ภาคที่ 38 เจ้าดินแดนเสวี่ยอิง ตอนที่ 42 บรรพชนงูเก้าเศียรสำเร็จเป็นคละถิ่น

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

วันหนึ่งหลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงไปถึงร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้เพียงหกสิบล้านปี

ในวันนี้เอง

ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในสวนของคูหาตน นับตั้งแต่หลังจากที่ตระหนักรู้กระบวนสังหารที่สามของวิถีเขตลวงโลกเทียมแล้วเขาก็อยู่ห่างจากการไปถึงขั้นสุดยอดของวิถีเขตลวงโลกเทียมอยู่อีกเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น

“ถึงแม้ว่าจะได้หยาดน้ำพันเนตรมาจากเป่ยเหอนั่นแล้วก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้ว หยาดน้ำพันเนตรมีส่วนช่วยเหลือต่อข้าเพียงเล็กน้อยจนสามารถมองข้ามได้เลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “ตอนนี้ข้าอยู่ห่างจากขั้นสุดยอดของวิถีโลกเทียมอีกเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น สิ่งที่ต้องการก็คือการสัมผัส สิ่งที่จำเป็นก็คือการตระหนักรู้เท่านั้นเอง”

“หืม”

ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็จิตใจวูบไหวแล้วเงยหน้าขึ้นมอง

โครม…

ชั้นเมฆกลางอากาศนั้นลดตัวต่ำลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังเปลี่ยนเป็นดำทะมึนทั้งหมดอีกด้วย

ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนจากท้องฟ้าใสกระจ่างเป็นดำทะมึนไปหมดนี้เกิดขึ้นภายในอึดใจเดียวเท่านั้น

เมฆดำแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งโลกทิพย์ พลานุภาพอันน่าหวาดหวั่นขุมแล้วขุมเล่าก่อตัวอยู่ด้านบน

ความแข็งแกร่งของพลานุภาพนี้ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงหน้าถอดสี “เรื่องอันใดกันนี่”

“พลานุภาพนี่มันอะไรกัน”

“ที่แท้แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

ความเคลื่อนไหวใหญ่โตเกินไปเสียแล้ว

ที่เมืองเมฆาแดง นอกจากประตูที่ปิดตายไม่กี่บานแล้ว ส่วนใหญ่ต่างก็ออกมามองดูท้องฟ้ากันอย่างรวดเร็ว มองดูพลานุภาพที่ก่อตัวอยู่ท่ามกลางเมฆดำทะมึน แต่ละคนอดที่จะหน้าถอดสี จิตใจไหวสั่นมิได้ พวกเขาล้วนสามารถสังเกตได้ว่าความแข็งแกร่งของพลานุภาพที่ก่อตัวอยู่นี้ เกรงว่าเพียงชั่วพริบตาก็สามารถทำให้พวกเขากลายเป็นฝุ่นธุลีได้แล้ว นี่คือพลังอันน่าหวาดหวั่นที่ไม่มีทางต้านทานได้เลย

“ทุกท่าน ทราบหรือไม่ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันหรือ”

“ท้องฟ้าเหนือเมืองยามเที่ยงของพวกเราเต็มไปด้วยเมฆดำทะมึน พลานุภาพที่ก่อตัวอยู่ช่างน่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว ความกว้างใหญ่ของเมฆดำนี้… มิอาจมองเห็นจุดกำเนิดได้ภายในปราดเดียว”

“เมืองเมฆาแดงของพวกเรา ท้องฟ้าเบื้องบนก็เต็มไปด้วยเมฆดำทะมึนเช่นกัน!”

