ตอนที่ 2148

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 2,148 : ระนาบโลกียะแฝด

 

 

 

“ไม่คิดเลยว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจากแดนเนรเทศจะบุกรุกเข้ามาในภูมิภาคเบื้องล่างแล้วจริงๆ…หวังว่าท่านพ่อท่านแม่กับคนอื่นๆจะปลอดภัย…”

 

เมื่อคิดถึงเรื่องการรุกรานของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ต้วนหลิงเทียนอดคิดถึงครอบครัวที่ภูมิภาคเบื้องล่างไม่ได้

 

ตอนนี้ใจเขาร้อนรนดั่งเพลิงไฟ…เป็นกังวลแทบตาย!

 

ด้วยไม่อาจรู้ได้เลยว่าครอบครัวเขายังปลอดภัยดีอยู่หรือไม่!

 

เพราะสุดท้ายแล้วเผ่าพันธุ์ปีศาจจากแดนเนรเทศนั้น ก็คือเผ่าพันธุ์ที่กระหายเลือด พวกมันราวกับจะเกิดมาเพื่อเข่นฆ่าสังหาร!

 

ตามตำนานกล่าวไว้ว่าแทบไม่เคยมีมนุษย์คนใดรอดพ้นมาได้หากถูกปีศาจจับไป ถึงแม้ว่าจะมีบางคนรอดมาได้โดยบังเอิญและกลายเป็นผู้ฝึกมารในที่สุด แต่ส่วนใหญ่ก็ถูกสูบกลืนพลังจนกลายเป็นซากร่างแห้งกรังทั้งสิ้น!

 

“ผู้เฒ่าหั่ว แล้วตอนนี้ข้าจะออกจากที่นี่ยังไงหรือ?”

 

ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ในที่สุดเขาก็สงบอารมณ์ที่พุ่งพล่านทั้งมวล และหันไปถามคำถามสำคัญจากผู้เฒ่าหั่วทันที

 

เพราะตอนนี้เขายังอยู่ในระนาบเทียมที่ถูกวร้างขึ้นมาด้วยน้ำมือของ ปีศาจ 3 ตน!

 

แถมไม่ว่าจะหันมองไปทางไหน กระทั่งแผ่สำนึกเทวะออกไปเต็มกำลัง เขาก็พบแต่ความว่างเปล่า สำนึกเทวะที่แผออกไปคล้ายหินจมลงในห้วงสมุทร ไม่อาจหยั่งถึงก้นบึ้งอะไรได้…

 

ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนเรือลำน้อยที่ลอยคออย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางมหาสมุทรสุดไพศาลอีกครั้ง

 

คววามรู้สึกนี้ทำให้เขารู้สึกอึดอัดมาก เสมือนความเป็นความตายของตัวเองไม่ได้อยู่ในกำมืออีกต่อไป

 

“ตอนนี้เจ้ายังไม่สามารถออกไปได้…”

 

ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียนผู้เฒ่าหั่วก็กล่าวตอบออกมาเสียงเรียบ และคำตอบนี้ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนหน้าเสียทันที

 

“ไม่สามารถออกไปได้? ผะ…ผู้เฒ่าหั่ว ท่าน….หมายความว่าอะไร!?”

 

หลังสูดอากาศดังเฮือกต้วนหลิงเทียนที่พยายามระงับอารมณ์ตื่นตระหนก ก็กล่าวถามผู้เฒ่าหั่วออกมาอีกครั้ง เสียงยังหนักขึ้นไม่น้อย

 

เพราะตอนนี้เขาอยากออกจากสถานที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด

 

ถึงแม้เขาจะยังไม่อาจย้อนกลับไปภูมิภาคเบื้องล่างเพื่อพบหน้าครอบครัวและสหาย แต่เขาสามารถออกไปกระจายข่าวเรื่องเผ่าพันธุ์ปีศาจได้บุกเข้ามาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่างให้ทุกคนได้รู้ เพื่อเตรียมความพร้อม…

 

ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับความเป็นไปของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เขาได้รับทราบมา เขาไม่ห่วงว่าจะไม่มีใครเชื่อ เพราะเขาสามารถใช้การสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้า เพื่อพิสูจน์ความจริงได้!

