บทที่ 509.6 แม่นางน้อยคนดี

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บัณฑิตชุดขาวขมวดคิ้วน้อยๆ ยกมือตบหน้าผาก พูดอย่างระอาใจว่า “ด้วยความสามารถน้อยนิดแค่นี้ของพวกเจ้ายังกล้ามากำจัดปีศาจปราบมารที่วัดจินตั๋วอีกหรือ แถมข้ายังช่วยเจ้าสังหารผีร้ายไปตั้งแปดเก้าในสิบส่วนแล้วนะ”

เขายิ้มบางๆ ดีดนิ้วเบาๆ หนึ่งที

การโคจรของควันดำที่ก่อนหน้านี้ไม่มีพันธนาการบางอย่างคอยสยบกำราบไว้พลันหยุดชะงัก พลิ้วกายลงพื้นกลายร่างเป็นผีร้ายสูงจั้งกว่าตัวหนึ่ง บวกกับที่มีแสงอาทิตย์จ้าสาดส่องลงมา ในที่สุดก็ถูกคนทั้งสี่ที่ตกอยู่ในอันตรายรายล้อมพุ่งเข้าสังหาร

เด็กสาวก้มตัวลง เช็ดเลือดสดตรงมุมปากและจมูก ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ท่านพี่ ครั้งนี้ข้าไม่ได้เป็นตัวถ่วงใช่ไหม?!”

หญิงสาวที่รอดตายมาได้ดวงตาแดงก่ำ เดินเร็วๆ ไปหยุดอยู่ข้างกายนาง ประคองน้องสาวที่ยืนได้ไม่มั่นคงเอาไว้แล้วถลึงตาใส่นาง “ทำตัวอวดเก่งเป็นวีรสตรีอะไรกัน พูดให้น้อยหน่อย รักษาบาดแผลให้ดี”

เด็กหนุ่มมองกระจกโบราณที่ผิวกระจกปริแตกไม่เหลือสภาพดี จากนั้นก็มองอาจารย์ที่ยืนหอบเป็นวัวอยู่ข้างกาย ฝ่ายหลังอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย แต่พอเห็นแววตาดุร้ายของเด็กหนุ่ม เขาที่ลังเลอยู่ชั่วขณะก็พยักหน้าเบาๆ

ชายฉกรรจ์กวาดตามองรอบด้านพลางพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “แม่นางซีหนิง แม่หนูเฉวียน ตอนนี้ดูแล้วฟ้าดินแจ่มกระจ่าง แค่มองก็รู้ว่าภูตผีปีศาจถูกกำจัดไปจนหมดสิ้นแล้ว ไม่สู้วันนี้พวกเราพักรักษาตัวในวัดหนึ่งวัน พรุ่งนี้ค่อยกลับไปที่เมืองดีไหม?”

สตรีขมวดคิ้ว “แม้จะบอกว่าวัดจินตั๋วไม่มีปราณชั่วร้ายอยู่แล้วก็จริง แต่ถึงอย่างไรพวกผีร้ายก็มายึดครองที่นี่อยู่นาน หากมีพวกปลาที่หลุดรอดแหไปได้ ข้ากับน้องสาวใช้ยันต์ไปหมดแล้ว ไม่เหลือเรี่ยวแรงให้ต่อสู้อีก รีบกลับไปที่เมืองจะดีกว่า”

เด็กหนุ่มส่ายหน้า “พี่หญิงซีหนิง หากพวกเรากลับไปเร็ว เจ้าเมืองต้องเข้าใจผิดคิดว่าการกำจัดปีศาจปราบมารของพวกเราง่ายดายมาก หากเจอกับพวกคนที่หน้าไม่อายหน่อย เงินห้าพันตำลึงยังพูดง่าย เพราะมีการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร พวกเราน่าจะเอากลับมาได้ แต่เจ้าเมืองจะใจจำไม่ยอมจ่ายเงินสามหมื่นตำลึงหรือไม่ก็บอกได้ยากแล้ว พวกเราน่ะ วันนี้ไม่เพียงแต่จากไปไม่ได้ กลับกันยังต้องรื้อกำแพงวัดบางส่วนด้วย ตอนที่กลับไปถึงจะได้รับเงินรางวัลมาเต็มจำนวน อีกทั้งต้องจงใจบอกกับเจ้าเมืองด้วยว่าผีร้ายของที่แห่งนี้ยังหนีรอดไปได้ตนสองตน พอพวกเราได้เงินมาแล้ว ต้องขอเพิ่มอีกห้าพันตำลึง ถึงจะสามารถทำภาระกิจกำจัดสิ่งชั่วร้ายได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์แบบ”

