ตอนที่ 644 ตัวประหลาดในชั้นเก้า

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ขอเพียงชือหลีสามารถคืนชีพขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย ตู๋กูซิงหลันย่อมปล่อยเยี่ยเฉินไป 

 

 

เยี่ยเฉินแบกนางต่อไป โดยมิได้พูดอะไรอีก 

 

 

ตู๋กูซิงหลันแม้จะดูเหมือนคนที่ทำอะไรบุ่มบ่าม พูดจาไม่เข้าประเด็นอยู่เสมอ แถมบ้างครั้งยังมีพฤติกรรมประหลาดอยู่เรื่อยๆ แต่ว่านางก็เป็นผู้ที่สามารถทำให้ผู้อื่นรู้สึกมีความสุขและอบอุ่นใจได้อยู่เสมอ  

 

 

แต่เพราะนางเป็นเช่นนี้ จึงสามารถทำให้จิตใจของมังกรทั้งเก้าตัวที่ถูกกดดันมานานนับหมื่นปีค่อยๆผ่อนคลายลงได้ 

 

 

เรื่องสัพเพเหระที่นางชวนคุย ช่วยลดช่องว่งระหว่างพวกมันกับนางให้แคบลง 

 

 

ท้องฟ้ายามราตรีของแดนสวรรค์ช่างงดงามตระการตา แต่ว่าไม่มีความอบอุ่นใดๆแม้แต่น้อย 

 

 

แต่ว่ากับสาวน้อยที่ยืนอย่างโดดเด่นอยู่เหนือศีรษะผู้นี้….ทั้งๆที่นางมีแต่เพียงดวงวิญญาณ กลับสามารถทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น 

 

 

เยี่ยเฉินโบยบินไปยังเบื้องหน้า ในลำคอคล้ายมีอะไรตีบตันอยู่ ผ่านไปอีกพักใหญ่ถึงได้กระแอมไอเอ่ยออกมาคำหนึ่งว่า “ขอโทษด้วย” 

 

 

น้ำเสียงนั้นเบามาก แต่ว่าตู๋กูซิงหลันยังคงได้ยินอยู่ 

 

 

นางยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็ได้ยินหนึ่งในมังกรทั้งเก้าตัวเอ่ยด้วยความขุ่นเคืองว่า “หากจะขอโทษก็ต้องมีท่าทีขอโทษที่ถูกต้อง เจ้าเป็นมังกรมิใช่ตัวหนอน มังกรคำรามย่อมกึกก้องและทรงพลัง” 

 

 

มังกรทั้งเก้าตัวไม่ได้ล่วงรู้สาเหตุ พวกมันเข้าใจว่าเยี่ยเฉินขอโทษเรื่องที่กรอกตาบนใส่ท่านเจ้าวัง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้สึกเหมือนกับว่านางได้ช่วยแฟนคลับเอาไว้กลุ่มหนึ่ง จริงๆนะ 

 

 

ดูสิ ปกป้องกันถึงขนาดนี้ ทำเอานางรู้สึกคิดถึงกองทัพตระกูลตู๋กูของที่บ้านขึ้นมาแล้ว 

 

 

แม้ว่าจะมาจากเผ่าพันธุ์ที่แตกต่าง แต่ว่าอื่นๆล้วนเหมือนกันอย่างยิ่ง 

 

 

เยี่ยเฉินกระดิกหนวดไปมา ครู่ต่อมา ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปาก 

 

 

ตู๋กูซิงหลันก้เอ่ยขัดเขาขึ้นมา “คำขอโทษ เจ้าเก็บเอาไว้บอกกับชือหลีเถอะ” 

 

 

เขาไม่มีเรื่องใดจำเป็นจะต้องมาขอโทษนาง ผู้ที่ครอบครัวของเขาล่วงเกินก็คือมารดา คือชือหลี 

 

 

เยี่ยเฉินถึงกับใบ้กิน จึงได้แต่จดจำคำพูดของนางเอาไว้ในใจ 

 

 

……………… 

 

 

 

 

 

เมื่อสามารถปลดเปลื้องตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนที่หนักราวภูเขาไท่ซานทิ้งไปได้ มังกรทั้งเก้าตัวก็โบยบินได้อย่างอิสระเบาสบาย 

 

 

