บทที่ 1601 ปลิดชีพตัวเอง

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

“อ้อ!” เหมิงเซวี่ยรีบไปมองทางเหมียวอี้ ไม่มองเจียงอีอีแต่กลับจ้องปฏิกิริยาของเหมียวอี้ พร้อมสั่งอย่างเยียบเย็น “ว่ามา!”

ตอนนี้เหมียวอี้ตื่นเต้นกังวลถึงขีดสุด แต่บนใบหน้ากลับไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ไม่รู้ว่าเจียงอีอีต้องการจะพูดอะไร

“หลังจากข้าถูกจับตัวไป ก็ถูกทรมานเต็มที่ แต่ข้าก็ไม่ได้พูดอะไรเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีคนเชื่อรึเปล่า ข้าทำได้เพียงใช้วิธีพิสูจน์ ข้าขอเพียงอย่าทำร้ายน้องสาวข้า อย่าทำร้ายน้องสาวข้า…”

ทุกคนกำลังครุ่นคิดว่าสิ่งที่เจียงอีอีพูดหมายถึงอะไร แล้วจู่ๆ ก็เกิดเสียงระเบิดเบาๆ “อา!” เสียงร้องตกใจดังขึ้นหลายครั้ง เหมียวอี้พลันเบิกตากว้าง

เหมิงเซวี่ยหันขวับกลับไปมอง เห็นเพียงหน้าอกของเจียงอีอีระเบิดเลือดออกมากลุ่มหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะระเบิดเส้นชีพจรตัวเอง!

หลายคนเข้าไปอุ้มไว้ เหมิงเซวี่ยตกใจมากจนหน้าถอดสี รีบถลันตัวเข้าไปแล้วเช่นกัน คนกลุ่มนี้เรียกได้ว่าลนลานทำอะไรไม่ถูก รีบหยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมาช่วยชีวิตอย่างเร่งด่วน

เหมียวอี้รีบก้าวขึ้นไปดู เห็นเพียงตรงหน้าอกเจียงอีอีร่างกระตุกปรากฏโพรงที่มีเลือดไหลไม่หยุด อาจจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้เสียเลือดมากเกินไป หลังจากระเบิดแล้วในร่างกายจึงไม่มีเลือดออกมากนัก

สายตาไร้แววของเจียงอีอีมองดูเหมียวอี้ที่อยู่ด้านหลังกลุ่มคนแวบหนึ่ง มุมปากกระตุกเล็กน้อย เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับเขา แต่สุดท้ายก็ไม่มีแรงที่จะพูดออกมา

หมอกดาวที่ทำให้คนตาลายกรอกเข้าไปในร่างกายเจียงอีอี ทุ่มเททุกสิ่งอย่างไม่เสียดายเพื่อช่วยชีวิต แต่ก็ไม่มีประโยชน์ ดวงตาของเจียงอีอีค่อยๆ สิ้นแวว แล้วสุดท้ายก็เอียงหัวไปด้านข้าง ไม่เคลื่อนไหวแล้ว กลุ่มคนที่ล้อมดูเริ่มมือแข็งทื่อ มองดูเจียงอีอีที่ไร้การเคลื่อนไหวอย่างตะลึงค้าง ต่างก็รู้ว่าจบเห่แล้ว

หัวใจระเบิดหายไปแล้ว ช่วยชีวิตไม่ได้แล้วแน่นอน ทุกคนแค่พยายามลองสุดความสามารถก็เท่านั้นเอง

เหมียวอี้รู้สึกสับสนมาก เคยคิดถึงสถานการณ์ต่างๆ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเจียงอีอีจะระเบิดเส้นชีพจรตัวเองในเวลานี้ การฆ่าตัวตายต้องใช้ความกล้าขนาดไหน เขาไม่รู้ว่าอวิ๋นจือชิวทำอะไรกับเจียงอีอีกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะกดดันจนเจียงอีอียอมฆ่าตัวตายเอง!

