บทที่ 1599 โจมตีทำลายแนวป้องกัน

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เมื่อกล่าวคำว่าหน่วยตรวจการซ้ายออกมา ก็ราวกับโดนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ทำให้เฟยหงตกตะลึงไม่เบา ชั่วพริบตาเดียวใบหน้างามก็ถอดสี มองอวิ๋นจือชิวที่หันหลังให้อย่างระแวงสงสัย ถึงแม้สีหน้าจะแย่มาก แต่ก็ยังฝืนตอบไปว่า “เฟยหงไม่เข้าใจว่าฮูหยินกำลังพูดอะไรค่ะ”

อวิ๋นจือชิวหันตัวช้าๆ แล้วกล่าวพร้อมสายตาเย็นเยียบ “เรื่องวางยานายท่านที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท เจ้าคงยังไม่ลืมหรอกใช่มั้ย!”

เฟยหงร่างกายโอนเอนทันที เดินโซเซถอยหลัง ทำท่าราวกับเห็น ใบหน้าซีดขาวไปหมดแล้ว จากนั้นเผยรอยยิ้มฝืนๆ “ที่แท้นายท่านก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วนี่เอง น่าขำที่ข้า…ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว ว่าทำไมนายท่านรักษาระยะห่างกับข้ามาตลอด ทำไมต่อให้จะเป็นจะตายยังไงก็ไม่แต่งตั้งข้าเป็นฮูหยินเอกสักที ที่แท้ก็มีแผนในใจตั้งนานแล้ว”

อวิ๋นจือชิวไม่พูดอะไร มองนางอย่างเย็นชา

เจาะกระดาษหน้าต่างพูดเปิดอกขนาดนี้แล้ว เฟยหงกลับค่อยๆ ปล่อยวางด้วยซ้ำ รอยยิ้มฝืนใจยังคงอยู่บนใบหน้า เพียงแต่งความเสี่ยงไว้แล้วน้ำเสียงเด็ดขาดขึ้นไม่น้อย “ในเมื่อรู้ถึงตัวตนของข้าแล้ว พวกท่านจะทำอะไรข้าล่ะ? จะฆ่าทิ้งเหรอ? วันนี้ตอนที่ได้รับคำสั่งจากเบื้องบน เบื้องบนพิจารณาถึงความเสี่ยงไว้แล้ว ถ้าหากข้าตาย เกรงว่าหน่วยตรวจการซ้ายจะสงสัยทันทีว่าฝั่งนี้มีปัญหา”

นี่ก็คือจุดที่เป็นปัญหายุ่งยาก ถ้าฆ่าผู้หญิงคนนี้ทิ้งก็จะมีปัญหาแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ถ่วงเวลามาจนถึงวันนี้หรอก! แต่อวิ๋นจือชิวก็ไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของนาง “สิ่งนี้ไม่นับว่าเป็นปัญหาหรอก ถ้ามีคนบุกโจมตีเข้ามาในจวนแม่ทัพภาคตลาดผีเพื่อฆ่าเจียงอีอี จะมีคนตายไปบ้างก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรนัก อย่างมากข้าก็แค่ให้ความร่วมมือเจ็บตัวไปด้วย เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ?”

“หึหึ!” เฟยหงหัวเราะอย่างน่าเวทนาพลางส่ายหน้าช้าๆ “ข้าไม่เข้าใจ ในเมื่อเจ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้ว ทำไมตอนแรกยังกล้ารับข้าไว้อีก?”

อวิ๋นจือชิวไม่ได้บอกสาเหตุที่แท้จริง “ก็เพราะนายท่านชอบเจ้าจริงๆ ไงล่ะ ต่อให้จะรู้ว่าเจ้าคือสายลับของหน่วยตรวจการซ้าย ต่อให้ก่อนหน้านี้จะรู้ว่าเจ้าแอบได้ยินอะไรอยู่นอกคุก แต่ก็ไม่อยากทำให้เจ้าลำบาก ในใจของนายท่านยังมีเจ้าอยู่ ยังมีความหวังกับเจ้าอยู่บ้าง ยังอยากพยายามรั้งเจ้าไว้ ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่มาโผล่อยู่ตรงนี้หรอก นายท่านเพียงอยากจะรู้เท่านั้นเอง ว่าความรักความห่วงใยที่นอนเคียงหมอนกันมาหลายปี สำหรับเจ้าแล้วเทียบกับหน่วยตรวจการซ้ายไม่ได้เชียวเหรอ? นายท่านแค่ต้องการคำตอบเดียวเท่านั้น!”