ตลอดทางมีเหล่าเทพพบเจอพวกนางอยู่ไม่น้อย 

 

 

บนแดนสวรรค์แห่งนี้ การสื่อสารระหว่างเทพด้วยกันย่อมว่องไวอยู่แล้ว 

 

 

เพียงแค่ไม่นาน ทั่วทั้งแดนสวรรค์ต่างก็รู้แล้วว่า ประมุขคนใหม่ของเผ่ามังกรทมิฬบุกเข้ามาในแดนสวรรค์ 

 

 

นางยังหาเรื่องตายถึงขนาดปลดปล่อยเจ้าสัตว์ต่ำต้อยเก้าตัวนั้น 

 

 

แต่ว่าจนถึงตอนนี้เทียนตี้ก็ยังมิได้ทรงมีพระบัญชาใดๆออกมา เหล่าเทพเห็นพวกนางเหาะไปยังทิศทางเป็นตำหนักซือมิ่งกง แต่ก็มิได้เข้าสกัดขัดขวาง 

 

 

ในเนื้อหาที่ส่งต่อกันออกไป แน่นอนว่าย่อมต้องมีข่าวสารที่ว่าประมุขมังกรคนใหม่ผู้นี้ฝีมือร้ายกาจ เพียงลงมือก็สามารถสังหารเทพน้อยๆให้กลายเป็นเถ้าถ่านได้แล้ว 

 

 

ถึงแม้ว่านางจะเป็นเพียงดวงวิญญาณดวงหนึ่ง แต่ว่าก็ยังไม่มีผู้ใดทราบว่าพลังของนางแข็งแกร่งถึงเพียงไหน 

 

 

 

 

 

ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดกล้าลงมืออย่างง่ายๆ 

 

 

บนเจดีย์กำราบเทพมาร ชั้นที่เก้า ยามนี้ดวงตาที่เคยหลับใหลคู่หนึ่งได้ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว 

 

 

ดวงตาคู่นั้นลืมขึ้นมาเพียงเส้นบางๆ ก็เผยแววตาที่เย็นยะเยือกอย่างที่สุดออกมา 

 

 

มันยังคงนอนนิ่งไม่เคลื่อนไหวอยู่บนพื้น 

 

 

แม้อยู่ท่ามกลางความมืดมิด แต่ยังสามารถมองเห็นได้ว่าตรงทรวงอกของมันมีดาบเล่มหนึ่งปักอยู่ บนตัวดาบพันเอาไว้ด้วยกระดิ่งรูปร่างแปลกประหลาดและเชือกสีแดงสด 

 

 

ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเจ้าตัวประหลาดนี้ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว 

 

 

นอกเสียจากเจ้านกยักษ์ที่อยู่ในชั้นแปด 

 

 

เหยื่อที่มาถึงปากหลบหนีไปแล้ว แถมมันยังไม่ได้กินแม้แต่ผลไม้ทิพย์สักลูก อารมณ์โมโหร้ายที่เป็นอยู่เสมอยิ่งระเบิดออกมา 

 

 

แต่พอรู้สึกได้ว่าเจ้าตัวประหลาดที่ชั้นเก้าตื่นขึ้นมาแล้ว มันก็รีบทำตัวสงบเสงี่ยมลงในทันที 

 

 

ทั้งๆที่อีกฝ่ายก็มิได้มีความเคลื่อนไหวใดๆ แต่ว่าแรงบีบเค้นจากกระแสคลื่นที่โหดเ**้ยมของสัตว์โบราณแต่ครั้งบรรพกาลที่แผ่ออกมา ก็เหมือนจะทำให้มีอะไรมาขวางลำคอของมันเอาไว้ อึดอัดจนหายใจไม่ออก 

 

 

เจ้านกยักษ์ที่ยามปกติฮึกเหิมลำพองจนมองไม่เห็นหัวผู้ใดในโลกหล้า ยามนี้กลับต้องหลบไปตัวสั่นสะท้านอยู่มุมหนึ่งของกรง กลัวจนหงอยเหมือนนกกระทา 

 

 

บนชั้นเก้าของเจดีย์กำราบเทพมารแห่งนี้ ได้ผนึกสัตว์อสูรที่โหดเ**้ยมจนทั่วทั้งสวรรค์ต้องหวาดผวาเอาไว้ 