“เมืองดาราน้ำแข็งก็ด้วย…”

เหล่าสุดยอดผู้แกร่งกล้าของสถานที่รวมตัวห้าแห่งสื่อสารกัน ทันใดนั้นก็แน่ใจว่าเมฆดำที่สะสมพลานุภาพอันน่าหวาดหวั่นหาใดเปรียบนี้น่าจะแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งโลกทิพย์

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงเหินมายังกลางอากาศแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า

เมืองเมฆาแดงมีเงาร่างกว่าพันสายกำลังบินไปยังกลางท้องฟ้า พินิจดูเมฆดำที่อยู่กลางอากาศ แต่ละคนทั้งสงสัย ทั้งหวาดหวั่นในใจ

“พรึ่บๆๆ” ทันใดนั้นที่บริเวณส่วนลึกของเมฆดำด้านบนก็มีประกายสีทองปรากฏขึ้นรางๆ ประกายสีทอกำลังพรั่งพรู ความระยิบระยับจับตาของประกายสีทองแทรกผ่านเมฆดำแล้วเปล่งประกายไปยังพื้นดินเบื้องล่าง ประกายสีทองที่พรั่งพรูเหล่านี้ก่อตัวเป็นน้ำวนอันใหญ่มหึมาอันหนึ่ง รอบนอกอาณาเขตของน้ำวนสีทองนี้ก็คือน้ำวนเมฆดำจำนวนนับไม่ถ้วน น้ำวนขนาดใหญ่ค่อยๆ แผ่ระลอกคลื่นออกไปทุกทิศทุกทาง

“ท้องฟ้าเบื้องบนเหนือเมืองเมฆาแดงของพวกเรามีน้ำวนประกายทองปรากฏขึ้น! เมฆดำจำนวนนับไม่ถ้วนก็รายล้อมน้ำวนนี้เอาไว้ด้วย”

“เมืองยามเที่ยงของพวกเราไม่มีนะ”

“เมืองเฉิงกวงของพวกเราก็ไม่มีเช่นกัน”

เมื่อแลกเปลี่ยนกัน

ก็ค้นพบอย่างตกตะลึงในทันทีว่าน้ำวนประกายทองนี้ปรากฏที่ท้องฟ้าเบื้องบนของเมืองเมฆาแดงเท่านั้น

“พรึ่บ!”

ทันทีหลังจากนั้น

กลางน้ำวนประกายทองมีพลังกลิ้งม้วนตัว ลงมายังเบื้องล่าง พุ่งตรงเข้าไปในคูหาแห่งหนึ่งของเมืองเมฆาแดง พลังที่กลิ้งม้วนตัวนี้มิได้ทำลายตัวอาคารแต่อย่างใด หากแต่เข้าไปภายในส่วนลึกของคูหาแห่งนี้

“นั่นคือคูหาของบรรพชนงูเก้าเศียรอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหันหน้าไปมอง เพียงปราดเดียวก็แน่ใจแล้วอดที่จะเผยสีหน้าตกตะลึงมิได้ “อานุภาพยิ่งใหญ่เช่นนี้ พลานุภาพน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้เข้าไปภายในคูหาของเขา หรือว่าเขา…ทำสำเร็จแล้วอย่างนั้นหรือ”

สวบ ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่งในทันใด เคลื่อนผ่านท้องฟ้า แล้วมาถึงด้านนอกคูหาของบรรพชนงูเก้าเศียรอย่างรวดเร็ว

ขณะนี้เหล่าผู้บำเพ็ญมากมายต่างก็กำลังมุ่งหน้าไปยังคูหาของบรรพชนงูเก้าเศียร เมืองเมฆาแดงก็มีอาณาบริเวณอยู่ทั้งหมดเพียงแค่หนึ่งแสนกว่าลี้เท่านั้น ด้วยอัตราเร็วของเหล่าผู้บำเพ็ญ แต่ละคนต่างก็แปลงร่างเป็นเงารางมาถึงอย่างรวดเร็ว ทุกคนล้วนมารวมตัวกันอยู่ตรงหน้าคูหา

“เจ้าเมืองเก้าเศียรปลีกวิเวกก่อนหน้านี้ ดิ้นรนอย่างเต็มกำลัง หมายจะพุ่งชนคละถิ่น หรือว่าเขาทำได้สำเร็จแล้วเล่า” จ้าวเลี่ยซีที่ยืนอยู่ข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิงอดที่จะเอ่ยปากพูดมิได้ นัยน์ตาของจ้าวเลี่ยซีมีทั้งความพรั่นพรึงและริษยา

