ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 88 สุดท้ายแล้วเนื้อก็ถูกตุ๋นอยู่เสมอ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

มันเป็นคืนที่มืดมิด มีหิมะตก ศาลาบนทะเลสาบ เหมยเขียวกับเตาดิน มีคนสองคนนั่งหันหน้าหากัน ดื่มชา สรุปแล้วมันเป็นภาพที่สง่างามราวกับไม่ได้อยู่ในโลกนี้

หลายวันที่ผ่านมา อันหวาจินตนาการว่าคนผู้นี้เป็นเหมือนกับผู้สูงศักดิ์ที่ไม่สนใจเรื่องทางโลก ตอนนี้เมื่อนางเห็นภาพนี้บนทะเลสาบหิมะ นางก็รู้สึกว่าทั้งหมดนี้ก็เป็นไปอย่างที่ควรแล้ว

ในตอนนี้ ชายหนุ่มในศาลาก็ยกถ้วยในมือขึ้นจิบ

สายลมราตรีพัดม่านลอยขึ้นและยังพัดกลิ่นของเหลวภายในถ้วยอีกด้วย ฝูงชนรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง เพราะพวกเขาได้กลิ่นว่าในถ้วยนั้นไม่ใช่น้ำชาแต่เป็นสุรา ดื่มสุรากลางคืนหิมะโปรยช่างงามสง่ายิ่งนัก อันหวาคิดในใจ นางโค้งคำนับไปทางศาลาและเงยหน้าขึ้น คิดจะพูดอะไรบางอย่างแต่นางก็พบว่าชายหนุ่มได้หายไปแล้ว

เด็กสาวชุดดำก็ไปจากโต๊ะและตอนนี้ยืนอยู่ข้างรั้ว

สายตานางมองไปที่ชายฝั่งราวกับกำลังมองมาที่พวกอันหวาแต่ก็เหมือนกับนางกำลังมองไกลออกไป ในแสงสลัวของคืนหิมะโปรยและหมอกที่ลอยขึ้นจากทะเลสาบ รูปลักษณ์ของนางก็ทั้งชัดเจนขึ้นทั้งไม่ชัดเจน ใบหน้าเด็กน้อยของนางแผ่ความสูงส่งเย็นชา นางดูเหมือนกับความฝันหรือภาพลวงตาหรือภูตภูเขา

เมื่อได้เห็นเด็กสาวที่งดงามและไม่มีตัวตนกับสวนที่เจริญตาอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาห่างไกล เป็นใครก็คิดถึงตำนานบางเรื่อง แม้แต่อันหวาที่เติบโตขึ้นมาในกระทรวงสิบสามชิงเหย้าและมีดวงจิตที่กระจ่างสดใสยังอดไม่ได้ที่จะตะลึงงันไปชั่วขณะ นางถึงกับรู้สึกครั่นคร้ามอย่างอธิบายไม่ถูก

แต่นางไม่ได้จากไป เพราะนักสร้างค่ายกลหนุ่มยังอยู่บนแคร่หามและอาจตายได้ทุกเมื่อ

คนอื่นก็ไม่จากไปเช่นกัน เพราะพวกเขายังไม่ได้รับสิ่งที่ต้องการ

“ไปดูก่อน” แม่ทัพขมวดคิ้วกล่าว

การเดินทางเพื่อหายานี้ไม่เคยคิดว่าจะสำเร็จอย่างราบรื่น สุดท้ายแล้วมันชัดเจนว่าเจ้าของยาจูซาไม่ต้องการที่จะให้คนอื่นได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา

กลุ่มคนจากศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานก้าวขึ้นสะพานไม้ข้ามทะเลสาบ เสียงฝีเท้าไร้ระเบียบทำลายความเงียบสงบ

เด็กสาวชุดดำดูเหมือนจะไม่รู้ตัว นางมองไปที่บางจุดบนท้องฟ้าราตรี ใบหน้าเย็นชาผ่าเผยไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ

อาศัยแสงหม่นมัวของดวงดาวและโคมไฟ อันหวาสังเกตเห็นว่าทะเลสาบใต้สะพานเดือดเป็นฟอง เมื่อพวกมันแตกก็กลายเป็นหมอกปกคลุมทะเลสาบ หมอกชุ่มชื้นอบอุ่นเห็นได้ชัดว่าน้ำในทะเลสาบมาจากน้ำพุร้อน ถึงกับมีโอกาสที่จะมีรอยแยกบนพื้นใต้ทะเลสาบ

