ไม่มีใครนอกจากมารที่กินเนื้อมนุษย์
ต่อให้มนุษย์ที่มีความวิปริตก็ยังต้องแอบทำมันลับๆ ไม่มีทางประกาศโจ่งแจ้งและพูดด้วยสีหน้าภูมิใจ
คำพูดของเด็กสาวชุดดำนั้นไร้สาระและฟังเหมือนกับล้อเล่น ว่าตามเหตุผล มันก็คงเป็นแค่เรื่องล้อเล่นเท่านั้น แต่ไม่มีใครในศาลาหัวเราะ มันเป็นเพราะที่แห่งนี้อยู่ลึกในเทือกเขา ห่างจากที่อยู่ของมนุษย์และเป็นกลางดึกคืนหิมะโปรยในทะเลสาบ เป็นที่ซึ่งเรื่องแปลกประหลาดมักเกิดขึ้น และนางก็พูดด้วยสีหน้าจริงจังที่สุด
ความกลัวและไม่สบายใจปกคลุมไปทั่วศาลาหิมะ ปกคลุมหัวใจของทุกคนในที่แห่งนี้ ความอับอายทำให้คนโกรธและก็สามารถบอกเช่นนี้ได้กับความกลัวเช่นเดียวกัน เพราะทั้งสองอย่างล้วนเป็นอารมณ์ที่ทำให้คนต้องเผชิญหน้ากับจุดอ่อนในใจ ท่านหยางคิดที่จะอธิบายแต่เมื่อเขาเปิดปาก ที่หลุดออกมากลับเป็นคำพูดที่หยาบกระด้างเพราะความอายกลับกลายเป็นความโกรธ
“ที่ข้าพูดไม่ถูกหรือไง ตัวยาพวกนี้ล้วนใช้ช่วยชีวิตคนได้แต่พวกมันกลับถูกพวกเจ้าสองคนเอามาใช้เพื่อสนองลิ้น! ที่เจ้ากินอยู่คือเนื้อมนุษย์! เจ้ากำลังดื่มเลือดมนุษย์!”
“ที่เจ้าพูดนั้นก็ถูกต้อง” เด็กสาวชุดดำพูดด้วยใบหน้าอ่อนเยาว์แต่เย็นเยียบ “เพราะธรรมชาติของข้ากินเนื้อมนุษย์และดื่มเลือดมนุษย์”
เมื่อนางกล่าวออกมา เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดก็ดังผ่านศาลา มือของท่านหยางขาดเสมอข้อ!
ตามมาด้วยเสียงร้องหวาดกลัวและเลือดที่ฉีดพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าราตรี มือที่ขาดถูกพลังที่มองไม่เห็นดึงให้ลอยไปหาเด็กสาวชุดดำ
นางดูที่มือนั่น คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย นางไม่ได้เคลื่อนไหวชั่วขณะหนึ่งเพราะนางดูเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง
ทุกคนจ้องมองไปที่ภาพอาบเลือดด้วยความกลัวและคิดในใจ นางจะกินมือนั้นจริงหรือ
อันหวาสังเกตเห็นว่าเด็กสาวคนนี้มีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ระมัดระวังและมีสมาธิจนน่ากลัวอยู่บ้าง
นี่ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก ร่างกายของนางเย็นเยียบขึ้นมา ภาพนี้ทำให้นางนึกถึงเด็กหญิงที่นางพบในโรงเตี๊ยมหมู่บ้านเกาหยางวันนี้
“หยุดทำวุ่นวายได้แล้ว” เสียงหนึ่งดังมาจากริมทะเลสาบ
ชายหนุ่มที่พลันหายไปเมื่อครู่ก่อนเดินกลับมาตามสะพาน
ลักษณะของคนผู้นี้ทำให้บรรยากาศกดดันตึงเครียดและน่ากลัวภายในศาลาผ่อนคลายลงมาก
