บทที่ 1600 หน่วยตรวจการขวามารับตัว

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

หลังจากคายต้นสายปลายเหตุออกมาแล้ว เฟยหงก็นั่งลงบนพื้นราวกับเป็นอัมพาต น้ำตาไหลอาบเต็มใบหน้า

เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกันได้ยินแล้วรู้สึกสะเทือนใจ นึกไม่ถึงว่านางระบำจากหองนางโลมคนหนึ่งจะมีพื้นเพชาติกำเนิดอย่างนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นลูกสาวของเทพประจำดาว

อวิ๋นจือชิวก็ตกตะลึงพรึงเพริดเช่นกัน นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่านางจะเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเทพประจำดาวที่โดนประหารล้างตระกูลเพราะพัวพันกับคดีโกงการทดสอบแดนอเวจี ลูกสาวเทพประจำดาวผู้สง่าภูมิฐานตกต่ำจนกลายมาเป็นคนเต้นกินรำเต้นคนหนึ่ง ยังไม่ต้องพูดถึงสภาพจิตใจที่เปลี่ยนไประหว่างที่เติบโตของเจ้าตัว คนที่ได้มาฟังก็ต้องทอดถอนใจเช่นกัน

ก่อนหน้านี้เจียงอีอีจากสมาคมวีรชนก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน ตอนนี้เฟยหงจากหน่วยตรวจการซ้ายก็เป็นอย่างนี้อีก ทั้งสองล้วนพุ่งเป้ามาที่นี่ อวิ๋นจือชิวนับว่ายอมแพ้ตำหนักสวรรค์แล้ว เบื้องหลังทำเรื่องสกปรกไว้มากมาย ใช้วิธีการไร้ยางอายมาควบคุมคน

“น้องสาวคนดีไม่ต้องร้องไห้แล้ว!” อวิ๋นจือชิวประคองเฟยหงขึ้นมา แล้วกอดปลอบเอาไว้ในอ้อมอก “ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เจ้าก็ยิ่งกลับไปที่หน่วยตรวจการซ้ายไม่ได้แล้ว สายลับพลาดเปิดเผยตัวตนแล้ว หน่วยตรวจการซ้ายยังจะใช้งานเจ้าได้อีกเหรอ? ต่อให้ยังใช้งานได้ แต่ผีที่ไหนจะไปรู้ว่าพวกเขายังจะให้เจ้าทำเรื่องต่ำช้าอะไรที่ฝืนใจตัวเองอีก เจ้าเป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่ง จำเป็นต้องเดินไปถึงขั้นนั้นเหรอ? เจ้าเชื่อจริงเหรอ ที่พวกเขาบอกว่าตราบใดที่พวกเจ้าสองแม่ลูกเชื่อฟังก็จะยังมีโอกาสรอดชีวิต? พื้นเพภูมิหลังของพวกเจ้าสองแม่ลูกถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องทำเรื่องลับลวงพราง พวกเขาแค่จะบีบเค้นมูลค่าของเจ้าไว้ใช้ประโยชน์เท่านั้น รอจนเจ้าหมดประโยชน์แล้ว ก็จะถึงเวลาตายของพวกเจ้าสองแม่ลูก เข้าใจมั้ย?”

“แต่ข้าจะทำยังไงได้ล่ะ? จะให้เอาแต่มองดูแม่ข้าไปตายไม่ได้หรอก ถ้าทำตามที่พวกเขาบอก อย่างน้อยแม่ข้าก็จะไม่เป็นอะไร ยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้”