 

และเขาก็คิดไว้แล้วว่าจะกระจายข่าวเรื่องนี้ออกไปยังไง

 

อย่างไรก็ตามผู้เฒ่าหั่วกลับบอกเขาว่า ตอนนี้เขายังออกไปไม่ได้?

 

“ที่ข้ากล่าวก็คือ ‘ตอนนี้’ เจ้ายังไม่สามารถออกไปได้…”

 

ผู้เฒ่าหั่วกล่าวออกมาอีกครั้ง ยังเน้นเสียงหนักตรงคำว่า ‘ตอนนี้’ ไม่น้อย

 

หลังจากนั้นผู้เฒ่าหั่วก็พูดต่อ “ระนาบเทียมแห่งนี้จะเลวร้ายเพียงใด แต่มันก็ถูกสร้างขึ้นดว้ยน้ำมือของ 3 ครึ่งก้าวเซียนอมตะ…หากเจ้าคิดจะออกจากสถานที่แห่งนี้ นั่นหมายความว่าเจ้าต้องมีพลังมากพอจะทะลวงฝ่ากำแพงมิติระหว่างระนาบเทียมแห่งนี้กับภูมิภาคเบื้องบนให้ได้เสียก่อน…”

 

“หาไม่แล้วเจ้าจักมิมีวันออกไปจากสถานที่แห่งนี้และกลับไปยังภูมิภาคเบื้องบนได้ชั่วชีวิต!”

 

ผู้เฒ่าหั่วกล่าวออกมารวดเดียวจบ!

 

ทันทีที่ได้ยินคำตอบของผู้เฒ่าหั่ว สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนไปทันที ลูกตายังหดหยีลง

 

ลมหายใจต้วนหลิงเทียนยังเปลี่ยนไปเป็นเร่งร้อน ถี่รัว อดกล่าวถามออกมาอีกไม่ได้ว่า “ผู้เฒ่าหั่ว…ท่านหมายความว่าข้าต้องมีพลังมากพอจะทำลายกำแพงมิติระหว่างระนาบเทียมแห่งนี้กับภูมิภาคเบื้องบนให้ได้ก่อนงั้นหรือ?”

 

“ถูกต้อง”

 

ผู้เฒ่าหั่วตอบ

 

สีหน้าต้วนหลิงเทียนหลังได้ยินคำตอบรับของผู้เฒ่าหั่วก็บิดเบี้ยวเหยเกทันที ไม่นานก็พูดต่อออกมาด้วยน้ำเสียงขมขื่นว่า “แล้วกำแพงมิติระหว่างระนาบเทียมแห่งนี้กับภูมิภาคเบื้องบนมันแข็งแกร่งขนาดไหนกัน…”

 

“ใช่แข็งแกร่งเท่ากำแพงมิติกั้นแดนระหว่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ากับดินแดนเนรเทศหรือไม่? หากเป็นเช่นนั้นก็จบสิ้นกันแล้ว…เพราะกระทั่งสุดยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์ปีศาจยังต้องหาจุดอ่อนเพื่อฝ่ามันมาด้วยซ้ำ…”

 

“หากไม่มีจุดอ่อนนั่น ก็ไม่แน่ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจะสามารถบุกรุกเข้ามาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้ด้วยซ้ำ…”

 

เรื่องราวของกำแพงมิติกั้นแดน ระหว่างแดนเนรเทศกับดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้น ต้วนหลิงเทียนเองก็พอได้รับทราบข้อมูลมาบ้าง

 

ย้อนกลับไปในยุคสมัยก่อนีท่ยุคมนุษย์ปีศาจจะเริ่มต้นขึ้น

 

เรื่องราวทั้งหมดมันเริ่มต้นขึ้นเพราะเผ่าพันธุ์ปีศาจได้พบจุดอ่อนบนกำแพงมิติกั้นแดนระหว่างแดนเนรเทศกับดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า  และสุดท้ายพวกมันก็สามารถทำลายกำแพงมิติส่วนนั้นได้จึงบุกรุกเข้ามาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจนเกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย…

 