บางทีอาจเป็นเพราะน้ำเสียงอ่อนโยนของเขา หรือความรู้สึกไร้อันตรายที่แผ่ออกมาจากใบหน้าสะอาดหมดจดของเขา
เด็กสาวชุดดำพูดอย่างโมโห “ข้าวุ่นวายที่ไหน นี่เป็นเนื้อแกะตุ๋นที่เจ้าทำให้ข้า แต่ข้าจะกินมันได้อย่างไรหลังจากที่ถูกมือสกปรกของชายคนนี้แตะ”
ชายหนุ่มหยุดนอกศาลาและกล่าวกับนาง “แต่นี่หมายความว่าเจ้าต้องกินมือเขาด้วยหรือ”
เด็กสาวพูดอย่างโมโห “ข้าไม่สน! ข้าต้องการจะกินเนื้อมนุษย์! ข้าก็กินเนื้อมนุษย์อยู่แล้ว ดังนั้นทำไมถึงกินตอนนี้ไม่ได้”
ชายหนุ่มกล่าวอย่างหมดแรงอยู่บ้าง “เจ้าลองแล้วเมื่อสองปีก่อนและพบว่าเจ้าไม่ชอบ ดังนั้นทำไมเจ้าถึงได้คิดอยากกินขึ้นมาในตอนนี้”
เด็กสาวพ่นลมและกล่าว “ข้าที่ไม่กินเนื้อมนุษย์ ยังเป็นข้าอีกหรือ”
“ฟังนะ เจ้าเพิ่งพูดเองว่ามือนี้สกปรกมาก รีบโยนมันทิ้งไปเร็ว” ชายหนุ่มกล่าวกับนาง น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยการเอาอกเอาใจอยู่จางๆ แต่มันก็มีความสิ้นหวัง เป็นกังวล ความรับผิดชอบและภาระหน้าที่แฝงไว้มากกว่า มันเหมือนกับผู้อาวุโสพูดกับผู้เยาว์แต่ก็มีความรู้สึกกลัวอยู่บ้างซึ่งแปลกประหลาดมาก
คำสนทนานี้ก็ประหลาดอย่างมาก เมื่อครู่ก่อนพวกเขาเพิ่งถกกันเรื่องการกินเนื้อมนุษย์อย่างเปิดเผย
พวกเขารู้สึกว่าภาพนี้มันช่างไร้สาระแต่นอกจากท่านหยางที่หมดสติไปด้วความเจ็บปวดแล้ว ทุกคนหวังว่าชายหนุ่มจะสามารถเกลี้ยกล่อมเด็กสาวชุดดำได้
ไม่มีใครต้องการจะฝันร้ายไปตลอดชีวิต
เด็กสาวเห็นได้ชัดว่าไม่ยินดีแต่นางเชื่อฟังวาจาและโยนมือทิ้งลงทะเลสาบไป
เมื่อเห็นเช่นนั้นทุกคนก็ผ่อนคลายในที่สุด
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าต้องการอะไร แต่ข้าไม่มีทางมอบมันให้กับเจ้า เพราะฉะนั้น…”
สายตาของชายหนุ่มหยุดที่ใบหน้าของอันหวา “เนื้อตุ๋นกับสุราบรรจุไว้ด้วยสมุนไพรจริงแต่พวกมันไม่ใช่สิ่งที่เจ้ามาหา”
อันหวาแน่ใจแล้วว่าชายหนุ่มเป็นเจ้าของยาจูซาแต่นางไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยืนกรานจะพูดกับนางท่ามกลางคนเหล่านี้ ดังนั้นนางจึงอดที่จะตะลึงไม่ได้
ชายหนุ่มกล่าวต่อ “ข้าไม่ใช่คนที่ทำอะไรเกินจริง หากยากับสุราสามารถช่วยชีวิตคน ข้าย่อมไม่ใช้มันเพื่อสนองความอยากอาหารเป็นแน่”
