหยินกลุ่มนี้ไม่มีฟ้าอำนวยดินอวยพรแล้ว พวกเราก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้น”

สตรีพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปพูดกับน้องสาวที่ทำท่าพร้อมลงมือเต็มที่ “รวบรวมสติให้ดี อย่าได้ประมาทเด็ดขาด วิธีการของวัตถุหยินและผีร้ายมีมากมายไม่รู้จบสิ้น หากวัดจินตั๋วแหง่นี้เป็นหลุมพรางที่ล่อให้ศัตรูมาติดกับจริงๆ พวกเราก็คงต้องแบกรับผลที่ตามมา”

ดวงตาของเด็กสาวเป็นประกายสว่างไสว “ท่านพี่ ท่านวางใจเถอะ”

ไปถึงหน้าประตูใหญ่ของวัดจินตั๋ว เด็กสาวที่สองข้างแก้มแดงปลั่งเรือนกายปราดเปรียวกระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพง บริเวณพื้นดินด้านหน้าตำหนักใหญ่มีโครงกระดูกขาวกลาดเกลื่อนอยู่เป็นจำนวนมาก น่าจะเป็นของพวกภิกษุและผู้มีจิตศรัทธาที่โชคไม่ดี นางโยนกระดาษยันต์สีเหลืองที่เขียนด้วยผงทองล้ำค่าแผ่นหนึ่งออกไปอย่างรวดเร็ว กระดาษยันต์แปะลงบนขอบประตูเบื้องบนพอดี ทว่ากลับไม่มีวี่แววว่ายันต์จะเผาไหม้ ครู่หนึ่งต่อมา นางจึงหันหน้ามาเอ่ย “ตำหนักหน้าไม่มีผีร้าย ท่านอาซ่งแปะยันต์ลงบนหน้าประตูวัด พอเข้ามาแล้วก็เดินวนสาดข้าวสารเสกไปรอบกำแพงอย่างสบายใจได้เลย”

จากนั้นพวกนางสองพี่น้องก็เริ่มเคลื่อนตัวอย่างคล่องแคล่วฉับไว นำเข้าไปในวัดก่อน แล้วจึงนำยันต์กระดาษเหลืองทั่วไปแปะตามจุดต่างๆ อย่างบนหัวกำแพง บนเสาเรือน ฯลฯ มีเพียงสถานที่สำคัญอย่างประตูของตำหนักใหญ่ กรอบป้ายเท่านั้นที่ถึงจะแปะยันต์ล้ำค่าที่ใช้ผงทองบดมาเขียนต่างน้ำหมึก

สองอาจารย์และศิษย์โยนกระบอกธูปไปไว้อีกด้านหนึ่ง จากนั้นแต่ละคนก็ปลดห่อผ้า หยิบเอาถุงผ้าฝ้ายบรรจุข้าวสารเสกเก่าแก่หนักอึ้งถุงแล้วถุงเล่าออกมา รวมไปถึงถุงน้ำหนังวัวที่บรรจุเลือดหมาดำอีกหลายถุง แล้วจึงเริ่มทำการ ‘จัดวางค่ายกล’ ไว้ที่ตำหนักหน้าอย่างคุ้นเคย

จนกระทั่งมาถึงด้านหลังสุดของวัดที่กินอาณาบริเวณกว้างใหญ่แห่งนี้ คนทั้งสี่จึงมารวมตัวกันอย่างปลอดภัย

มีเพียงในตำหนักด้านข้างที่ประตูใหญ่ปิดสนิทแห่งหนึ่งเท่านั้นที่เด็กสาวบอกว่าปราณดุร้ายเข้มข้นมาก ดังนั้นพวกเขาจึงร่วมแรงกันนำยันต์กระดาษสีเหลืองหลายสิบแผ่นไปติดตามประตูหน้าต่าง หลังคา ชายคา ฯลฯ ส่วนหลังคาเรือนนั้นหญิงสาวเป็นผู้ขึ้นไปแปะยันต์ด้วยตัวเอง จากนั้นเด็กสาวก็เริ่มรื้อกระเบื้องแต่ละแผ่นออก ปล่อยให้แสงอาทิตย์สาดส่องลงไปในตำหนักข้างนี้ ด้านในมีเสียงร้องโหยหวนดังมาระลอกหนึ่ง รวมไปถึงเสียงลั่นเปรี๊ยะปร๊ะที่ควันดำถูกแสงแดดแผดเผาจนกลายเป็นผุยผง

สุดท้ายคนทั้งสี่พลิ้วกายลงหน้าประตูของตำหนักข้าง

หันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน

ในมือของหญิงสาวถือเชือกพันธนาการปีศาจที่ปีนั้นต้องทุ่มทรัพย์สมบัติที่มีถึงจะซื้อมาได้ในราคาสี่สิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ!