เด็กสาวกลอกตามองบน แล้วนางก็ต้องรีบอุดปาก หันหน้าไปกระอักเลือดอีกรอบ ค่อนข้างน่าอายแหะ

หญิงสาวใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้ายิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้ พรุ่งนี้ค่อยกลับเข้าเมือง พวกเราพักอยู่ในวัดก่อนสักคืนหนึ่ง พวกเราสองพี่น้องก็จะได้พักรักษาตัวพอดี”

และเวลานี้เองบัณฑิตชุดขาวที่มีสีหน้าตื่นตกใจคนหนึ่งก็วิ่งมาจากด้านข้างของตำหนักหน้า “เหตุใดบนพื้นของตำหนักหน้าถึงได้มีกระดูกขาวมากมายขนาดนั้น เหตุใดถึงไม่เห็นภิกษุเลยแม้แต่คนเดียว…หรือว่ามีภูตผีอาละวาดจริงๆ …”

เด็กสาวรู้สึกรำคาญเขามาก แต่พอเห็นว่าเขายังมีชีวิตกระโดดโลดเต้นได้อยู่ก็รู้สึกสบายใจขึ้น

หลังจากนั้นสองอาจารย์และศิษย์ก็ไปเก็บยันต์ส่วนที่เหลือ รวมถึงเอาพวกข้าวสารเสกเก่าแก่เหล่านั้นกลับมาบรรจุใส่ถุงอีกครั้ง วันหน้ายังสามารถเอาไปใช้ได้อีก

ส่วนสตรีก็เลือกหาห้องที่ค่อนข้างเงียบสงบซึ่งเวลาปกติทางวัดมีไว้ให้ผู้มีจิตศรัทธาที่มีเงินมาพักอาศัยคัดคัมภีร์มาห้องหนึ่ง เด็กสาวนั่งขัดสมาธิอยู่กลางระเบียง เริ่มเข้าฌานทำสมาธิ

ส่วนพี่สาวนางก็สำรวจตรวจตราสถานที่ต่างๆ ต่ออีกครั้ง หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น

บัณฑิตขี้ขลาดคนนั้นยืนกรานว่าจะตามพวกนางมาด้วย เขาปลดหีบไม้ไผ่ลง แล้วนั่งอยู่บนขั้นบันไดทำตัวเป็นเทพทวารบาล

ท่ามกลางแสงสนธยา หญิงสาวก็ย้อนกลับมา กวาดเอาสิ่งของจำพวกคัมภีร์ที่ยังสมบูรณ์แบบซึ่งมองดูแล้วน่าจะมีราคาบรรจุลงในห่อผ้าใบใหญ่ สะพายขึ้นหลังเอากลับมาด้วย

เด็กสาวลืมตาขึ้น ยิ้มกล่าวกับแผ่นหลังของบัณฑิตคนนั้น “อีกเดี๋ยวก็จะมืดแล้ว ไม่นานก็จะมีผีร้ายมาปรากฏตัว เจ้ายังไม่หนีไปอีกหรือ?”

บัณฑิตชุดขาวคนนั้นหันหน้ามายิ้มบางๆ ให้นาง “ในตำราบอกไว้ว่า คนกลัวผี ผียิ่งกลัวใจคน แต่ข้ารู้สึกว่าแม่นางเจ้าเป็นคนดี ดังนั้นอยู่ข้างกายเจ้าไม่ไปไหนน่าจะดีกว่า”

เด็กสาวพยายามใช้ความคิดอย่างหนัก สุดท้ายชูหมัดขึ้น “สรุปว่าเจ้าชมข้าหรือด่าข้ากันแน่? หากเจ้ายังพูดจาเหลวไหลแบบนี้อีก ระวังข้าจะต่อยเจ้าเอานะ?!”