ต่อมาในที่สุดยอดฝีมือเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ขับไล่ปีศาจให้ย้อนกลับไปยังแดนเนรเทศได้สำเร็จ ก่อนที่จะสร้างมหาค่ายกลผนึก สร้างม่านพลังฉาบกันกำแพงมิติส่วนนั้นเอาไว้เป็นการอุดช่องโหว่…

 

และสิ่งนั้นก็ทำให้ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าหวนคืนสู่ความสงบ

 

หากเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่อาจทำลายม่านพลังจากมหาผนึก หรือค้นพบจุดอ่อนของกำแพงมิติกระทั่งช่องโหว่ใดอื่นบนกำแพงมิติแล้ว่ละก็…พวกมันก็ไม่อาจบุกรุกเข้ามาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้อีก!

 

“ผู้เฒ่าหั่ว…แบบนี้ไม่ใช่ว่าต่อให้ข้าทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน กระทั่งข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ…แต่พลังของข้าก็ไม่แน่ว่าจะมากพอที่จะทำลายกำแพงมิติกั้นแดนได้หรอกหรือ?”

 

ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงสามารถตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ตอนนี้ทันที…

 

เว้นแต่จะพบจุดอ่อนหรือช่องโหว่ของกำแพงมิติ…หาไม่แล้วเขาไม่มีทางทำลายหรือฝ่ากำแพงมิติไปได้เลย!

 

“กำแพงมิติกั้นแดนระหว่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ากับแดนเนรเทศที่เจ้าว่านั่น…มันคือกำแพงมิติที่กั้นขวางระหว่างระนาบโลกียะสองระนาบ แน่นอนย่อมแตกต่างจากสถานการณ์ของเจ้าตอนนี้เป็นธรรมดา”

 

“กำแพงมิติกั้นแดนระหว่างระนาบโลกียะ 2 ระนาบนั้น กระทั่งให้เป็นเซียนอมตะจากระนาบเทวโลกพบพานจุดอ่อนบนกำแพงมิติยังยากที่จะทำลายลงได้ในเวลาอันสั้น นับประสาอะไรกับผู้ฝึกตนในระนาบโลกียะเอง…”

 

เผชิญกับความสงสัยของต้วนหลิงเทียน ผู้เฒ่าหั่วค่อยๆกล่าวอธิบายออกมา

 

“หือ!? กำแพงมิติกั้นแดนระหว่างระนาบโลกียะกับระนาบโลกียะ?”

 

ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะผงะไปเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ยังอดไม่ได้ที่จะเร่งถามออกมาด้วยความสงสัย “ผู้เฒ่าหั่ว…ท่านหมายความว่า ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเป็นระนาบโลกียะระนาบหนึ่ง ส่วนแดนเนรเทศที่เผ่าพันธุ์ปีศาจอาศัยอยู่นั่น…ก็เป็นระนาบโลกียะอีกระนาบหนึ่งงั้นเหรอ?”

 

“ไม่ผิด”

 

หลังได้ยินคำถาม ผู้เฒ่าหั่วก็กล่าวตอบกลับมาทันที ยังอธิบายต่อว่า “ระนาบโลกียะโดยทั่วไปแล้วจักแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท…หนึ่งในนั้นคือระนาบโลกียะที่เป็นเหมือนกับโลกที่เจ้าเคยจากมา ระบบสุริยะอันมีดาวเคราะห์มากมาย มีทองฟ้าอันเต็มไปด้วยหมู่ดาว  เป็นห้วงจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลมากล้นไปด้วยสรรพชีวิต….”