 

 

นับตั้งแต่ที่แดนสวรรค์ถูกสร้างขึ้นมา เจ้าสัตว์อสูรที่แสนโหดเ**้ยมตนนี้ก็ถูกผนึกเอาไว้ที่นี่แล้ว 

 

 

อายุขัยของมัน ยังยาวนานมากกว่าอายุของแดนสวรรค์เสียอีก 

 

 

และบางทีนอกจากตี้เสียจักรพรรดิสวรรค์องค์แรกแล้ว ก็คงจะไม่มีใครรู้อีกแล้วว่าเจ้าตัวนี้มันคือตัวอะไร 

 

 

พอนานวันเข้า เจ้าสัตว์อสูรที่อยู่บนเจดีย์กำราบเทพมารชั้นเก้าก็กลายเป็นเพียงเรื่องเล่าลือในแดนสวรรค์ไป 

 

 

ไม่มีใครกล้าไปดู และไม่มีใครพูดถึงอีก 

 

 

บางทีสำหรับพวกเขาแล้ว เจ้าตัวประหลาดนี้….คงจะตายไปตั้งนานแล้วกระมั้ง? 

 

 

เนื่องเพราะช่วงวันเวลานั้นมันคือเพชรฆาตที่ไร้น้ำใจ ซึ่งสามารถทำลายได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ……ต่อให้แข็งแกร่งกว่านี้ แต่ในเมื่อถูกผนึกเอาไว้ตั้งนานโขเช่นนี้ มันก็คงจะตายจนกลายเป็นธุลีไปตั้งนานแล้ว 

 

 

ต่อให้ฝันพวกเขาก็ไม่มีทางคิดว่า วันหนึ่งเจ้าตัวประหลาดตัวนี้จะตื่นขึ้นมาอีก 

 

 

บนชั้นเก้าที่มืดมิด ดวงตาคู่นั้นค่อยๆลืมขึ้นมาอย่างช้าๆ 

 

 

…………………. 

 

 

ตำหนักซือมิ่ง  

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็คิดไม่ถึงเลยว่า เพียงแค่วันเดียวจะเกิดเรื่องราวขึ้นมากมายถึงเพียงนี้ 

 

 

ยิ่งคิดไม่ถึงเลยว่า นางจะกลับมาที่ตำหนักซือมิ่งด้วยวิธีที่หรูหราฟู่ฟ่าถึงเพียงนี้ 

 

 

ตลอดทางที่ผ่านมา พวกนางยังได้พบเห็นเทพต่างๆอยู่ไม่น้อย 

 

 

แต่ว่าพอมาถึงตำหนักซือมิ่ง กลับไม่เห็นเงาของเทพองค์ไหนทั้งสิ้น 

 

 

รอบด้านเงียบสงบจนมีแต่เพียงเสียงลมเท่านั้น 

 

 

ทำเอาแม้แต่เยี่ยเฉินก็พลอยตื่นเต้นขึ้นมาเช่นกัน เขารู้สึกได้ถึงความสงบนิ่งก่อนที่พายุใหญ่จะมา 

 

 

จากที่เดิมทีสมควรมีแต่อันตรายรอบด้าน แต่ว่าตลอดทางมาที่นี่ทุกอย่างกลับมีแต่ความสะดวกราบลื่น  

 

 

ยิ่งพอมาถึงที่นี่แล้ว ก็ยังไม่พบเห็นทหารเทพแม้แต่ครึ่งคน? 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น ตำหนักต้าซือมิ่งยังห่างจากตำหนักเทพสงครามเพียงไม่กี่พันเมตรเท่านั้น….เทพทั้งหลายย่อมต้องรู้ข้าวที่ว่าตู๋กูซิงหลันบุกเข้ามาในแดนสวรรค์แล้ว 

 

 

เช่นนั้นเทพสงครามซือเป่ยยิ่งไม่มีทางที่จะไม่รู้เรื่อง 

 

 

เยี่ยเฉินติดตามซือเป่ยอยู่ข้างกาย มานานกว่าครึ่งค่อนปีแล้ว เขารู้ดี คนอย่างซือเป่ยที่จริงแล้วยังโหดเ**้ยมและร้ายกาจเสียยิ่งกว่าฉากหน้าที่เขาแสดงออกภายนอกมากนัก 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งก่อนที่เขาได้รับคำสั่งให้ไปยังแดนจิ่วโจว ก็มีเป้าหมายหลักอยู่ที่การจับตัวตู๋กูซิงหลันกลับไป 