เหมิงเซวี่ยที่ถือสมุนไพรเซียนซิงหัวอยู่ในมือลุกขึ้นยืนช้าๆ เขายังสงบนิ่งใจเย็น แต่อีกฝ่ายหน้าดำเป็นก้นหม้อแล้ว สีหน้าแย่มาก ท่าทางดุร้ายเหมือนอยากจะกินคน

หนึ่งในสามลูกพี่ใหญ่ของหน่วยตรวจการขวา เขาบังเอิญอยู่ใกล้กับที่นี่ที่สุดพอดี ดังนั้นจึงได้รับข่าวจากจากทูตขวา ทูตขวาเน้นย้ำว่าต้องพาคนมาที่หน่วยตรวจการขวาทั้งเป็นๆ อย่าให้มีอะไรผิดพลาดเด็ดขาด ดังนั้นเขาจึงออกหน้าด้วยตัวเอง แต่ใครจะคิดว่าจะมาเจอกับเรื่องแบบนี้ ผู้ตรวจการผู้สง่าภูมิฐานมาด้วยตัวเอง แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้เรื่องพังอย่างนี้แล้ว คนตายอยู่ใต้หนังตาตัวเอง ไม่ได้ตายอยู่ในมือคนอื่น ทั้งยังตายอยู่ในมือเขาเพราะความประมาทของเขาด้วย จะให้เขากลับไปรายงานผลการปฏิบัติงานกับหน่วยตรวจการขวาอย่างไรล่ะ จะอธิบายกับท่านทูตขวาอย่างไร?

เหมิงเซวี่ยหันขวับไปมองที่เหมียวอี้ ดวงฉายฉายแววดุร้าย คนที่ทำอาชีพอย่างพวกเขาล้วนใจคอโหดเหี้ยม ชั่วพริบตานี้เขาถึงขั้นอยากจะผลักความผิดไปให้เหมียวอี้ ทว่าเบื้องหลังของเหมียวอี้ก็เห็นๆ กันอยู่ อ๋องสวรรค์โค่วก็ไม่ใช่ไก่อ่อน ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปอาจจะฆ่าแล้วยัดความผิดให้ได้เลย แต่ทำอย่างนี้กับเหมียวอี้ไม่ได้

คนทั่วไปจะตายก็ตายไป แต่กับเหมียวอี้จะไม่ให้คำอธิบายก็ไม่ได้ ภายใต้ศักยภาพที่แตกต่างกัน ทำไมไม่จับทั้งเป็นแต่กลับปล่อยให้ตายไปพร้อมหลักฐาน? คำพูดประโยคเดียวของอ๋องสวรรค์โค่วจะทำให้เขาหาทางลงไม่เจอแน่นอน อ๋องสวรรค์โค่วก็มีมีคุณสมบัติในการกดดันสมาชิกทุกคนของหน่วยตรวจการขวาที่มีส่วนร่วมในการสืบสวนเช่นกัน ถึงตอนนั้นจุดจบของเขาก็จะอนาถยิ่งกว่า

แววตาดุร้ายของเหมิงเซวี่ยค่อยๆ เจือจางไป

เหมียวอี้ที่ระวังตัวอย่างสูงแอบตกใจ รู้ว่าตัวเองไปเยือนประตูผีมาแล้วรอบหนึ่ง ตระหนักได้เช่นกันว่าภูมิหลังอย่างตระกูลโค่วทำให้อีกฝ่ายเกรงกลัวแค่ไหน ไม่อย่างนั้นด้วยกำลังของอีกฝ่าย การจะฆ่าแม่ทัพภาคสักคนก็ไม่ทำให้เกิดเรื่องใหญ่โตอะไรเลย

“ผู้ตรวจการเหมิง ข้าไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่ายังไง ข้าไม่ได้จับตัวน้องสาวของเขามานะ” เหมียวอี้โบกมือ

เหมิงเซวี่ยเม้มริมฝีปากเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้สนใจ หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเกาก้วน รายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง แล้วสุดท้ายก็ขอคำชี้แนะ : ต้องสืบสวนคนที่ตลาดผีอย่างเข้มงวดหรือเปล่าขอรับ?

ทางเกาก้วนไม่ได้ว่าอะไรเขา หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ให้คำตอบว่า : ไม่ต้องแล้ว เรื่องนี้คงจะมีความจริงอีกอย่างที่ปกปิดอยู่ เจ้าไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ถอนกำลัง!