“เดิมทีเจ้าเมืองเก้าเศียรมิได้มีสายโลหิตคละถิ่น เขาก็บำเพ็ญขึ้นมาทีละก้าวๆ จากโลกสามัญอันเล็กจ้อยอ่อนแอ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองดูคูหาตรงหน้าแห่งนี้ มองดูพลังอันน่าหวาดหวั่นนั้นมาถึงภายในคูหาแล้วเอ่ยว่า “เขาสามารถสะสมสายโลหิตคละถิ่นซึมซับเข้าสู่ร่างกายตนได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นสายโลหิตที่มาจากภายนอก แต่เขาก็ยังคงสามารถใช้พลังสายโลหิตทุกชนิดแสดงพลังรบระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ออกมาได้อยู่ดี ถึงขนาดที่เก้าชนิดสามารถผสานรวมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทางด้านการขุดค้นสายโลหิต… ไม่ว่าจะเป็นพื้นฐานหรือว่าการสั่งสม เกรงว่าเขาก็คงจะเป็นอันดับหนึ่งของโลกทิพย์อย่างไร้ข้อกังขา”

บรรพชนงูเก้าเศียรก็คือคนแรกของวิถีทิพย์สายนี้

“มีการสั่งสมเช่นนี้ ในเมื่อเขายึดมั่นในโลหิตหัวใจของเจ้าภูเขาน้ำแข็งเงียบงัน ว่าเป็นกุญแจสำคัญในการบรรลุของเขา ถึงขนาดที่ก่อนหน้านี้ได้ก่อตั้งกองกำลังหลายต่อหลายครั้งโดยไม่คำนึงถึงราคา ออกไปจัดการกับเจ้าภูเขาน้ำแข็งเงียบงัน กระตือรือร้นถึงเพียงนี้ เกรงว่าตัวเขาเองก็คงมีความมั่นใจอยู่บ้างแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ตอนนี้ยิ่งมีอานุภาพยิ่งใหญ่เช่นนี้ ดูท่าทางว่าเขาคงจะบรรลุคละถิ่นแล้วจริงๆ”

“ถูกต้อง”

‘อูเสี่ยว’ ก็เดินเข้ามาแล้วพยักหน้าพูดว่า “อานุภาพเช่นนี้ เป็นบรรยากาศของการตื่นรู้ขั้นสุดยอดสำเร็จเป็นคละถิ่นจริงๆ ทั้งชีวิตของเขาในตอนนี้ต่างก็กำลังเกิดการวิวัฒน์ วิวัฒน์ไปถึงระดับชีวิตที่สูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง…สิ่งมีชีวิตคละถิ่น”

“วิวัฒน์ชีวิตอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปยังอูเสี่ยวที่อยู่ด้านข้าง เขารู้ว่ารองเจ้าเมืองอูเสี่ยวก็คือทายาทรุ่นหลังที่ร้ายกาจที่สุดของผู้แกร่งกล้าคละถิ่นผู้กล้าแกร่งท่านหนึ่ง ก็ย่อมรู้ถึงความลับต่างๆ นานาของการสำเร็จเป็นคละถิ่นมากกว่าอยู่แล้ว

“เพียงแต่ว่าข้าเองก็อยากรู้มากเช่นเดียวกัน” อูเสี่ยวมองดูที่พำนักตรงหน้าพลางพูดยิ้มๆ “ในอดีต การตื่นรู้ขั้นสุดยอดที่ข้าล่วงรู้ โดยทั่วไปแล้วล้วนมีสายโลหิตคละถิ่นอยู่ภายในร่างกายตั้งแต่กำเนิด ในที่สุดก็ตื่นรู้ขั้นสุดยอด เริ่มต้นกลับสู่บรรพบุรุษ กลายเป็นรูปลักษณ์สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด แต่บรรพชนงูเก้าเศียรเขาเป็นระบบการบำเพ็ญ ‘ทิพย์’ รวบรวมสายโลหิตจากภายนอกเข้าสู่ร่างกายตน ถ้าหากนับรวมขึ้นมาอย่างจริงจัง ในร่างกายเขาน่าจะประกอบด้วยสายโลหิตก่อนหน้านี้เก้าชนิด กับสายโลหิตของเจ้าภูเขาน้ำแข็งเงียบงันที่แทรกซึมเข้าไปเป็นชนิดสุดท้าย รวมทั้งสิ้นเป็นสายโลหิตสิบชนิด! สายโลหิตเก้าชนิดแรก เขาก็ได้ขุดค้นไปจนถึงระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์หมดแล้ว ชนิดสุดท้ายยังมีต้นกำเนิดมาจากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับสูง…สายโลหิตสิบชนิดอยู่ภายในร่างกาย แต่ละชนิดล้วนแกร่งเป็นอย่างยิ่ง เมื่อใดที่ตื่นรู้ขั้นสุดยอด แล้วเขาจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นเช่นไรกันหนอ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งคราหนึ่งแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “สายโลหิตสิบชนิด เกรงว่าคงจะมิได้เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดเช่นนี้กระมัง”