“ความรักความห่วงใย!” เฟยหงตาเป็นประกายทันที จากนั้นก็หดหู่ลงอีกครั้ง นางถอยหลังช้าๆ นั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง “ความรักความห่วงใยจากไหนกัน ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ข้ายังมองไม่ออกเลยว่าเขารักห่วงใยอะไรข้า”

อวิ๋นจือชิวจึงบอกว่า “ไม่แสดงออกก็ใช่ว่าจะไม่รัก ก่อนหน้านี้นายท่านบอกข้าไว้แล้ว ที่จริงในหลายปีมานี้เขาก็ขัดแย้งในตัวเองมาตลอดเหมือนกัน เป็นเพราะฐานะของเจ้า เขาอยากจะเข้าใกล้เจ้า แต่ก็กลัวเจ้าอีก ถ้าเปลี่ยนเป็นเจ้า เจ้าจะยังสนิทสนมไหวรึเปล่าล่ะ?”

เฟยหงกล่าวเสียงต่ำอย่างเศร้าสลด “บางทีอาจจะเป็นเพราะกังวลฐานะของข้า เลยไม่สะดวกจะแตกคอกับข้ามากกว่า” นางเองก็ไม่ได้โง่

แต่อวิ๋นจือชิวก็ไม่ใช่ไก่อ่อน กลับตาสว่างมองออกไรยางอย่างออกแล้ว ถึงได้กล่าวอย่างไม่ลังเลว่า “เจ้าคิดผิดแล้วล่ะ! เจ้าอยู่กับนายท่านมาหลายปีขนาดนี้ ก็จะน่าจะรู้นะว่านายท่านเป็นคนยังไง ขนาดในงานพิธีรับสนมของราชันสวรรค์ เขาเห็นอะไรขัดตาก็ยังด่าว่าขายผู้หญิงแลกเกียรติยศเลย เขาเป็นคนบุ่มบ่ามมุทะลุ ถ้าเขาไม่รักเจ้าเขาไม่มีทางเล่นละครตบตามาหลายปีขนาดนี้หรอก ถ้านายท่านอยากจะรับมือกับหน่วยตรวจการซ้ายเบื้องหลังเจ้าจริงๆ ก็ยิ่งไม่ต้องรักษาระยะห่างกับเจ้าเลย คงจะแกล้งสนิทสนมรักใคร่เจ้ามากเพื่อให้เจ้าประมาทแล้ว แต่นายท่านทำอย่างนั้นรึเปล่าล่ะ? เจ้าลองใช้หัวใจคิด เจ้าคิดว่านายท่านไม่รู้สึกอะไรกับเจ้าจริงเหรอ?”

พอได้ยินนางพูดแบบนี้ เฟยหงก็กัดริมฝีปาก ประสานนิ้วทั้งสิบเข้าไว้ด้วยกัน เห็นได้ชัดว่าไม่กล้ายืนยัน สีหน้าสับสนลังเล

อวิ๋นจือชิวฉวยโอกาสตีเหล็กตอนยังร้อน “ก่อนจะมาที่นี่ นายท่านบอกข้าไว้แล้ว มาเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ในเมื่อไม่มีทางปิดบังต่อไปได้ งั้นก็ต้องแก้ไขปัญหา นายท่านบอกเอาไว้เช่นกัน ว่าถ้าเจ้ารักเขาบ้างสักนิดจริงๆ ก็ให้ทิ้งหน่วยตรวจการซ้ายที่ชอบทำเรื่องลับลวงพรางนั่นซะ มาเป็นผู้หญิงของเขาอย่างแท้จริง อยู่ด้วยกันอย่างแท้จริง แต่ถ้าเจ้าตัดสินใจจะยืนฝ่ายหน่วยตรวจการซ้าย เขาก็จะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ แต่ถ้าเสียเวลาแบบนี้ต่อไปก็ไม่มีความหมายแล้ว เขาก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน และไม่อยากให้เจ้าเหนื่อยต่อไปด้วย เลยถือโอกาสนี้เสียเลย คิดเสียวาเขาเปิดโปงตัวตนของเจ้าได้ และให้เจ้ากลับไปที่หน่วยตรวจการซ้าย”