พอได้ยินว่าตนไม่ต้องรับผิดชอบ เหมิงเซวี่ยก็โล่งอก รู้สึกโชคดีที่เมื่อครู่นี้ตัวเองไม่ได้บุ่มบ่ามทำอะไรซี้วั้ว ไม่อย่างนั้นก็เป็นการหาเรื่องใส่ตัวจริงๆ

เกาก้วนพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขายังจะพูดอะไรได้อีก จริงเรียกลูกน้องและเตรียมตัวจะไป

“ผู้ตรวจการเหมิง ขั้นตอนที่ยังต้องดำเนินการก็ยังต้องดำเนินการ” เหมียวอี้หันตัวไปตะโกนบอกเหมิงเซวี่ยที่เดินผ่านไป

เหมิงเซวี่ยหยุดฝีเท้า หยิบแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง ทำหนังสือส่งต่องานกับเหมียวอี้ จากนั้นเหมียวอี้ก็ยังบอกอีกว่าจะไปส่ง แต่ผลปรากฏว่าอีกฝ่ายบอกอย่างไม่เกรงใจว่าไม่ต้อง

พวกอวิ๋นจือชิวที่อยู่นอกคุกได้แต่มองเจียงอีอีที่เลือดไหลออกจากอกถูกยกขึ้นมา มองส่งคนกลุ่มนี้จากไปแล้ว

เหมียวอี้เดินออกมาคนสุดท้าย สายตาของทุกคนมองไปบนตัวเขา อวิ๋นจือชิวรู้แล้วแต่ยังแกล้งถามว่า  “เป็นยังไงบ้าง?”

เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ ตอบด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนไร้ที่เปรียบว่า “ระเบิดเส้นชีพจรตัวเอง ช่วยไว้ไม่ทัน ตายแล้ว!”

ทุกคนได้ยินแล้วทอดถอนใจ เรื่องฆ่าตัวตายใช่ว่าทุกคนจะกล้าหาญทำได้ อวิ๋นจือชิวบอกเฟยหงที่ก้มหน้าเงียบๆ ว่า “น้องสาว พวกเราไปกันเถอะ”

หลังจากพวกผู้หญิงออกไปแล้ว หยางชิ่งก็เข้าใกล้ข้างกายเหมียวอี้ แล้วถามอย่างสงสัยว่า “ทำไมถึงระเบิดเส้นชีพจรตัวเองฆ่าตัวตายได้?”

เหมียวอี้ส่ายหน้า ไม่ได้ตอบอะไรทั้งนั้น ได้แต่เดินออกไปเงียบๆ รู้สึกหนักหน่วงในอารมณ์เล็กน้อย หลังจากเดินกลับเข้าห้องไปคนเดียว เขาก็นั่งเงียบไม่พูดจา

ผ่านไปไม่นานอวิ๋นจือชิวก็มาแล้ว นั่งลงเบาๆ ข้างกายเขา แล้วบอกว่า “ให้เฟยหงรายงานเรื่องที่ได้ยินและได้เห็นขึ้นไปแล้ว นางเป็นพยานด้วยว่าฝั่งพวกเราไม่ได้ทรมานสืบสวนเจียงอีอี พวกเราบริสุทธิ์เต็มตัวแล้ว นับว่าผ่านด่านนี้ไปแล้ว”

“ทำไมเขาถึงฆ่าตัวตาย? เจ้าทำอะไรกับเขา?” เหมียวอี้ถามอย่างนิ่งสงบ

อวิ๋นจือชิวถอนหายใจแล้วบอกว่า “ก็ไม่ได้ทำอะไร แค่ทำให้เขามั่นใจว่าเขาจะไม่มีทางรอดชีวิตออกจากจวนแม่ทัพภาคตลาดผีไปได้ ต่อให้ออกไปแล้วก็ไม่มีทางรอด แล้วก็รับปากเรื่องบางอย่างกับเขาอีกนิดหน่อย ทำข้อแลกเปลี่ยนกันเพื่อให้เขามีความหวังเล็กน้อยก็เท่านั้นเอง ดีกว่าตายโดยเปล่าประโยชน์” ขณะที่พูดก็หยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งมาวางไว้บนโต๊ะน้ำชา แล้วผลักไปตรงหน้าเหมียวอี้

เหมียวอี้เหล่ตามองแผ่นหยกบนโต๊ะน้ำชา พอหยิบมาอ่านในมือ ก็พบว่าเป็นจดหมายที่เจียงอีอีใช้ติดต่อกับน้องสาวตัวเอง หลังจากเขาอ่านจบก็เข้าใจแล้วว่าอวิ๋นจือชิวทำอะไรลงไป