“ใช่แล้ว นี่คือสายโลหิตผสมผสานพิเศษที่เขาคิดค้นออกมาเอง” อูเสี่ยวมองดู

“ไม่ว่าอย่างไร ดูท่าทาง ในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จแล้วล่ะ” ใบเมฆาวายุก็เดินมา มองดูคูหาแล้วเอ่ยปากว่า “ขอเพียงแค่สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับสูง ด้วยพรสวรรค์ของพี่เก้าเศียร เกรงว่าคงจะมีหวังที่จะได้เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับโลกาเสียด้วยซ้ำ”

อูเสี่ยวก็พยักหน้าเห็นด้วย “รวบรวมสายโลหิตสิบชนิด ในท้ายที่สุดยังสามารถตื่นรู้ได้สำเร็จอีกด้วยอย่างนั้นหรือ ก่อนหน้านี้จะต้องไม่เคยมีมาก่อนอย่างแน่นอน มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่เขาจะไปถึง ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับโลกา’ ได้ในอนาคตอย่างแท้จริง”

เหล่าผู้บำเพ็ญมากมายที่อยู่บริเวณรอบๆ คูหาต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ ใบเมฆาวายุ ตงป๋อเสวี่ยอิง อูเสี่ยว เป่ยเหอ เสียฝาน และจักรพรรดิชิงสวรรค์… ถึงแม้ว่าพวกเขาแต่ละคนจะมีความเย็นชาและหยิ่งยโส มีบางคนร้ายกาย บางคนก็หวาดระแวงอย่างบ้าคลั่ง แต่ขณะนี้เมื่อเผชิญกับการกำเนิดขึ้นของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นท่านหนึ่ง ในใจก็ซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง

เพราะว่านี่คือความปรารถนาที่พวกเขาผู้บำเพ็ญเหล่านี้ต่างก็ไขว่คว้า

ทันใดนั้นเอง…

เงารางสลัวสายหนึ่งพุ่งจากส่วนลึกของคูหาบรรพชนงูเก้าเศียรสู่ท้องฟ้าในทันใด ลอยไปถึงชั้นเมฆที่ท้องฟ้าเบื้องบน ส่วนน้ำวนประกายทองและชั้นเมฆดำทะมึนแต่เดิมนั้นก็เริ่มต้นสลายตัวไปอย่างรวดเร็วแล้ว

เงารางสลัวสายนี้ลอยไปถึงท้องฟ้าเบื้องบนแล้วก็เผยร่างจริงออกมาในทันใด

งูใหญ่แปลกประหลาดตนหนึ่งปรากฏตัวกลางเวหา งูใหญ่ตนนี้มีความพิเศษเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่ามันมีหัวงูอยู่ถึงเก้าหัว นอกจากนี้ร่างกายอันคดเคี้ยวก็ยังมีกรงเล็บอยู่สี่อัน ร่างกายที่เป็นสีดำตลอดร่างกึ่งโปร่งแสง