“ให้ข้ากลับไปเหรอ?” เฟยหงเงยหน้า ถามอย่างแปลกใจอยู่บ้างว่า “เขาไม่กลัวว่าข้าจะพูดเรื่องที่ได้ยินมาเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวบอกว่า “นี่ก็คือจุดที่ข้ากังวล แต่นายท่านไม่ได้คิดอย่างนั้น นายท่านบอกว่า เรื่องนี้ไม่ได้ผิดที่เจ้า ในปีนั้นถ้าไม่ใช่เพราะเขามีใจให้เจ้า ระหว่างพวกเจ้าก็คงไม่เดินมาถึงขั้นนี้ ถ้าเจ้าจะทำอย่างนี้จริงๆ ต่อให้ตายด้วยน้ำมือของเจ้า เขาก็ยอมรับ!”

เฟยหงหัวใจกระตุกวูบ นัยน์ตาแดงก่ำ หลังจากก้มหน้าเงียบไปนาน สุดท้ายก็ยังยืนขึ้นช้าๆ เดินเนิบนาบผ่านข้างกายอวิ๋นจือชิวไป แล้วกล่าวอย่างหดหูใจว่า “ให้ข้ากลับไปที่หน่วยตรวจการซ้ายดีกว่า ในเมื่อในใจทั้งคู่ต่างมีปมนี้อยู่ ฝืนอยู่เผชิญหน้ากันต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไร ถ้าพวกท่านกลัวว่าข้าจะเปิดเผยความลับ ก็ฆ่าข้าเสียเลย ข้าจะไม่บ่นอะไรทั้งนั้น” นางเดินมาข้างๆ สาวใช้ทั้งสอง แล้วเก็บพวกนางเข้ากระเป๋าสัตว์

“หยุดอยู่ตรงนั้น! ถ้าเจ้าจะไป ข้าก็ไม่ยื้อ เพราะนายบอกว่าอย่าทำให้เจ้าลำบากใจ ไม่มีใครกล้าฆ่าเจ้าหรอก!” อวิ๋นจือชิวหันตัวมา แล้วกล่าวเสียงดังว่า “เพียงแต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ ข้าเลยต้องถามให้ชัดเจน”

เฟยหงที่สาวเท้าเดินมาถึงประตูถามอย่างสิ้นหวังว่า “มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังมีอะไรน่าถามอีก?”

อวิ๋นจือชิวเดินมาข้างกายนาง “ข้าก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ข้าก็เลยไม่เข้าใจ! ข้าได้ยินนายท่านบอก ว่าถึงแม้เจ้าจะมีพื้นเพมาจากหอนางโลม แต่กลับไม่ใช่สตรีตกอับ เจ้าอยู่กับเขาตั้งแต่ยังเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ อยู่ด้วยกันมาหลายปีขนาดนี้แล้ว เจ้าไม่รู้สึกผูกพันอะไรกับเขาสักนิดเลยจริงๆ เหรอ เต็มใจทิ้งนายท่านไปโดยไม่ห่วงใยสักนิดเลยจริงๆ น่ะเหรอ?”

“ฮูหยิน มาถามเรื่องนี้ยังจะมีความหมายอะไรอีก?” เฟยหงถาม

อวิ๋นจือชิวตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ก็ต้องมีความหมายแน่นอนอยู่แล้ว คนเราไม่ได้ไร้ความรู้สึกเหมือนต้นไม้ใบหญ้า ต่อให้เจ้าจากไปโดยไร้ความห่วงใย แต่นายท่านล่ะ? หลายปีมานี้นายท่านมีความหวังต่อเจ้ามาตลอด ถ้าเจ้าทำให้ความหวังของนายท่านสูญเปล่าอย่างนี้ เจ้าจะให้นายท่านที่ทุ่มเทเงียบๆ มาหลายปีทนความรู้สึกได้ยังไง? ต่อไปเจ้าจะให้ข้าพูดกับเขาว่ายังไง เขาจะผิดหวังปวดใจขนาดไหนกัน ข้าไม่อยากให้เขาเป็นทุกข์ ข้าต้องช่วยหาคำตอบให้เขา ตกลงมั้ย?”

น้ำตาเม็ดใหญ่เท่าถั่วไหลพรากอาบแก้มเงียบๆ เฟยหงร้องไห้แล้ว ห้องไห้โดยไร้เสียง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี เอาแต่ส่ายหน้าไม่หยุด

อวิ๋นจือชิวกลับไม่ยอมปล่อยไป “หัวใจคนเราล้วนมีเลือดมีเนื้อ ต่อให้ต้องการจะส่งนายท่านไปตาย แต่ก็ต้องให้นายท่านตายอย่างเข้าใจกระจ่าง!”