เมื่อคณะเข้าสู่ศาลา เด็กสาวชุดดำก็ยังไม่หันกลับมา นางมองออกไปราวกับว่าแขกไม่ได้รับเชิญเหล่านี้ไม่ได้รบกวนอารมณ์ในการดื่มสุรากลางราตรีหิมะโปรยของนาง

หรือบางทีคนพวกนี้ไม่เคยอยู่ในสายตาของนาง ต่อให้คนพวกนี้อยู่ตรงหน้านางก็ตาม

อันหวาเตรียมที่จะคำนับอีกครั้ง แต่เมื่อนางได้กลิ่นบางอย่าง ก็หันไปทางเตาดินโดยไม่รู้ตัว ร่างนางแข็งทื่อใบหน้าแสดงถึงความไม่เชื่อ

เตาดินสร้างขึ้นอย่างประณีต สูงไม่ถึงหนึ่งฉื่อ ต่อให้วางไว้บนโต๊ะก็ดูไม่สูงเท่าไหร่ มีหม้อดินวางอยู่บนเตา ของในหม้อเดือดปุดๆ เช่นเดียวกับทะเลสาบรอบศาลา

สุราในหม้อน้อยประดับไว้ด้วยดอกเหมย ทุกสิ่งถูกลมหิมะทำให้เย็น ดังนั้นเตานี้ไม่ได้อุ่นสุราหรือต้มชา แต่กำลังทำเนื้อตุ๋น

ในหม้อบนเตาก็คือเนื้อแพะตุ๋น

เทียบกับการต้มชาในราตรีหิมะโปรย ต้องยอมรับว่ามันสง่างามน้อยกว่า ทว่าก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้อันหวาตกใจเช่นนี้

ที่ทำให้นางตกใจและถึงกับทำให้นางแสดงสีหน้าปวดใจขึ้นมาก็คือนางได้กลิ่นวัตถุดิบยามากมายในเนื้อตุ๋น

ตังกุย เก๋ากี้ กานพลู เซียนเหมา อิมเอี่ยขัก…

จากเนื้อตุ๋นนี้นางสามารถได้กลิ่นส่วนประกอบบางอย่าง เป็นวัตถุดิบที่นางได้กลิ่นจากยาบางตัว

ท่านหยางที่เพิ่งมาถึงสถานพยาบาลศักดิ์สิทธิ์ มีสีหน้าดูไม่ได้ยิ่งกว่า

เพราะตัวตนที่แท้จริงของเขาคือหมอหยาง หมอจากเวิ่นสุ่ยที่ตระกูลถังจ้างมา เขาเป็นหนึ่งในคนที่วิเคราะห์ยานั้นด้วยตัวเอง

เขามั่นใจอย่างมากว่าส่วนประกอบทั้งสามสิบสี่ชนิดที่ผสมอยู่ในหน้อเนื้อตุ๋นนี้เป็นส่วนประกอบที่ใช้ในการผลิตยาจูซา! เขาหันไปทางเด็กสาวชุดดำที่ยืนอยู่ริมศาลาและดวงตาก็หรี่ลงเป็นเส้นตรงเย็นชา แฝงไว้ด้วยความเกลียดชังและโกรธเกรี้ยว เหมือนกับคำพูดที่หลุดรอดผ่านไรฟันออกมา

“ช่างทำได้เลิศเลออย่างแท้จริง!”

การมีสวนสวยงามและศาลาลึกเข้ามาในเทือกเขาและยังทำในฤดูหนาวก็หมายความว่าเจ้าของนั้นย่อมไม่ใช่ลูกล้างลูกผลาญทั่วไป

แต่ไม่มีเรื่องใดที่น่าตกใจเท่ากับในหม้อเป็นเนื้อตุ๋น

“มีอะไร” แม่ทัพถามอย่างเคร่งเครียดหลังจากเห็นสีหน้าประหลาดของคนทั้งสอง

ก่อนที่อันหวาจะมีเวลาพูดอะไร ท่านหยางก็พุ่งไปที่โต๊ะหยิบตะเกียบขึ้นมาและควานไปทั่วเนื้อตุ๋นที่เหลือในหม้อ แล้วเขาก็รินสุราถ้วยหนึ่งนำมาใกล้จมูกและสูดดม

แค่สูดดมครั้งหนึ่ง ใบหน้าของท่านหยางก็แดงก่ำราวกับเนื้อตุ๋นในหม้อ

เขาไม่ได้เมาแต่โมโห ร่างกายสั่นเทาด้วยความโกรธ ทำให้สุราในถ้วยกระเซ็นเช่นเดียวกับคำถามเกรี้ยวกราดที่หลุดออกจากปาก

“นี่เป็นการสิ้นเปลืองอย่างเหลวไหล! เจ้าถึงกับใช้ของที่สามารถช่วยชีวิตคนมาทำเนื้อตุ๋นกับสุราเชียวหรือ!”