น้องสาวของนางประหลาดยิ่งกว่า ก่อนหน้านี้นางท่องคาถา นั่งอยู่บนพื้นพลางหยิบถุงผ้าปักลายใบหนึ่งออกมา พอคลายปมเชือกออก เงินเหรียญทองแดงเก่าแก่ที่มีรูปแบบแตกต่างกันก็พากันกลิ้งออกมาแล้วกระจายตัวไปสี่ทิศด้วยตัวเอง

ส่วนอาจารย์และศิษย์สองคนกลับมีเพียงมือเปล่า ทว่าตรงเอวของชายฉกรรจ์ห้อยลูกดอกไว้รอบเอว บนลูกดอกสลักอักขระยันต์ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่อาวุธของผู้ฝึกยุทธในยุทธภพบนโลก

สตรีและชายฉกรรจ์หันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน

ดูท่าตบะของพวกผีร้ายในวัดจะไม่ได้สูงส่งลึกล้ำอย่างที่ทั้งสองฝ่ายคาดการณ์กันเอาไว้ อีกทั้งยังหวาดกลัวแสงอาทิตย์อย่างมาก หากไม่มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น วัดจินตั๋วแห่งนี้ก็น่าจะไม่มีผีร้ายหลายสิบตัวอะไรรวมตัวกันอยู่เลย เพียงแค่ชาวบ้านของเมืองอวี้ฮู่หวาดกลัวเกินไป เอาไปเล่ากันปากต่อปากจนเกินจริง ถึงได้มีโอกาสให้พวกเขาได้หาเงิน

ช่างมาเจอโชคใหญ่เทียมฟ้าจริงๆ!

พูดว่าโชคดีหล่นใส่ตัวก็ไม่เกินจริงไปแม้แต่น้อย!

ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในที่ว่าการของจวนเจ้าเมือง ต้องต่อรองราคากับขุนนางที่ตระหนี่ถี่เหนียวคนนั้นอยู่นาน ทั้งปะเหลาะพูดดี ทั้งหลอกลวง ทั้งข่มขู่ นี่ถึงได้ทำให้ทางการยอมรับปากว่าจะจ่ายเงินขาวให้ห้าพันตำลึง หากได้เงินเพียงเท่านี้ ต่อให้พวกเขาที่ผ่านความลำบากยากเข็ญสามารถสยบกำราบภูตผีที่ป้วนเปี้ยนอยู่ในวัดจินตั๋วไว้ได้ ก็ไม่ถือว่าคุ้มค่าอยู่ดี หากมีใครบาดเจ็บล้มตายขึ้นมาก็ยิ่งไม่คุ้มกัน แต่นอกจากเงินรางวัลที่ทางการจะมอบให้แล้ว พวกเขายังได้รับผลเก็บเกี่ยวก้อนใหญ่อีก นั่นคือเงินขาวอีกก้อนหนึ่งที่ท่านเจ้าเมืองรับปากว่าจะมอบให้ คือเงินสามหมื่นตำลึงเงินที่ตระกูลร่ำรวยและตระกูลปัญญาชนในเมืองยินดีช่วยลงขันสมทบเงินมาให้ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงนับว่าคุ้มค่าที่เสี่ยงอันตรายเดินทางมาเยือนวัดจินตั๋ว

คิดไม่ถึงว่าจะเหมือนเก็บเงินก้อนใหญ่ได้เปล่าๆ

ชายฉกรรจ์ปิติยินดีอยู่ในใจ กวาดตามองไปรอบด้านด้วยความฮึกเหิมพึงพอใจ ขอแค่จัดการกับพวกผีที่อยู่ในวัดได้ก็สามารถกลับไปทวงเงินสามหมื่นห้าพันตำลึงมาจากที่ว่าการแล้ว ถึงเวลานั้นเมื่อต้องแบ่งกันสามกับเจ็ดส่วนอย่างที่ตกลงกันไว้แต่แรก พวกเขาสองอาจารย์และศิษย์ก็น่าจะได้เงินหนึ่งหมื่นตำลึงกว่าๆ

วันนี้เป็นวันฤกษ์ดีที่เหมาะให้กำจัดปีศาจปราบมารจริงๆ!