“เจ้าโง่เหรอ! เจ้ายังมีนายท่านไม่ใช่รึไง? อยู่ข้างกายนายท่านนอกจากจะปกป้องสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้แล้ว  การเฝ้ารออนาคตต่างหากถึงจะเป็นความหวังอย่างแท้จริง ขอเพียงนายท่านได้ผงาดขึ้นมา ถึงจะพิจารณาเพื่อเจ้าได้อย่างแท้จริง รอให้นายท่านมีศักยภาพขึ้นมาแล้ว มีหรือที่จะไม่คิดหาทางช่วยชีวิตพวกเจ้าสองแม่ลูกออกมาจากทะเลทุกข์? น้องสาว ถ้าอยู่กับหน่วยตรวจการซ้าย เมื่อไรที่เจ้าหมดเรื่องให้ใช้ประโยชน์ ก็มีแต่จะตายสถานเดียวเท่านั้น แต่ถ้าเจ้าอยู่ข้างกายนายท่านต่อไป มีพวกเราให้ความร่วมมือกับเจ้า เจ้าก็แสร้งว่ายังไม่โดนเปิดโปงได้ต่อไปเรื่อยๆ แบบนั้นเจ้าจะยังมีคุณค่าให้หน่วยตรวจการซ้ายใช้ประโยชน์ได้ตลอดไป ทั้งปกป้องเจ้าได้ ทั้งปกป้องแม่เจ้าได้ ต่อให้เจ้าไม่คิดเพื่อตัวเอง แต่ก็ต้องคิดเพื่อแม่เจ้ามากๆ หน่อย คิดเพื่ออนาคตของเจ้ากับแม่…”

พูดโน้มน้าวใจไปเป็นชุด เหยียนซิวที่เฝ้าอยู่นอกประตูได้ยินแล้วแอบส่ายหน้า สมกับเป็นเถ้าแก่เนี้ยโรงเตี๊ยมเมฆาวายุ ไม่น่าเชื่อว่าพูดแค่ไม่กี่คำก็โน้มน้าวให้สายลับของหน่วยตรวจการซ้ายกลายเป็นแผนซ้อนแผนแล้ว…

อวิ๋นจือชิวที่กลับเข้ามาในห้องตัวเองเหลือบมองเหมียวอี้ที่ยืนอยู่ริมหน้าต่าง จากนั้นเดินมาข้างหลังเขา ใช้สองมือกอดบนบ่าเขาพร้อมบอกว่า “เอาล่ะ ไม่ต้องกังวลแล้ว ข้าช่วยเจ้าฆ่าเฟยหงให้แล้ว”

เหมียวอี้กระตุกมุมปากเล็กน้อย ในดวงตาฉายแววสับสน ไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นอย่างไร แต่ก็อยู่กับเขามาหลายปี เขาพอจะจำได้รางๆ ถึงภาพที่นางเต้นระบำอย่างอ่อนช้อยยามเจอกันครั้งแรก ตอนเจอกันครั้งแรกก็จดจำไว้ในความทรงจำแล้ว เขาหันตัวมาช้าๆ แล้วถามด้วยสีหน้าขื่นขม “เจ้าฆ่านางแล้วเหรอ แล้วจะทำยังไงกับหน่วยตรวจการซ้ายล่ะ?”

อวิ๋นจือชิวเลิกคิ้วมองดูปฏิกิริยาของเขา ก่อนจะแสยะยิ้มไม่หยุด พลางใช้นิ้วชี้วาดวงตรงหัวใจของเขา “ทำไมล่ะ? ปวดใจเหรอ ตัดสินใจทิ้งไม่ลงเหรอ?”

วันนี้เกิดเรื่องขึ้นเยอะเกินไปแล้ว ทีแรกเหมียวอี้ยังนึกว่าอวิ๋นจือชิวยังมีวิธีการดีๆ อะไรแก้ปัญหาเรื่องเฟยหง นึกไม่ถึงว่าจะลงมือฆ่าทิ้งเสียเลย เขาส่ายหน้าตอบอย่างจนใจว่า “ข้าแค่กำลังคิดว่า ต่อไปจะรับมือกับหน่วยตรวจการซ้ายยังไง”

“พอแล้ว! ข้าล้อเจ้าเล่น หน้าตางดงามขนาดนั้น ทั้งยังร้องรำทำเพลงเก่ง ขนาดผู้หญิงด้วยกันเห็นแล้วยังหวั่นไหว มิหนำซ้ำเจ้ายังเป็นผู้ชาย ถ้าข้าฆ่ายอดดวงใจของเจ้าทิ้งจริงๆ เจ้าก็แค้นข้าไปทั้งชาติน่ะสิ!” อวิ๋นจือชิวพ่นเสียงทางจมูกพลางพูดประชด จากนั้นหันตัวและเดินบดแล้วไปทางข้างเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้าม ใช้สองมือรูดกระโปรงยาวจากบั้นท้ายแล้วนั่งลง ก่อนจะถอนหายใจคร่ำครวญว่า  “ก็ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ข้าไม่สวยเท่านางล่ะ ทำได้แค่ช่วยเช็ดก้นให้คนอื่นเท่านั้นเอง ไม่อย่างนั้นคงโดนเตะทิ้งไปไกลตั้งนานแล้ว”