บัณฑิตคนนั้นชูมือทั้งสองข้างขึ้น “วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ”

เด็กสาวหัวเราะหึหนึ่งที พลันรู้สึกนึกสนุก “ข้าไม่ใช่วิญญูชนอะไรทั้งนั้น ข้าเป็นสตรี มา ให้ข้าป้อนหมัดเจ้าหนึ่งที หากต่อยให้เจ้าฉลาดขึ้นได้อีกหน่อย ไม่แน่ว่าเจ้าอาจสอบติดมีชื่ออยู่บนกระดานทองคำก็ได้นะ!”

คนผู้นั้นสมกับเป็นหนอนหนังสือที่อ่านตำราจนทึ่มทื่อจริงๆ เขาถึงได้หัวเราะเอ่ยว่า “ข้าเห็นว่าแม่นางทำอะไรเปิดเผยตรงไปตรงมา มีจิตใจกว้างขวางเมตตา ไม่ได้แย่ไปกว่าวิญญูชนเลย”

สีหน้าของหญิงสาวเริ่มไม่สบอารมณ์ “ในเมื่อคุณชายคือบัณฑิตคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าวิญญูชน ก็ควรจะรู้หลักมารยาทที่ชายหญิงไม่ใกล้ชิด เหตุใดยังทำหน้าหนาดึงดันจะอยู่ที่นี่ มันเหมาะสมแล้วหรือ?”

เด็กสาวรู้สึกว่าบัณฑิตเปลี่ยนมาเป็นฉลาดขึ้นอีกนิดหนึ่งแล้ว ได้ยินเพียงเขาเอ่ยว่า “ข้าไม่ใช่วิญญูชนเสียหน่อย เป็นเพียงบัณฑิตยากจนคนหนึ่ง หากในวัดจินตั๋วมีผีอยู่จริงๆ ข้าก็คงไม่วิ่งออกไปตายหรอก อยู่ที่นี่นั่นแหละดีแล้ว”

หญิงสาวตวาดเสียงกร้าว “ไสหัวไป!”

เด็กสาวกำลังจะพูด แต่กลับถูกพี่สาวของนางถลึงตาใส่จึงตกใจอึ้งไป

บัณฑิตจึงได้แต่สะพายหีบไม้ไผ่เดินออกไปจากเรือนอย่างกล้าๆ กลัวๆ

คาดว่าคงจะไปนั่งหันหน้าเข้าผนังทบทวนตัวเองอยู่ข้างนอกกระมัง?

เด็กสาวพูดเสียงเบา “ท่านพี่ ทำไมต้องดุขนาดนี้ด้วย เขาก็แค่หนอนหนังสือคนหนึ่งเท่านั้น”

หญิงสาวขมวดคิ้ว “ตอนนี้เจ้าต้องรักษาบาดแผล ไม่อาจปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ ได้ คนผู้นี้ปรากฎตัวอยู่บนเส้นทางมุ่งหน้ามาวัดก็แปลกประหลาดมากพอแล้ว เข้ามาในวัดจินตั๋วพร้อมกับพวกเราก็ยิ่งผิดปกติ หากไม่เป็นเพราะเขาเดินนำหน้าพวกเรามาก่อน อย่าว่าแต่ไล่คนเลย ให้ลงมือกับเขาข้าก็จะไม่เลอะเลือนแม้แต่น้อย”

นางพูดเสียงอ่อนโยน “เอาล่ะ เจ้าพักผ่อนต่อไปเถอะ”

เด็กสาวพยักหน้ารับ เพียงแต่ว่ายังคงชำเลืองตามองไปทางประตูเรือน

พี่สาวของนางโมโหจนกลายเป็นขำ “ไม่มีผีอะไรแล้ว แค่คนเป็นๆ อย่างพวกเราห้าคน เขาก็แค่ต้องนอนอกสั่นขวัญผวาอยู่ข้างนอกคืนเดียว เจ้าไม่เป็นห่วงพี่สาวแท้ๆ ของตัวเอง? ไม่เป็นห่วงพวกเขาที่รบเคียงบ่าเคียงไหล่เรามา แต่ดันไปห่วงเขาที่เป็นคนนอกน่ะหรือ ทำไม เห็นว่าเขาเป็นบัณฑิตก็เลยหวั่นไหว? ข้าบอกเจ้าแล้วอย่างไรล่ะว่า ใต้หล้านี้ก็มีบัณฑิตนี่แหละที่พึ่งพาไม่ได้มากที่สุด…”