“ข้าไม่รู้! จ้าไม่รู้…” ในที่สุดเฟยหงก็ร้องไห้อย่างเจ็บปวด นางเดินเข้าไปยืนชิดมุมแล้วส่ายหน้า ให้ความรู้สึกเหมือนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่แล้ว

“น้องสาวคนดี ถ้าเจ้าร้องไห้ต่อไปอย่างนี้ พี่สาวต้องใจสลายแน่ๆ” อวิ๋นจือชิวเดินเข้าไปโอบนาง ดึงเข้ามาไว้ในอ้อมกอด แล้วลูบหลังปลอบใจ “ร้องไห้ขนาดนี้แล้ว ถ้าจะบอกว่าไม่รู้สึกอะไรกับนายท่านสักนิดเลย ข้าก็ไม่เชื่อหรอก ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นก็ไม่ต้องไปไหนแล้ว ข้าจะไปคุยกับนายท่านเอง ให้หน่วยตรวจการซ้ายไปเจอผีเถอะ จะดีจะร้ายนายท่านก็ยังมีตระกูลโค่วเป็นที่พึ่ง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าหน่วยตรวจการซ้ายจะกล้าทำอะไรแข็งกร้าว พวกเขาไม่กล้าประกาศด้วยว่าเจ้าคือสายลับที่หน่วยตรวจการซ้ายส่งมาอยู่ข้างกายนายท่าน ตั้งแต่นี้ไปเรามาอยู่ด้วยกันดีๆ เหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน!”

“ไม่! ข้าทำไม่ได้…” เฟยหงที่โผเข้าอกอวิ๋นจือชิวยิ่งร้องไห้อย่างเจ็บช้ำ ราวกับต้องการจะระบายความอยุติธรรมในหลายปีมานี้ออกมา

“แล้วเป็นเพราะอะไรกันแน่ล่ะ!” อวิ๋นจือชิวประคองใบหน้างามที่ร้องไห้จนเหมือนดอกสาลี่เปียกฝน “ข้ารับประกันแล้วว่าหน่วยตรวจการซ้ายจะไม่กล้าทำอะไรเจ้า เจ้ายังมีอะไรให้กลัวอีก? มีเหตุผลอะไรเจ้าก็บอกมาสิ! ทำให้ข้าร้อนใจจะแย่แล้วนะ เป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้าพูดออกมาจะได้แก้ปัญหาได้สะดวกไง!”

เฟยหงพยายามส่ายหน้าสุดชีวิต ไม่ยอมบอกอะไรทั้งนั้น

อวิ๋นจือชิวนับว่ามองออกแล้ว ว่าผู้หญิงคนนี้ต้องมีจุดอ่อนอะไรที่อยู่ในมือหน่วยตรวจการซ้ายแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำท่าลำบากใจถึงขั้นนี้หรอก นางแววตาวูบไหว พลันใช้สองมือประคองไหล่กดไว้ด้านข้าง แล้วกล่าวเหมือนจะรับทุกอย่างไว้เอง “ได้! เรื่องนี้ข้าจะตัดสินใจให้เจ้าเอง เจ้าไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น อยู่ที่นี่ให้สบาย ตอนนี้ข้าจะขอให้พ่อบุญธรรมของข้าไปขอเจ้ามาจากหน่วยตรวจการซ้าย สายลับถูกแทรกเข้ามาในบ้านข้าแล้ว ถ้าไม่เชื่อหรอกว่าถ้าเปิดโปงแล้วพวกเขาจะไม่กล้าให้!” พูดจบก็เดินออกไป

“ไม่นะ!” เฟยหงโผเข้ามาทันที คุกเข่ากอดขาใต้กระโปรงอวิ๋นจือชิวเอาไว้ แล้วส่ายหน้าขอร้อง “อย่านะ! แม่ข้าอยู่ในมือหน่วยตรวจการซ้าย พวกเขาจะฆ่าแม่ข้า!”