“…” พอได้ยินตอนแรก เหมียวอี้ก็พูดไม่ออกก่อน พอได้ยินตอนท้ายก็อดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบน รีบเดินไปตรงหน้านางแล้วถามอย่างแปลกใจว่า “เจ้าไม่ได้ฆ่านางจริงเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวนั่งไขว่ห้าง ทำสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “งั้นเจ้าหวังให้ข้าฆ่านาง หรือหวังให้ข้าไม่ฆ่านางล่ะ?”

เหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ผู้หญิงคนนี้เหมือนจะหยอกเขาเล่นเพื่อความสนุก จึงยื่นมือไปแหย่เล่นบนใบหน้างามของนางเล็กน้อย “เลิกทำเป็นเล่นได้แล้ว พูดเรื่องสำคัญ”

เพี้ย! อวิ๋นจือชิวปัดมือเขาออก “ใครเล่นกับเจ้า เจ้าไปมีเล็กมีน้อยอยู่ข้างนอก ไม่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญของข้าหรอกเหรอ หรือเจ้าคิดว่าข้าเป็นฮูหยินเอกแล้วควรจะใจกว้าง?”

เหมียวอี้คว้าแขนนางดึงขึ้นมา ส่วนตัวเองก็นั่งลง แล้วดึงนางลงมานั่งบนตักตัวเอง จากนั้นเอามือคล้องเอวไม่ให้นางหนี “พูดมาให้ชัดเจน เรื่องเป็นยังไงกันแน่”

“อย่ามาอวดฉลาด!” อวิ๋นจือชิวดิ้นรนจะออกไป ไม่สนแล้วว่าเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร ในใจนางรู้สึกไม่สบอารมณ์ ไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบดึงผู้หญิงคนอื่นมาให้ผู้ชายของตัวเอง

เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง ใช้มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในเสื้อของนาง ถลกล้วงเข้าไปในชุดชั้นใน ไถลมือจากหน้าท้องขาวนุ่มขึ้นไปข้างบน แล้วคว้าก้อนเนื้ออิ่มเอิบข้างหนึ่งมาจับเล่น เล่นไปได้สองสามทีก็ทำให้ร่างกายที่บิดไปบิดมาของอวิ๋นจือชิวอ่อนระทวยแล้ว นางเอียงหน้าซบบ่าเขา หอบหายใจเบาๆ มองเขาอย่างออดอ้อน แล้วพึมพำกระซิบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง

เหมียวอี้ตกตะลึงนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าอวิ๋นจือชิวจะโน้มน้าวเฟยหงจนเปลี่ยนฝั่งได้แล้ว ถามว่า “ยืนยันได้หรือเปล่าว่าเป็นเรื่องจริง? อย่าโดนอีกฝ่ายเล่นแผนซ้อนแผนนะ”

อวิ๋นจือชิวขยับขาสองข้างขนาบมือมารแสนซนที่ไหลเข้าไปตรงหว่างขาเอาไว้แน่น นางคล้องคอเขาพลางกล่าวอย่างทนไม่ไหวว่า “เจ้าเล่นละครตบตานางมานานขนาดนี้ งั้นก็เล่นละครต่อไปเถอะ แสดงท่าทีให้อบอุ่นเป็นมิตรหน่อย นางสวยขนาดนั้น คงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเจ้าหรอกใช่มั้ย”

“เฮ้อ!” เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ ชักมือออกมาจากกระโปรงของนาง ผลักนางให้ลุกขึ้น “ก็มีแต่ต้องทำอย่างนี้แล้ว”

ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวที่กอดคอเขาอยู่จะไม่ยอมลุกขึ้น นางมองเขาด้วยแววตาออดอ้อนฉ่ำน้ำ ก้มหน้ากระซิบข้างหูเขาว่า “อุ้มข้าขึ้นไปบนเตียงสิ”