 

 

เพื่อการนี้ซือเป่ยถึงกับมอบสามง่ามให้กับเขาด้วยตนเอง 

 

 

มันชัดเจนเลยว่า ซือเป่ยรู้ถึงการคงอยู่ของนางแต่แรกแล้ว 

 

 

นักรบเทพที่ร่วมเดินทางไปกับเขา คนเหล่านั้นล้วนได้รับคำสั่งจากซือเป่ยมาโดยตรง ทั้งยังไม่มีการแพร่งพรายต่อภายนอก 

 

 

จุดประสงค์ที่ซือเป่ยต้องการจะจับตัวตู๋กูซิงหลันคืออะไร พวกเขาเองก็ไม่รู้ 

 

 

เขาเพียงสั่งแต่ว่า : ให้จับเป็น 

 

 

แต่เพราะว่าตัวเขาเกลียดชังตู๋กูซิงหลันอยู่เป็นทุนเดิม ดังนั้นจึงได้ฝ่าฝืนคำสั่งของซือเป่ย คิดฆ่านางเสีย 

 

 

ยามนี้พอมองเห็นพวกเทพต่างๆที่อยู่ห่างไปไม่ใกล้ไม่ไกลจากรอบๆตำหนักซือมิ่ง ต่างก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอันใด ในใจของเยี่ยเฉินก็ยิ่งรู้สึกหวาดระแวง 

 

 

เขาคิดจะตักเตือนตู๋กูซิงหลัน ให้นางระมัดระวังตัวให้มากๆ 

 

 

คำพูดยังไม่ทันได้ออกจากปาก ตู๋กูซิงหลันก็กระแอมออกมา ตะโกนเรียกออกไป 

 

 

“ต้าซือมิ่ง” 

 

 

เยี่ยเฉินเกือบถูกเสียงตะโกนของนางทำเอาหูดับแล้ว 

 

 

เสียงตะโกนของตู๋กูซิงหลัน ดังกึกก้องกังวาน ทั้งยังแฝงไว้ด้วยพลังวิญญาณ 

 

 

แดนสวรรค์ที่เดิมทีเคยมีแต่ความเงียบสงบ กลับถูกน้ำเสียงของนางสั่นสะเทือน เหมือนกับก้อนหินที่โยนลงไปในน้ำ จนทำให้เกิดวงกระเพื่อมออกไปนับพันชั้น 

 

 

เสียงนั้นดังออกไปไกลนับพันเมตร 

 

 

เสียงนี้ทำให้แม้แต่เหล่าเทพที่อยู่ห่างออกไปโดยรอบยังได้รับความตื่นตระหนก 

 

 

“เจ้ามดปลวกจากโลกเบื้องล่างนั่นคิดจะทำอะไรกันแน่?” 

 

 

“นี่นางคงจะเห็นว่าทั่วทั้งแดนสวรรค์ไม่มีเทพใดสามารถจัดการกับนางได้ จึงได้เหิมเกริมถึงเพียงนี้?” 

 

 

“แดนสวรรค์ของพวกเราตกต่ำถึงเพียงใดแล้ว ถึงได้ปล่อยให้มดปลวกตัวหนึ่งสามารถมาอาละวาดบนศีรษะได้?” 

 

 

“ทั้งยังจงใจใช้พลังวิญญาณส่งเสียงออกไป นี่มันเท่ากับว่าท้าทายกันอย่างชัดเจน!” 

 

 

เหล่าเทพต่างก็พากันขุ่นเคือง ในใจก็ยิ่งมีข้อกังวล จนแทบจะอยากพุ่งเข้าไปสับตู๋กูซิงหลันให้แหลกเละเสียในตอนนี้ 

 

 

พวกเขาไม่อาจเข้าใจอะไรได้เลย เทียนตี้ทรงหายสาปสูญไปแล้วหรือว่าเกิดเหตุใดกัน ถึงได้ปล่อยให้มดปลวกตัวนี้มาอาละวาดที่นี่ได้? 

 

 

………………….