อันหวารู้สึกสับสนอย่างมาก คนผู้นี้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาและไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรก็ตามให้อาจารย์ธรรมดาจากกระทรวงสิบสามชิงเหย้าฟัง และเมื่อนางเห็นท่านหยางครางด้วยความเจ็บปวด ความสับสนของนางก็ถูกแทนที่ด้วยความเศร้าอีกครั้ง นางกล่าว “แต่ในที่สุด พวกท่านทั้งสองก็ยังเป็นผู้แข็งแกร่งที่ไม่สนใจชีวิตของคนธรรมดา”
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังและดื้อรั้นของนาง ชายหนุ่มก็เหมือนจะเหม่อลอยไปเล็กน้อย เขาคงคิดถึงเด็กสาวที่เคยเรียนที่กระทรวงสิบสามชิงเหย้าคนหนึ่ง
บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่เขาอธิบายกับนาง
“เจ้าเป็นหมอแท้จริงและเจ้ายังเป็นทหารแท้จริง”
เขามองไปที่อันหวาและแม่ทัพตามลำดับ จากนั้นก็กล่าว “แต่คนผู้นี้ต่างไป เขาไม่ใช่หมอธรรมดา ข้าเห็นความโลภของเขา ดังนั้นเสียมือไปเป็นราคาที่เขาต้องจ่าย”
เหมือนกับที่เขาอธิบายก่อนหน้านี้ มันไม่มีหลักฐานแค่ข้อสรุปที่เขาคิดในใจ มันยากที่จะเชื่อมั่นคำอธิบายนี้ แต่เมื่อเห็นดวงตาที่กระจ่างใสของชายหนุ่ม อันหวากับแม่ทัพก็เชื่อมัน
หลังจากคำอธิบายนี้ ชายหนุ่มก็กล่าวอย่างเสียดาย “ข้าไม่คิดว่าข้าจะถูกพบเร็วเช่นนี้”
บรรยากาศในศาลาตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง ทหารกำอาวุธแน่นขึ้นทั้งดาบและหน้าไม้ พวกเขาหายใจเร่งร้อนขึ้นและคิดในใจ เขาวางแผนจะกำจัดพวกเราเพื่อรักษาความลับเอาไว้หรือไม่ หากพวกเขาไม่เห็นกับตาว่าเด็กสาวชุดดำตัดมือท่านหยางจากระยะไกลโดยไร้เสียง ทหารพวกนี้คงเยาะเย้ยความคิดเช่นนี้เพราะมันมีแต่ในจินตนาการเท่านั้น แต่ตอนนี้ ไม่มีใครกล้าคิดเช่นนั้น
แต่ชายหนุ่มไม่ทำอะไรนอกจากสั่งให้เด็กสาวออกจากศาลา แล้วก็หันหลังเดินกลับไปบนสะพาน
ตอนนี้เองที่ทุกคนสังเกตเห็นว่าเขาได้แบกกระเป๋าไว้บนหลัง กลายเป็นว่าเขาหายไปเมื่อครู่ก็เพื่อเก็บของเตรียมจากไป
อันหวาเป็นสตรี ดังนั้นความคิดของนางจึงละเอียดกว่าและมากมายกว่าอยู่บ้าง
เขาจำเป็นต้องใช้เวลาแค่สั้นๆ เพื่อเตรียมกระเป๋าสัมภาระ นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาเตรียมพร้อมที่จะจากไปทุกเมื่อหรอกหรือ
เขาซ่อนตัวจากสิ่งใดกัน มันคือชื่อเสียงยิ่งใหญ่ ความมั่งคั่งเหลือล้นหรืออันตรายไร้สิ้นสุดที่ยาจูซานำมาให้ หรือว่าเป็นโลกใบนี้เอง
ชายหนุ่มผู้นี้เป็นใคร เขามีเรื่องราวแบบใด
แม่ทัพมีภารกิจที่ต้องทำ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจปล่อยให้ชายหนุ่มจากไป เขาพุ่งตัวออกจากศาลาและออกคำสั่ง
เสียงดังปัง ฝุ่นผงลอยขึ้นรอบศาลา เขาถูกล้อมเอาไว้ด้วยม่านพลังที่มองไม่เห็นและถูกผลักล้มลงกับพื้น