 

“ระนาบโลกียะเช่นนั้นนับเป็นระนาบโลกียะที่ค่อนข้างใหญ่ เหล่าเซียนอมตะในระนาบเทวโลกจึกเรียกมันว่า ‘มหาระนาบโลกียะ’ ส่วนระนาบโลกียะที่เจ้ากับข้าจับพลัดจับผลูมาอยู่ เป็นระนาบโลกียะที่ค่อนข้างเล็ก จึงถูกเรียกว่า ระนาบโลกียะย่อม…”

 

“กล่าวได้ว่าระนาบโลกียะย่อมก็คือ…ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่างนั่น รวมถึงทะเลและทวีปมนุษย์ ทั้ง 3 รวมกัน! สายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตจึงมีน้อยนิดนัก”

 

ผู้เฒ่าหั่วกล่าวถึงจุดนี้ก็เงียบไป

 

“ผู้เฒ่าหั่ว…จากที่ท่านพูดหมายความว่าระนาบโลกียะที่พวกเราอยู่เป็นแค่ระนาบโลกียะย่อม และไม่มีดาวเคราะห์ดวงอื่นเหมือนโลกที่ข้าจากมา? หากเป็นเช่นนั้นจริง…แล้วทำไมตอนกลางวันเราถึงเห็นดวงอาทิตย์ และตอนกลางคืนถึงเห็นจันทราและหมู่ดาวเล่า!?”

 

ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวถาม

 

และนี่ยังเป็นสิ่งที่ติดอยู่ในใจของเขามานาน

 

ก่อนหน้าที่จะเข้ามาในระนาบเทียมแห่งนี้ หลังจากที่ผู้เฒ่าหั่วฟื้นพลังคืนมาได้ในระดับหนึ่ง ผู้เฒ่าหั่วก็ได้กล่าวเปรยๆบอกเขาแต่แรกว่าในระนาบโลกียะแห่งนี้ไม่มีดาวเคราะห์อะไร

 

อย่างไรก็ตามตอนนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เพราะเขารู้สึกว่าในเมื่อสามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ และเห็นหมู่ดาวในตอนกลางคืน…ไม่ใช่ว่าทั้งหมดบ่งบอกชี้ชัดว่ามีดาวเคราะห์ในระนาบโลกียะแห่งนี้หรือไง?

 

อันที่จริงเขายังคิดที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ผู้เฒ่าหั่วกล่าวบอกไว้ด้วยซ้ำ เพราะพลังฝึกปรือก็มากพอให้เขาเหาะขึ้นไปตรวจสอบเรื่องราวแล้ว แต่เขาก็ไม่ว่างกระทำ

 

มาตอนนี้พอผู้เฒ่าหั่วกล่าวถึงเรื่องที่ระนาบโลกียะแห่งนี้เป็นระนาบโลกียะย่อมและไม่มีดาวเคราะห์ออกมาอีกรอบ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามเรื่องราวให้กระจ่าง…

 

“เรื่องนี้กล่าวไปก็เป็นคุณสมบัติหนึ่งที่บ่งชี้ว่าเป็น ระนาบโลกียะย่อม ด้วยเช่นกัน…ระนาบโลกียะย่อมทุกระนาบนั้นจะตั้งอยู่ติดกับมหาระนาบโลกียะ!”

 

“เนื่องจากสรรพชีวิตจำนวนมากในระนาบโลกียะย่อม ก็จำเป็นต้องอาศัยแสงตะวันของมหาระนาบโลกียะเพื่อดำรงชีวิต…เช่นนั้นพื้นที่กั้นขวางหรือกำแพงมิติกั้นแดนระหว่าง มหาระนาบโลกียะ กับ ระนาบโลกียะย่อม จึงโปร่งใส”

 

“ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ภูมิภาคเบื้องบนหรือภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า หากเจ้าลองเหินร่างขึ้นไปด้วยหมายสำรวจดวงอาทิตย์ในตอนกลางวันหรือดวงจันทร์กระทั่งดวงดาวใดๆในเวลากลางคืน เจ้าจักรู้ได้ทันที…ว่าเมื่อเหินร่างขึ้นไปสูงในระดับหนึ่ง…เจ้าจะพบพานกับกำแพงโปร่งใสที่มิอาจมองเห็นกั้นขวางเจ้าเอาไว้…”

 

“และนั่นก็คือกำแพงมิติกั้นแดนระหว่างมหาระนาบโลกียะกับระนาบโลกียะขนาดย่อม ความแข็งแกร่งของมันนับว่ามากมายและเหนือกว่ากำแพงมิติกั้นแดนระหว่างระนาบแฝดมากนัก มันทรงพลังทั้งไร้จุดอ่อนและช่องโหว่อันใด….”