มันตัวใหญ่เหลือเกิน

ความใหญ่โตของร่างกายมัน… ดูเหมือนว่าจะปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้า มีขนาดใหญ่กว่าเมืองเมฆาแดงกว่าหมื่นเท่าแสนเท่า พวกตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นสามารถมองเห็นหัวงูเก้าหัวได้อย่างทุลักทุเล ถึงขนาดที่เป็นเพราะว่าระยะทางห่างไกลเกินไป มองเห็นหัวงูเก้าหัวได้ไม่ชัดเจนเสียด้วยซ้ำ! หางงูนั้นยังทอดยาวไปจนสุดขอบฟ้า ทั่วทั้งเมืองเมฆาแดงไม่มีผู้ใดเลยแม้แต่คนเดียวที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ความกดดันของมันลดลงเล็กน้อย กลิ่นอายจางๆ แผ่ไปทั่ว แต่ก็ยังทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญของเมืองเมฆาแดงแต่ละคนอดที่จะเกิดความรู้สึกสวามิภักดิ์ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวมิได้

“โฮก…”

หัวงูเก้าหัวส่งเสียงร้องคำรามออกมาในเวลาเดียวกัน น้ำเสียงแหลมสูง เต็มไปด้วยความสุขสันต์อันไร้ที่สิ้นสุด

“นี่ก็คือสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับสูงอย่างนั้นหรือ สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับสูงที่ไม่ถูกกดดันอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบทอดถอนใจ นักโทษคละถิ่นเหล่านั้นเผชิญกับการพันธนาการและการกดดันอย่างสาหัส พวกเขาจึงได้แต่ต่อสู้เท่านั้น ถ้าหากเหมือนกับสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับสูงที่สามารถระเบิดพลังยุทธ์ออกมาได้อย่างสมบูรณ์ตรงหน้าตนนี้ เกรงว่าเพียงแค่ลมหายใจเดียวพวกเขาก็ต้องแหลกสลายกันไปจนหมดสิ้นแล้ว

“คละถิ่น” ใบเมฆาวายุเงยหน้าขึ้นมอง นัยน์ตาเปล่งประกายระยิบระยับ

“สำเร็จเป็นคละถิ่นหรือ ดูท่าทางจะแกร่งกล้ายิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับสูงโดยทั่วไปเสียอีกนะ”

อูเสี่ยวลอบตกตะลึง เขาเคยเห็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับสูงมาไม่น้อย แต่ผู้ที่กลิ่นอายบรรลุใหม่แล้วแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เขาก็เพิ่งจะเคยเห็นครั้งนี้เป็นครั้งแรก “เก้าเศียรเขาสามารถรวบรวมสายโลหิตสิบชนิดแล้วยังบรรลุได้ ช่างไม่ธรรมดาเลยจริงๆ นอกจากนี้ดูจากรูปลักษณ์ของเขาแล้ว แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”

งูใหญ่เก้าหัวสี่กรงเล็บหรือ

ไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย!

ในบรรดาเผ่าพันธุ์มากมายของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด ก็ไม่มีชนิดนี้อยู่ นับได้ว่าบรรพชนงูเก้าเศียรคิดค้นสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมา

“พรึ่บ”

งูใหญ่เก้าหัวสี่กรงเล็บกลางท้องฟ้าเบื้องบนแปลงร่างเป็นประกายจางๆ ในทันใด แล้วร่อนลงไปยังเมืองเมฆาแดงเบื้องล่าง ร่อนตรงลงมายังประตูคูหาของเขาแล้วกลายร่างเป็นรูปลักษณ์ชายหนุ่มศีรษะล้านผู้หล่อเหลา ซึ่งก็คือบรรพชนงูเก้าเศียรนั่นเอง

บรรพชนงูเก้าเศียรอมยิ้มพลางกวาดตามองบรรดาผู้บำเพ็ญที่อยู่รอบๆ แล้วเอ่ยปากว่า “ข้าปลีกวิเวกคราวนี้ เคราะห์ดีที่บรรลุได้ ในที่สุดก็หนีออกจากกรงขัง สำเร็จเป็นคละถิ่น! ปิติยินดีอย่างหาที่สุดมิได้ ก็ต้องขอบคุณทุกท่านที่คอยช่วยเหลือข้าก่อนหน้านี้ด้วย”

…………………………