“เอ่อ…ไม่เหมาะสมมั้ง คนของหน่วยตรวจการขวาคงใกล้จะมาถึงแล้ว” วันนี้เหมียวอี้ไม่มีอารมณ์จริงๆ ฝืนลุกขึ้นยืน แกะมือทั้งคู่ของนางออกจากคอตัวเอง

อวิ๋นจือชิวที่ถูกจับให้ลุกขึ้นด้วยมองดูกระโปรงตัวเองที่เพิ่งโดนถกขึ้นมาแล้วไหลลงไปอีก นางถูกยั่วจนเกิดอารมณ์แล้ว แต่เขากลับไม่เล่นแล้วงั้นเหรอ หมายความว่ายังไง? สงสัยจะโดนหยอกเล่นโดยไม่ได้อะไรเลย ดวงตางามถลึงมองทันที นางแยกเขี้ยวโบกกรงเล็บทุบตีอยู่พักหนึ่ง เท้าที่อยู่ในกระโปรงเตะซ้ำๆ “ไอ้เวรนี่ กล้าล้อเล่นกับแม่เหรอ วันนี้เจ้าตาย…”

ผู้หญิงคนนี้จะปรี๊ดแตกแล้ว อย่าไปมีเรื่องด้วยจะดีกว่า เหมียวอี้หัวหดทันที จากนั้นก็ถลันตัวหนีไปแล้ว

คนเพิ่งจะพุ่งออกมาจากในห้อง หมอนใบหนึ่งก็ปลิวออกประตูตามมาแล้ว ยังดีที่ไม่โดน

เสวี่ยเอ๋อร์ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกเห็นนายท่านหนีไป เห็นหมอนปลิวออกมา ก็เม้มปากกลั้นขำทันที นางพบว่านายท่านไม่กลัวอะไรในโลกนี้ กลัวแค่เวลาฮูหยินอารมณ์ร้าย

อวิ๋นจือชิวที่โดนใครบางคนแกล้งจนเสื้อผ้ายุ่งยับถือหมอนใบหนึ่งพุ่งมาที่ประตู พบก็คือพบว่าไม่เห็นเงาเหมียวอี้แล้ว พอหันกลับมา ก็ถลึงตาบอกว่า “หัวเราะอะไรของเจ้า? เห็นข้าโดนรังแกแล้วเจ้าสนุกมากใช่มั้ย? เจ้าเข้าข้างใคร? ถ้าหัวเราะอีกที ฟันเจ้าร่วงหมดปากแน่!”

เสวี่ยเอ๋อร์รีบเม้มปากก้มหน้า พยายามไม่หัวเราะออกมา

เป็นอย่างที่เหมียวอี้บอก คนของหน่วยตรวจการขวาใกล้จะมาถึงแล้ว กลุ่มนี้มีคนสิบกว่าคน คนที่นำหน้ามาคือชายชราผมแห้งคนหนึ่ง ชื่อว่าเหมิงเซวี่ย เป็นหนึ่งในสามลูกพี่ใหญ่ของหน่วยตรวจการขวา หนึ่งในสามหัวหน้าผู้ตรวจการ พอเปิดเผยตัวตนแล้วก็บุกเข้ามาในจวนแม่ทัพภาคตลาดผีโดยตรง

เหมียวอี้ย่อมต้องโผล่หน้าออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง หลังจากได้รู้ถึงฐานะของอีกฝ่ายแล้ว เขาก็ถอนหายใจอย่างตกตะลึง จะเห็นได้ว่าหน่วยตรวจการขวาให้ความสำคัญกับเจียงอีอีขนาดไหน ไม่น่าเชื่อว่าหนึ่งในสามลูกพี่ใหญ่ของหน่วยตรวจการขวาจะออกโรงมารับคนด้วยตัวเอง

“วางน้ำชา!” เหมียวอี้หันกลับมาสั่ง

“ไม่ต้องแล้ว จัดการธุระก่อนแล้วกัน!” เหมิงเซวี่ยที่มองไปรอบๆ อย่างดุร้ายยกมือขึ้น พร้อมกล่าวห้ามด้วยเสียงแบหพร่า หลังจากเข้ามาก็ใช้สายตาเย็นเยียบกวาดมองโดยรอบตลอด ยังไม่หยุดใช้สายตาเลย