“หา!” อวิ๋นจือชิวย่อเข่าประคองนางขึ้นมาทันที ถามด้วยสีหน้าตกใจว่า “เจ้าหมายความว่า หน่วยตรวจการซ้ายจับแม่เจ้าเป็นตัวประกันเหรอ? นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”

เฟยหงส่ายหน้าอีกครั้ง ไม่ยอมบอกอะไร เอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว

“เจ้าวางใจเถอะ ท่านพ่อบุญธรรมข้าจะช่วยทั้งเจ้าทั้งแม่เจ้า!” อวิ๋นจือชิวกล่าว

“อย่าเลย!” เฟยหงโดนอวิ๋นจือชิวกดดันจนสติแตกแล้วจริงๆ กอดแขนนางไว้ไม่ยอมปล่อย “ฮูหยิน ข้าขอร้องท่านล่ะ ไม่มีประโยชน์หรอก! หน่วยตรวจการซ้ายไม่มีทางยอมรับว่าตัวเองทำเรื่องนี้ ถ้าไปหาถึงที่ พวกเจ้าก็จะฆ่าแม่ข้าทันที ไม่มีทางเก็บแม่ข้าไว้เป็นหลักฐาน ไม่มีทางที่หน่วยตรวจการซ้ายจะเริ่มต้นแบบนี้!”

อวิ๋นจือชิวย่อมรู้ว่าหน่วยตรวจการซ้ายไม่มีทางเริ่มต้นแบบนี้ ไม่อย่างนั้นถ้าในภายหลังสายลับที่ยัดไว้ในบ้านต่างๆ มากดดันหน่วยตรวจการซ้ายแบบนี้กันหมด แบบนั้นหน่วยตรวจการซ้ายก็ต้องพังทลายแล้ว มีใครจะอยากโดนหน่วยตรวจการซ้ายควบคุมบ้างล่ะ?

อวิ๋นจือชิวประคองบ่าสองข้างของนางแล้วพูดเร่งเร้า “ไหนๆ ก็พูดถึงส่วนนี้แล้ว เจ้ายังมีอะไรน่าปิดบังอีก เรื่องเป็นยังไงกันแน่ เจ้าก็พูดมาสิ!”

มาถึงขั้นนี้แล้ว เฟยหงที่โดนทำลายแนวป้องกันโดยสิ้นเชิง ในตอนนี้ต้านรับการโจมตีจากนางไม่ไหวแล้ว นางเล่าออกมาหมดด้วยเสียงสะอื้นว่า “ชื่อเดิมของข้าคือไท่ซูอ้าวเสวี่ย ข้ามีพื้นเพชาติกำเนิดสูงส่งเหมือนกัน พ่อข้าคือไท่ซูเหวินชาง เทพประจำดาวมะโรงดินคนก่อน…”

นางเล่าถึงต้นสายปลายเหตุแบบขาดๆ หายๆ สรุปก็คือเดิมทีเฟยหงเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเทพประจำดาวมะโรงดินคนก่อน ตอนที่นางยังเด็ก จู่ๆ ตระกูลของนางก็เข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีโกงการทดสอบที่แดนอเวจี ทำให้ราชันสวรรค์เดือดดาลมาก ตระกูลไท่ซูถูกประหารล้างโคตร ตอนนั้นเฟยหงโดนควบคุมตัวไปประหารแล้ว นางเห็นดาบฟันลงมาตรงหน้าแล้วแท้ๆ แต่ใครจะคิดว่าหลังจากฟื้นขึ้นมากลับพบว่าตัวเองยังไม่ตาย คนที่ยังไม่ตายเช่นเดียวกันก็คือมารดาของนาง สองแม่ลูกถูกขังไว้ในสถานที่ที่ไม่รู้จักแห่งหนึ่ง ตอนหลังคนของหน่วยตรวจการซ้ายปรากฏตัว บอกว่าสาเหตุที่สองแม่ลูกยังรอดชีวิตมาได้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะความงามของเฟยหง ทำให้ทั้งสองอิ่มอกอิ่มใจ ตราบใดที่เชื่อฟัง ทั้งสองก็จะยังมีโอกาสรอดชีวิตอยู่ ตอนหลังสองแม่ลูกถูกจับแยกกัน เฟยหงถูกพาไปฝึกเลี้ยงอีกที่หนึ่ง เรียนพวกศิลปะร้องรำทำเพลง พอตอนหลังนางก็ถูกส่งตัวไปที่ดาวเทียนหยวน กลายเป็นนางระบำของหอนางโลม สุดท้ายก็ได้รับคำสั่งจากหน่วยตรวจการซ้าย ว่าให้ยั่วยวนเหมียวอี้ที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท จากนั้นก็อยู่ด้วยกันมาตลอดจนกระทั่งตอนนี้

……………………