เด็กสาวพูดวิงวอน “ก็ได้ๆ ข้าจะฝึกตนเดี๋ยวนี้ ตั้งใจฝึกตนเดี๋ยวนี้เลย!”

ม่านราตรีหนาหนัก

เด็กสาวนั่งอยู่ตรงระเบียงสงบใจทำสมาธิ จิตวิญญาณจมจ่อมอยู่ภายใน

ส่วนหญิงสาวก็นั่งพักผ่อนอยู่ตรงขั้นบันได แต่ไม่กล้าหลับสนิทไปจริงๆ

เพราะถึงอย่างไรก็อยู่ที่วัดจินตั๋ว

ทันใดนั้นก็มีลูกดอกหลายลูกพุ่งแหวกอากาศเข้ามาทางประตูเรือน

เงาร่างที่คุ้นเคยก้าวยาวๆ เข้ามาใกล้อย่างต่อเนื่อง

แม้ว่าหญิงสาวจะตกตะลึง แต่ถึงกระนั้นชายแขนเสื้อก็ยังโบกสะบัด ตบให้ลูกดอกแหลมคมทั้งหลายปลิวกระจายออกไป

ปลายมีดเล่มหนึ่งเหวี่ยงตรงมาที่ลำคอของน้องสาวนาง พละกำลังนั้นมหาศาล คนที่ลงมือก็คือเด็กหนุ่มที่นั่งยองอยู่บนหัวกำแพง

หญิงสาวปล่อยให้ลูกดอกลูกหนึ่งปักตรึงเข้าที่ไหล่ของตนเพื่อพุ่งตัวออกไป ใช้มือคว้าจับปลายมีดที่ห่างจากลำคอน้องสาวแค่สองชุ่น ทว่าชายฉกรรจ์ที่เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวกลับเดินมาถึงข้างกายนางก่อนแล้ว เขาปล่อยหมัดต่อยเข้าที่จุดไท่หยางของนาง ทำให้ร่างของนางพุ่งเข้ากระแทกชนผนังและหน้าต่างจนพังครืนลงมาเกินครึ่งแถบ ก่อนจะไปร่วงในห้อง กระอักเลือดไม่หยุด ดิ้นรนอยู่หลายครั้งก็ยังลุกไม่ขึ้น

เด็กหนุ่มคนนั้นกระโดดลงมาจากหัวกำแพงเบาๆ หัวเราะชั่วร้ายกล่าวว่า “อาจารย์ แม่หนูเฉวียนหากไม่ต้องฆ่าก็อย่าเพิ่งฆ่าเลย ทางที่ดีที่สุดก็อย่าเพิ่งฆ่าพี่หญิงซีหนิงให้ตาย แค่ทำลายมือเท้าของเทพเซียนสองท่านอย่างพวกนางก็พอแล้ว”

ชายฉกรรจ์ยกฝ่ามือขึ้นตบเด็กสาวที่เพิ่งฝืนตัดขาดการเข้าฌาน ส่ายหน้ากล่าว “นังหนูนี่ยิ่งรับมือได้ยาก อาจารย์จะช่วยเก็บพี่สาวของนางไว้ให้เจ้าก็แล้วกัน”

เด็กหนุ่มหัวเราะฮ่าๆ “ได้ทั้งทรัพย์สินและสาวงาม!”

ชายฉกรรจ์พลันขวับกลับไป มือข้างหนึ่งบีบคอของเด็กสาวเอาไว้ หันหน้าไปมองทางประตูเรือน

เด็กหนุ่มเองก็พุ่งตัวมาหยุดอยู่ข้างกายชายฉกรรจ์อย่างรวดเร็ว

ตรงประตูเรือนมีศีรษะหนึ่งโผล่ออกมา พูดอย่างขลาดๆ ว่า “ดินแดนบริสุทธิ์ของพุทธศาสนา พวกเจ้าทำเรื่องแบบนี้คงไม่ค่อยดีกระมัง?”