คนที่เหลือในกลุ่มเข้าใจในที่สุดและอดที่จะตกใจไม่ได้ แม่ทัพเคร่งเครียดขึ้นในขณะที่บางคนจ้องมองไปที่เนื้อตุ๋นและไหสุราบนโต๊ะ ดวงตาเป็นประกาย

อันหวาสลัดความตกใจออกไปแล้วแต่นางก็ยังรู้สึกเจ็บปวดใจ รู้สึกผิดหวังและโศกเศร้า

หลังจากได้เรียนรู้เรื่องยาจูซา นางก็ได้ทำการคาดเดาถึงอาจารย์หมอผู้ลึกลับไว้มากมาย นางรู้สึกว่าคนผู้นี้ต้องสูงส่งอยู่เหนือโลกียวิสัยและไม่สนใจเรื่องชื่อเสียงแต่…ยาล้ำค่าที่สามารถช่วยชีวิตทหารในแนวรบและบรรเทาความเจ็บปวดกลับมีความหมายเพียงน้อยนิดต่อคนผู้นี้อย่างนั้นหรือ หรือยาจูซาไม่ใช่ปาฏิหาริย์ที่คนผู้นี้สร้างขึ้นอย่างยากลำบากเพื่อช่วยชีวิตทั้งมวลแต่เป็นการละเล่นที่พวกเขาใช้เล่นกับโลกนี้ต่างหาก พวกเขาเป็นเด็กเล่นพ่อแม่ลูกแต่กลับถูกคนที่เห็นมองว่าเป็นจริงขึ้นมา หรือว่าความเคารพที่คนธรรมดามีต่อยาจูซาและความนับถือที่นางมีต่อคนผู้นี้ดูเหมือนเรื่องน่าขันในสายตาของคนผู้นี้อย่างนั้นหรือ

ก็ได้ ต่อให้มันเป็นแค่การละเล่นของคนผู้นี้ สำหรับคนธรรมดาอย่างนางที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกียวิสัย มันก็ยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงชีวิตและความตาย อันหวาถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง ฝังความปวดร้าวเอาไว้และถามเด็กสาวในชุดดำ “ข้าขอถามได้ไหมว่าท่านหญิงเป็นเจ้าของยาจูซาหรือไม่”

เด็กสาวชุดดำหันกลับมา แต่ไม่ตอบคำถามหากแต่มองไปที่ท่านหยางแทน ท่านหยางเมื่อตระหนักว่าเนื้อตุ๋นและไหสุราได้บรรจุยาจูซา ก็จมอยู่ในอารมณ์โกรธและขุ่นเคือนจนไม่ทันสังเกตเห็นสายตาที่จ้องมาของนาง

ไม่มีใครบอกได้ว่าเด็กสาวชุดดำรู้สึกอย่างไร ใบหน้าอ่อนเยาว์และงดงามของนางไร้อารมณ์อยู่ตลอดกาล เป็นแผ่นน้ำแข็งโบราณ เสียงของนางก็เย็นชาคล้ายคลึงกัน แต่ความหมายในคำพูดของนางตรงกันข้ามกับน้ำแข็ง เปี่ยมไปด้วยอารมณ์จนถึงกับโกรธ แน่นอนว่ายังสัมผัสได้ถึงความไม่เชื่อถืออย่างที่สุด

“เจ้ากล้าใช้มือสกปรกสัมผัสสุราและเนื้ออันศักดิ์สิทธิ์สูงส่งของข้า…นี่เป็นเรื่องที่ควรแก่การยกย่องจริงๆ”

ทุกคนรวมถึงอันหวาตกตะลึงกับคำพูดนี้ ไม่เข้าใจว่านางหมายความว่าอย่างไร ท่านหยางได้สติกลับมาในที่สุดและมองนางอย่างตกตะลึง

ดวงตาเด็กสาวชุดดำกลายเป็นกระจ่างสดใสยามที่นางกล่าว “ข้าไม่ได้กินเนื้อมนุษย์มาเป็นเวลานานแล้ว ขอบคุณที่มอบเหตุผลที่สมบูรณ์แบบให้กับข้า”