กลุ่มคนรู้ว่าชายหนุ่มได้วางผนึกเอาไว้ก่อนที่จะจากไป บางทีมันอาจไม่มีอันตราย แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนกลุ่มนี้จะหยุดเขาไว้
อันหวาเดินไปที่ขอบของศาลาและร้องออกไปทางคนทั้งสอง “เราแค่ต้องการยาจูซาเม็ดหนึ่งเพื่อช่วยชีวิตคน”
ชายหนุ่มตอบโดยไม่หันกลับไป “ข้าไม่มีอีกแล้ว ชุดต่อไปจะเสร็จในไม่กี่วัน กลับไปแล้วรอมัน”
อันหวาร้องกลับไปอย่างสิ้นหวัง “แต่เขาไม่อาจรอต่อไปได้อีกแล้ว”
“มีเรื่องมากมายที่เราไม่อาจตัดสินได้เอง เราทำได้แค่ยอมรับสิ่งที่ชะตามอบให้”
ชายหนุ่มและเด็กหญิงชุดดำเดินต่อไปสู่ปลายสะพานไม่กล่าวอะไรกับพวกเขาอีก
“ต่อไปอย่าได้เกรี้ยวกราดอย่างไร้เหตุผลอีก”
“แล้วข้าเกรี้ยวกราดอย่างไร้เหตุผลตอนไหนกัน!”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าอย่าได้โหดเหี้ยมนักได้ไหม อย่าได้เอะอะก็จะกินคน มันไม่ดีเลย”
“คนพวกนี้ขโมยจากข้า! บางทีพวกมันต้องการจะโจมตีเจ้า ดังนั้นข้าต้องฆ่าพวกมัน เมื่อข้าต้องฆ่าพวกมันอยู่แล้ว ทำไมจะกินพวกมันด้วยไม่ได้”
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ต้องการที่จะกิน แล้วทำไมต้องฝืนตัวเอง…”
“ข้าบอกเมื่อไหร่ว่าข้าไม่ต้องการที่จะกินเนื้อมนุษย์ ข้าแค่คิดว่าที่เจ้าพูดมันมีเหตุผล มือนั้นสกปรกเกินไป จะให้ล้างแล้วถอนขนจนหมดก็ลำบากเกิน…”
“ข้าก็แค่มอบข้อแก้ตัวให้เจ้าเท่านั้น”
“นี่! ถ้าเจ้าพูดมันออกมาดังๆ ไม่เท่ากับผลักให้ข้ากลับไปอยู่ในจุดที่กระอักกระอ่วนหรอกหรือ นอกจากนี้เจ้าควรเข้าใจว่าข้าแค่ไว้หน้าเจ้าเท่านั้น!”
ผู้คนในศาลาฟังคำสนทนาและมองพวกเขาเดินห่างออกไปด้วยความรู้สึกที่สับสนปนเป
พวกเขาคิดไปว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนี้จะเป็นแค่ความฝัน ในที่สุดก็จะกลายเป็นความฝันที่ไม่อาจลืมได้แต่ก็ร่องรอย…
ทันใดนั้น
แสงดาวกับหิมะก็มาบรรจบกัน หินก้อนใหญ่พุ่งผ่านอากาศและฟาดลงบนสะพานไม้
ทะเลสาบเกิดคลื่นสาดไปทั่ว ท่อนไม้กระเด็นไปและฝุ่นผงหิมะปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า
สะพานไม้ขาดลง ทะเลสาบหิมะปั่นป่วน
ชายหนุ่มกับเด็กสาวชุดดำยืนอยู่บนสะพานไม้ เสื้อผ้าเปียกโชก
ทั้งหมดเงียบและกดดัน
ทันใดนั้นลมก็เริ่มส่งเสียงอย่าต่อเนื่อง ลมเย็นพัดใส่เปลวไฟ
ตามมาด้วยเสียงโลหะเสียดสีและชุดเกราะขยับ
คบเพลิงนับไม่ถ้วนถูกจุดขึ้นตามชายฝั่ง ค่อยๆ ส่องสว่างบริเวณ
มีคนอยู่ทั่วไปหมด