หลังจากเข้าใจแล้ว ในใจกลับอึดอัดกลัดกลุ้มเล็กน้อย เจียงอีอีใช้วิธีการนี้จบชีวิตตัวเอง เขายอมรับว่าตัวเองโล่งอก แต่ก็ทำให้เขารู้สึกหนักใจอีกเช่นกัน เขาสามารถเสียสละอย่างใหญ่หลวงเพื่อเยว่เหยาได้ แต่เจียงอีอีก็สามารถเสียสละอย่างใหญ่หลวงเพื่อน้องสาวตัวเองได้เหมือนกัน ถ้าดูจากมุมนี้ เขาก็ไม่คิดว่าเจียงอีอีเป็นคนเลวร้ายอะไร บางทีเยว่เหยาอาจจะมองคนไม่ผิด บางทีเจียงอีอีอาจจะจริงใจกับเยว่เหยาก็ได้ ตัวเองสนใจพฤติกรรมน่ารังเกียจในอดีตของเจียงอีอีมากเกินไปหรือเปล่า? เพราะอย่างไรเสียเจียงอีอีก็โดนกดดันจนไม่มีทางเลือกเหมือนกัน

เขากำลังถามใจตัวเอง ว่าการที่ตัวเองทำแบบนี้เป็นการไปแยกคู่รักที่มีรักจริงออกจากกันหรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างหนึ่ง หนึ่งในนั้นคือเจ้าสาม ตอนนี้ในใจเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

“เจ้าช่างฆ่าคนแบบไม่เห็นเลือดจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะกดดันคนคนเป็นๆ ให้ฆ่าตัวตายเองได้!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ วางแผ่นหยกในมือกลับไปบนโต๊ะชา แล้วผลักกลับไป

“เจ้ากำลังโทษข้า? โทษที่ข้าไม่ได้ช่วยให้เจ้าสามกับเขาสมหวังกันใช่มั้ย?” ในดวงตาอวิ๋นจือชิวสื่อความรู้สึกที่หลากหลาย

เหมียวอี้สายหน้า “เปล่าหรอก ข้าแค่รู้สึกว่าเจ้าน่าจะบอกข้าก่อนล่วงหน้า แต่เจ้ากลับปิดบังไม่ยอมบอก”

อวิ๋นจือชิวบอกว่า “ทำให้เจ้าไม่สบายใจเหรอ? แค่สภาวะจิตใจที่เจ้ามีต่อเจ้าสาม ข้าก็ไม่รู้ว่าหนิวเอ้อร์ที่ตัดสินใจฆ่าคนอย่างไม่ลังเลหายไปไหนแล้ว ถ้าข้าบอกแล้วเจ้าจะตอบตกลงเหรอ? ข้าทำได้เพียงช่วยเจ้าตัดสินใจ อย่าบอกนะว่าผลลัพธ์แบบนี้ยังไม่ดีอีก? ต่อให้ปล่อยให้พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกัน เจ้าคิดเหรอว่าเจียงอีอีจะตัดใจทิ้งน้องสาวตัวเองเพื่อมาอยู่กับเจ้าสามได้? ขนาดเจียงอีอียังรู้จักหลบเลี่ยงเลย! ให้พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันไม่มีจุดจบที่ดีอะไรหรอก ถ้าพัวพันกันต่อไปก็มีแต่จะทำร้ายกันและกัน ข้าทำแบบนี้ก็เพื่อเจ้าสาม เจ้าจะไม่เข้าใจเชียวเหรอ?”

“ข้าเข้าใจแล้ว” เหมียวอี้ลุกขึ้นช้าๆ เดินไปตรงหน้าภาพวาดที่แขวนบนผนัง เอามือไขว้หลังมองดูพลางถอนหายใจ “ข้าแค่ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับเจ้าสามยังไง”

“เจ้าเองก็รู้ดีว่าถ้าปล่อยเจียงอีอีออกไปแล้ส ก็จะมีปัญหาตามมาไม่จบไม่สิ้น ที่จริงแล้วเจ้าก็ไม่อยากให้เขารอดชีวิตออกไปเหมือนกัน แต่เจ้ากังวลความรู้สึกของเจ้าสาม ถึงลำบากใจที่จะลงมือ แต่ตอนนี้เจียงอีอีฆ่าตัวตายเพื่อน้องสาวตัวเองแล้ว เป็นเขาเองที่ตัดสินใจแบบนั้น ยังมีอะไรน่าอธิบายอีก นี่ก็คือผลลัพธ์สุดท้ายแล้วไม่ใช่เหรอ?” อวิ๋นจือชิวลุกขึ้นเดินไปพูดข้างหลังเขาแล้วเช่นกัน

เหมียวอี้ถามกลับมา “แต่ถึงยังไงพวกเราก็เป็นคนผลักดันเรื่องนี้ สามารถปิดบังคนทั้งโลกได้ แต่จะปิดบังตัวเองได้เหรอ? ถ้าหากวันไหนมีคนกดดันให้ข้าปลิดชีพตัวเองบ้าง เจ้าจะรู้สึกยังไง?”