 

ฟังวาจานี้ของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะตกใจ

 

“แล้วระนาบโลกียะแฝด…มันคืออะไรหรือผู้เฒ่าหั่ว?”

 

สีหน้าตอนกล่าวถามของต้วนหลิงเทียนยังเหรอหรา ว่างเปล่า

 

“โดยปกติแล้ว ระนาบโลกียะย่อมสองระนาบมักไม่อยู่ติดกัน อันที่จริงมันไม่มีทางมาอยู่ติดกันได้เลย…ทว่ามันมีกรณียกเว้นอยู่กรณีหนึ่ง ก็คือระนาบโลกียะย่อม 2 ระนาบที่อยู่ติดกันนั่น…มันดันเกิดขึ้นมาพร้อมๆกัน ราวกับพี่น้องฝาแฝดตั้งแต่แรก…”

 

“ด้วยเหตุนี้ในระนาบเทวโลกจึงเรียกระนาบโลกียะย่อม 2 ระนาบที่อยู่ติดกันเช่นนี้ว่า ระนาบโลกียะแฝด”

 

“เรียกว่าเพียงกล่าวถึงระนาบโลกียะแฝด ทุกคนก็จะรู้ได้ทันทีว่ามันคือระนาบโลกียะย่อม 2 ระนาบที่เกิดมาติดกัน…เพราะมหาระนาบโลกียะจักไม่มีทางเป็นระนาบแฝดอะไรแบบนี้”

 

ผู้เฒ่าหั่วกล่าวตอบ

 

“ถ้างั้นหมายความว่า…ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ากับแดนเนรเทศของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ก็คือระนาบโลกียะแฝด?”

 

ต้วนหลิงเทียนย่อมเข้าใจเรื่องนี้ได้ทันที

 

“ไม่ผิด”

 

ผู้เฒ่าหั่วกล่าวตอบ “ไม่ว่าจะดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าหรือแดนเนรเทศ…ล้วนเป็นระนาบโลกียะย่อมที่อยู่ติดกับมหาระนาบโลกียะทั้งสิ้น…”

 

“อย่างไรก็ตาม เมื่อเจ้าสามารถมองเห็นตะวันจันทราได้จากดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า กระทั่งดวงดาราอันเป็นดาวเคราะห์ทั้งหลายของมหาระนาบโลกียะ…เช่นนั้นระนาบโลกียะย่อมอย่างแดนเนรเทศย่อมเป็นสถานที่อันมืดสลัวตลอดกาล ไร้แสงตะวันส่องสาดอันใด…”

 

“สาเหตุที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ก็เพราะดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มันปิดกั้นแสงสว่างที่สมควรจะสาดส่องไปถึงแดนเนรเทศของพวกปีศาจโดยตรง…”

 

“ในเมื่ออีกระนาบเป็นสถานที่อันมืดสลัวตลอดกาล เช่นนั้นสิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นจะดุร้ายรุนแรง มากไปด้วยพลังหยินอันชั่วร้ายก็มิใช่เรื่องแปลก…กล่าวได้ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจะเป็นเช่นนี้ก็นับว่าเป็นธรรมชาติของพวกมันแล้ว”

 

ผู้เฒ่าหั่วไม่เพียงแต่จะอธิบายความต่างระหว่างมหาระนาบโลกียะ ระนาบโลกียะย่อม และระนาบโลกียะแฝด ยังกล่าวถึงต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์ปีศาจอีกด้วย…

 

เรื่องนี้นับว่าทำให้ต้วนหลิงเทียนได้รู้เรื่องราวความเป็นไปอย่างมาก

 

“ที่แท้มันเป็นแบบนี้นี่เอง…”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ค่อยกล่าวถามสืบต่อ “ผู้เฒ่าหั่ว…เมื่อครู่ท่านบอกว่าหากข้าเหินร่างขึ้นไปบนฟ้า ไม่ว่าจะเป็นในภูมิภาคเบื้องบนหรือเบื้องล่าง ข้าจะพบเจอกับกำแพงมิติกั้นขวางระหว่างมหาระนาบโลกียะกับระนาบโลกียะย่อมใช่หรือไม่?”