เด็กสาวที่สีหน้าเขียวคล้ำขยับริมฝีปากเบาๆ คล้ายจะอยากเตือนให้เจ้าทึ่มผู้นั้นรีบหนีไป

ดูเหมือนคนผู้นั้นก็มองเห็นสภาพของเด็กสาวแล้วเช่นกัน เขาอึ้งตะลึงไป “แม่นางน้อยคนดีผู้นี้ ต้องการให้ข้าช่วยหรือ? วางใจเถอะ ข้าคนนี้มีจิตใจรักความเป็นธรรมมากที่สุด อ่านตำราอริยะปราชญ์มาตั้งหลายปีขนาดนี้ บอกตามตรงว่าอันที่จริงก็ได้สั่งสมปราณเที่ยงธรรมไว้เต็มท้อง เดินทางไกลพันลี้ได้อย่างเสรีปลอดภัยแล้ว…”

เด็กสาวพยายามส่ายหน้าสุดกำลัง น้ำตาไหลนองมาข้างแก้ม

สองแก้มของเด็กสาวแดงก่ำ

น่ารักน่าเอ็นดูอย่างมาก

คนผู้นั้นค่อยๆ หรี่ตาลง ไม่มีสีหน้าทึ่มทื่อเซ่อซ่าอีก เขาเผยตัวอยู่ตรงหน้าประตูอย่างเปิดเผย ยกฝ่ามือขึ้นดีดนิ้ว “ออกมาเถอะ คนในโลกสว่างบางคนก็ควรถูกผีในโลกมืดกินไส้”

สองอาจารย์และศิษย์เห็นว่าด้านหลังของบัณฑิตอ่อนแอผู้นั้นมีผีร้ายสูงหนึ่งจั้งกว้างเดินออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ปราณดุร้ายเข้มข้นเหนือกว่าผีตัวก่อนหน้านั้นมากนัก

ชายฉกรรจ์รีบปล่อยลำคอเด็กสาวออกทันที “อันที่จริงคุณชายคือราชาผีของที่แห่งนี้กระมัง ทุกอย่างล้วนเป็นความเข้าใจผิด อันที่จริงพวกเราสองอาจารย์และศิษย์ไม่ได้มีใจคิดจะล่วงเกินสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ล้วนเป็นผู้ฝึกตนสองคนนี้ที่ละโมบในความดีความชอบและเงินรางวัล…”

ผีร้ายกลายร่างเป็นควันดำกลิ้งหลุนๆ พุ่งเข้ามาห่อหุ้มร่างของชายฉกรรจ์คนนั้นเอาไว้ในชั่วพริบตา ทันใดนั้นเสียงเลือดเนื้อฉีกขาด เสียงกระดูกปริแตกก็ดึงขึ้นมาพร้อมกับเสียงแผดร้องโหยหวนของเขา

เด็กหนุ่มกลับไม่ได้ตกใจจนขวัญกระเจิง เขายังมีแรงดีดปลายเท้ากระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพง ถอยหนีไปอย่างรวดเร็ว

ผีร้ายคล้ายจะได้รับคำสั่งจึงปล่อยบุรุษที่ตายคาที่ไปแล้วผู้นั้น พุ่งตัวออกจากกำแพงเรือน ตามไปไล่ฆ่าอีกฝ่าย และไม่นานก็มีเสียงความเคลื่อนไหวที่ฟังแล้วน่าอนาถไม่ต่างจากเมื่อครู่นี้ดังขึ้น

จากนั้นแสงกระบี่เส้นหนึ่งก็หล่นลงมาจากฟ้า ผีตัวที่อยู่ด้านนอกร้องโหยหวนก้องสะเทือนไปทั้งฟ้าดิน คาดว่าที่เมืองก็น่าจะได้ยิน และคงทำให้ชาวบ้านจำนวนนับไม่ถ้วนตกอกตกใจ เพียงแต่ว่าไม่นานฟ้าดินก็เงียบสงัด

เด็กสาวปากอ้าตาค้าง ถามอย่างเหม่อลอย “เจ้าคือราชาผี?”