ต่อมาทั้งสองฝ่ายก็เริ่มลงมือกันอย่างแท้จริง เมื่อเหรียญทองแดงเหล่านั้นของเด็กสาวกลิ้งอ้อมไปรอบตำหนักข้างนี้หนึ่งรอบ แต่ละเหรียญก็พากันตั้งตรงหยุดนิ่ง เมื่อเด็กสาวประกบสองนิ้วท่องคาถาเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกมันก็มุดหายไปในใต้ดินทันที เด็กสาวที่หน้าขาวซีดน้อยๆ หันไปมองพี่สาวของตัวเอง

หญิงสาวพยักหน้าให้เบาๆ ก่อนหันไปพูดกับชายฉกรรจ์เสียงเบาว่า “อีกเดี๋ยวข้ากับน้องสาวจะขึ้นไปรอบนหลังคาก่อนเพื่อหยั่งเชิงความตื้นลึกของพวกผีดู หากพวกมันถูกบีบให้ออกมา พวกเจ้าก็ลงมือทันที อย่าให้พวกมันหลบหนีไปใต้ดินตามจุดต่างๆ ของวัดได้เด็ดขาด หากพวกมันหลบซ่อนตัวไม่ยอมออกมา ฉวยโอกาสที่ตะวันยังส่องแสง พวกเจ้าก็รื้อถอนตำหนักข้างนี้ไปเลย เงินเหรียญทองแดงเหล่านั้นของน้องสาวข้าสามารถวาดพื้นที่เป็นกรงขังอยู่ใต้ดินได้ แต่ไม่อาจประคองตัวได้นานนัก ดังนั้นเมื่อถึงเวลาต้องลงมืออย่างรวดเร็ว”

ชายฉกรรจ์พยักหน้า เพียงเอ่ยว่า “วางใจเถอะ”

สองพี่น้องจึงทะยานขึ้นไปบนหลังคาของตำหนักข้างอีกครั้ง โยนยันต์กระดาษเหลืองเข้าไปข้างใน บางครั้งก็แทรกยันต์ล้ำค่าที่เขียนภาพอักขระด้วยผงสีทองไปด้วย

เด็กหนุ่มคนนั้นก็หยิบกระจกทองแดงออกมาบานหนึ่ง จับผิวหน้าของกระจกเอียงลงส่องไปตามหน้าต่างจุดต่างๆ ของตำหนักข้าง

 บัณฑิตหนุ่มสวมชุดขาวสะพายหีบไม้ไผ่คนหนึ่ง อันที่จริงได้มานั่งอยู่บนหลังคาเรือนห่างไปไม่ไกลแล้ว เพียงแต่ว่าเขาแปะยันต์แบกศิลาซึ่งเป็นวิชาลับของตำหนักขวานผีไว้บนร่าง ด้วยตบะของคนทั้งสี่ ย่อมมองไม่เห็น

อันดับต่อมาก็เป็นการเข่นฆ่าที่ ‘พลังอำนาจสะท้านสะเทือน’ ครั้งหนึ่ง

ควันดำกลิ้งหลุนๆ ลอยขึ้นฟ้า ต่อให้ถูกยันต์แต่ละแผ่นกรูกันพุ่งเข้าหา ถูกสตรีใช้เชือกพันธนาการปีศาจฟาดโบยให้ควันดำแหลกสลาย อีกทั้งเด็กหนุ่มยังใช้กระจกทองแดงส่องสว่างแผดเผา ยิ่งมีลูกดอกของชายฉกรรจ์แทงทะลุ แต่ควันที่หลังจากหนีออกมาจากกรงขังในตำหนักข้างได้แล้วก็คล้ายว่าจะยังกำเริบเสิบสานอย่างถึงที่สุด เมื่อถูกเชือกพันธนาการปีศาจ ยันต์และกระจกทองแดงทำให้แหลกสลาย ควันดำกลับล่องลอยไปสร้างอาณาเขตที่คล้ายกับผีบังตาอย่างหนึ่ง กลายเป็นว่ากักขังคนทั้งสี่ไว้ภายใน ต่อให้เด็กสาวจะพยายามควบคุมยันต์แต่ละแผ่นเต็มกำลัง แต่พวกมันก็ยังได้แค่เปลี่ยนเป็นมังกรเพลิงตัวเล็กบางเท่านั้น ไม่อาจฝ่าผนังควันดำที่มืดฟ้ามัวดินออกไปทำให้แสงแดดส่องทะลุเข้ามาภายในได้เลย ฉับพลันนั้นคนทั้งสี่ก็ตกอยู่ในอันตรายรายล้อม สองพี่น้อง ศิษย์อาจารย์หันหลังชนกัน บนร่างพวกเขาเริ่มมีบาดแผลแล้ว เพื่อช่วยเหลือเด็กหนุ่มที่ถือกระจก เด็กสาวยังถูกควันดำเส้นหนึ่งพุ่งเข้าชนที่แผ่นหลังจนกระอักเลือด แต่กระนั้นก็ยังฝืนดิ้นรนลุกขึ้นยืน หยิบเอายันต์กระดาษเหลืองปึกหนึ่งที่นางวาดด้วยตัวเองออกมา ทำมุทราร่ายคาถา สุดท้ายจึงกลายเป็นยันต์มังกรเพลิงตัวหนึ่ง นางยอมเผาผลาญปราณวิญญาณในร่างตัวเองไปอย่างไม่เสียดาย แต่ก็ต้องปกป้องคนทั้งสี่เอาไว้ให้จงได้

—–