อวิ๋นจือชิวกออดเขาจากข้างหลัง “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่สบายใจที่ข้าทำแบบนี้ บางทีอาจจะรู้สึกว่าผู้หญิงอย่างข้าโหดเหี้ยมเกินไป ทำให้เจ้ารู้สึกตัวสั่นหวาดกลัว แต่เจ้าเคยลองคิดในมุมของข้าบ้างรึเปล่า? เจ้าสามารถเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงเพื่อเจ้าสามได้ แต่เจ้าจะให้ข้าทำยังไง ข้าจะทนดูผู้ชายของตัวเองไปเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงขนาดนั้นได้เหรอ? ไม่ว่าในใจเจ้าจะมีปมหรือไม่ แต่ข้าก็ยังต้องบอกเอาไว้ ว่าถ้าให้โอกาสข้าอีกครั้ง ข้าก็ยังจะทำแบบนี้ ข้าไม่มีทางเลือก!”

เหมียวอี้แกะมือนางออก แล้วหันตัวกลับมา พบว่านางเริ่มตาแดงแล้ว จึงหัวเราะเจื่อนๆ แล้วดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ลูบแผ่นหลังนางเบาๆ พร้อมบอกว่า “น้องชิว เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าไม่ได้ไม่พอใจอะไรเจ้าเลย ข้าแค่รู้สึกว่าอธิบายกับเจ้าสามลำบาก กลัวจะทำร้ายจิตใจเจ้าสาม”

อวิ๋นจือชิวเงยหน้าอยู่ในอ้อมกอดเขา “พูดความจริงมา อย่าตบตาข้า จริงเหรอ?”

เหมียวอี้ตอบว่า “เจ้าอย่าพูดเลย? ก่อนจะแต่งงานกับเจ้าข้าก็เคยบอกแล้ว ต่อให้ตายด้วยน้ำมือเจ้า ข้าก็ยินยอมพร้อมใจ”

อวิ๋นจือชิวทำเสียงออดอ้อน ก้มหน้าลงในอ้อมกอดเขา ในดวงตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง ดื่มด่ำความอบอุ่นในอ้อมอกของเขา ทำสีหน้าราบกับกำลังเสพสุข มีความสุขจนอยากจะร้องไห้ออกมา แต่ปากก็ยังบ่นว่า “หนิวเอ้อร์ ปัญหาใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับนิสัยของเจ้าน่ะ เวลาเผชิญหน้ากับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ เจ้าก็เลอะเลือน เวลาเจอเรื่องแบบนี้มักจะลังเลไม่เด็ดขาด”

เหมียวอี้ไม่คิดอย่างนั้น “เปล่าสักหน่อย? ในปีนั้นเพื่อที่จะแต่งงานกับเจ้า ข้าลังเลสักนิดมั้ยล่ะ เด็ดขาดจนไม่คิดถึงชีวิตด้วยซ้ำ ก็แค่เพราะจะแต่งงานเอาเจ้ามาไว้ในมือ เจ้าคงไม่ลืมเร็วขนาดนั้นหรอกมั้ง?”

พอนึกถึงภาพในปีนั้น ก็ทำให้อวิ๋นจือชิวซาบซึ้งใจในชั่วพริบตาเดียว น้ำตาร้อนอุ่นเอ่อล้นจากดวงตาอย่างควบคุมไม่ได้ นางอ้าปากกัดหัวไหล่เหมียวอี้อย่างแรง กอดแน่นไม่ยอมปล่อย อยากจะเอาเรือนร่างที่อ่อนช้อยของตัวเองรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายของเขา

“โอ้ย!” เหมียวอี้เจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟัน นิสัยที่พร้อมจะระเบิดอารมณ์ได้ตลอดเวลาของผู้หญิงคนนี้ช่างเหลือทนจริงๆ นางทำให้เขากลัวแล้ว…

…………………………