“อ๋อ! เชิญขอรับ!” เหมียวอี้ยื่นมือเชิญ แล้วนำทางด้วยตัวเอง

พอมาถึงประตูคุกใต้ดิน ก็มีคนของหน่วยตรวจการขวาสี่คนมาเฝ้าประตูไว้ทันที กันพวกอวิ๋นจือชิวที่พาเฟยหงมาเอาไว้ข้างนอก อนุญาตให้เหมียวอี้ตามเข้าไปในคุกใต้ดินคนเดียว

ก่อนจะเข้าไป เหมียวอี้ก็หันกลับไปมองอวิ๋นจือชิวแวบหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่านางเตรียมการอะไรไว้กันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าส่งตัวเจียงอีอีให้หน่วยตรวจการขวา ทว่าอวิ๋นจือชิวเอียงหน้าไปอีกด้านเหมือนอารมณ์เสีย ขี้คร้านจะสนใจเขา เห็นได้ชัดว่ายังโมโหเรื่องที่โดนแกล้งก่อนหน้านี้

เหมียวอี้ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่ก็ถือว่าโล่งอก ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนที่แยกแยะความสำคัญไม่เป็น ในเวลานี้ยังกล้ามากระเง้ากระงอด เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวไว้เหมาะสมแล้ว

เมื่อเห็นสภาพอนาถของเจียงอีอีที่โดนแขวนอยู่ในคุก เหมิงเซวี่ยก็พลันจ้องอย่างเย็นเยียบ หันหน้าช้าๆ กลับมามองเหมียวอี้ แล้วถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “แม่ทัพภาคหนิวทรมานเขาเหรอ? เขารับสารภาพอะไรแล้วหรือยัง?”

เหมียวอี้โบกมือเบาๆ “ข้ายังไม่ได้สืบสวนเขาเลย ไม่ได้แตะต้องเขาแม้แต่ผมเส้นเดียว ตอนตึกศาลาสัตยพรตส่งตัวมาก็มีสภาพเป็นอย่างนี้แล้ว เดี๋ยวผู้ตรวจการกลับไปถามก็รู้แล้ว”

พอเหมิงเซวี่ยบุ้ยปากไปทางเจียงอีอี ก็มีคนควงกระบี่ตัดเชือกทันที ปล่อยเจียงอีอีแล้ว ขณะเดียวกันก็มีคนตรวจอาการบาดเจ็บให้เจียงอีอี บันทึกอาการของเจียงอีอีเอาไว้อย่างละเอียด

มีอีกคนดึงผมที่ยุ่งเหยิงของเจียงอีอี หลังจากถือภาพวาดมาเปรียบเทียบแล้วก็ถามว่า “เจ้าคือเจียงอีอีเหรอ?”

“ใช่!” เจียงอีอีตอบเสียงเบา

เหมิงเซวี่ยถามแทรกอยู่ข้างๆ ว่า “ตรงนี้ไม่มีใครสอบสวนเจ้าจริงๆ ใช่มั้ย? ใครซ้อมจนเจ้ามีสภาพเป็นอย่างนี้?”

เหมียวอี้เริ่มรู้สึกบีบหัวใจทันที กังวลว่าเจียงอีอีจะพูดซี้ซั้ว แต่โชคดีที่เจียงอีอีส่ายหน้าเบาๆ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ไม่มี ไม่รู้ คงจะเป็นตึกศาลาสัตยพรต”

เหมิงเซวี่ยเหล่ตามองเหมียวอี้แวบหนึ่ง จากนั้นก็ส่งสายตาให้ลูกน้องอีก

จากนั้น พลังอิทธิฤทธิ์บนตัวเจียงอีอีที่ถูกผนึกไว้ก็คลายออก แล้วยื่นแผ่นหยกแผ่นหนึ่งให้ตรงหน้าเจียงอีอี ให้เขาลงตราอิทธิฤทธิ์เพื่อนำมาเปรียบเทียบตรวจสอบตัวตน

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้ว เจียงอีอีที่ได้พลังอิทธิฤทธิ์กลับมาก็เหมือนจะฟื้นฟูกำลังวังชากลับมาแล้ว ตอนที่จะถูกผนึกพลังอีกครั้งและพาตัวไป จู่ๆ ก็บอกว่า “ข้ามีอะไรจะพูด”

…………………………