บัณฑิตหัวเราะ เดินมานั่งบนขั้นบันได ย้อนถาม “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”

เด็กสาวพลันกล่าวว่า “อย่ากินข้านะ ข้าขอไปดูพี่สาวข้าก่อน”

บัณฑิตพยักหน้าให้ “ตกลง”

เด็กสาวอยากจะถลึงตาใส่เขา เพียงแต่พอคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะเป็นราชาผีของวัดจินตั๋วก็รีบไปดูพี่สาวของตน แล้วประคองนางพาเดินออกมาจากในห้อง

หญิงสาวได้แต่ยิ้มเจื่อนไร้คำพูด ทำได้เพียงยืนรอความตายอย่างเดียวเท่านั้น

ความเคลื่อนไหวด้านนอกก่อนหน้านี้ นางล้วนเห็นอย่างชัดเจน

เด็กสาวมองกองเลือดเนื้อที่อยู่บนพื้นด้วยสีหน้าซับซ้อน สายตาหม่นหมอง

เหตุใดถึงเป็นอย่างนี้ไปได้?

ไม่ได้ตายด้วยน้ำมือของผีร้าย แต่กลับเกือบจะตายด้วยน้ำมือของอาจารย์และศิษย์ที่เดินทางท่องเที่ยวแคว้นไหวหวงร่วมกับพวกนางมาเกินครึ่งแคว้นคู่นี้

เวลาปกติมองดูแล้วพวกเขาก็เป็นคนดีมากนี่นา

เมื่อพวกนางเดินออกมาจากห้อง บัณฑิตชุดขาวก็ลุกขึ้นยืนและเดินออกไปนอกเรือนแล้ว เพียงแค่หันหน้ามาพูดกับแม่นางน้อยคนนั้นว่า “วันหน้าพี่สาวของเจ้าต้องพูดกับเจ้าด้วยน้ำเสียงที่ยิ่งมั่นใจว่า ใต้หล้ามักจะมีคนชั่วแบบนี้อยู่มากมายเสมอ แต่แม่นางน้อย เจ้าไม่ต้องรู้สึกผิดหวัง ผู้คนและเรื่องราวบนโลกมนุษย์ไม่ได้เป็นเช่นนี้เสมอไป และเจ้าก็คิดถูกแล้ว ไม่ว่าจะเคยเห็นหรือประสบพบเจอมามากน้อยแค่ไหน กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง กี่คนต่อกี่คน หวังว่าเจ้าจะจำไว้ว่า เจ้ายังคงคิดถูกแล้ว”

คนผู้นั้นหยิบเอางอบใบหนึ่งออกมาสวมไว้บนหัว “เจ้าเห็นไหม คนทำดีต้องได้ดี คนทำชั่วต้องได้ชั่ว อย่างน้อยที่สุดคืนนี้ประโยคนี้ก็เป็นความจริง”

พอเดินออกจากเรือนไปแล้ว คนผู้นั้นก็พลันเอนตัวมาด้านหลัง ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “แม่นางน้อย เจ้าหน้าตางดงามมาก วันหน้าจะต้องเจอบุรุษในดวงใจอย่างแน่นอน”

แม่นางน้อยกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ปาดน้ำตาบนใบหน้าทิ้ง “คนบ้า!”

แล้วจู่ๆ แม่นางน้อยก็คิดถึงแสงสีทองเส้นนั้นขึ้นมาได้ ดวงตาจึงเป็นประกายระยิบระยับ “แท้จริงแล้วเจ้าคือเซียนกระบี่คนหนึ่ง ใช่หรือไม่?”

คนผู้นั้นค่อยๆ ยืนนิ่ง ยิ้มบางเอ่ยว่า “ข้าคือมือกระบี่ที่อ่านตำราจนทึ่มทื่อคนหนึ่ง”

หลังจากนั้นคนผู้นั้นก็กลายร่างเป็นสายรุ้งสีขาวที่ทะยานขึ้นจากพื้นดินแล้วพุ่งตัวจากไปทางทิศเหนือ

—–