ภาคที่ 38 เจ้าดินแดนเสวี่ยอิง ตอนที่ 41 ร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

เคล็ดวิชาที่ตระหนักรู้ในครั้งนี้ ในใจเขาก็ย่อมเกิดความรู้สึกเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ชนิดหนึ่ง

ตงป๋อเสวี่ยอิงสูดหายใจเบาๆ คราหนึ่ง ในใจคาดหวังรอคอย

“บรรลุ!”

ความคิดเกิดขึ้นมาแล้วควบคุมการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในร่างกายในทันใด ร่างกายที่ปกติเป็นเพียงแค่ระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย ในขณะนี้ก็เกิดการบรรลุขึ้นอีกครั้ง เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยอิงจากเคล็ดวิชาใหม่ล่าสุดของการฝึกกายคละถิ่น เมื่อมองเผินๆ ร่างกายของเขาก็ดูเหมือนจะมิได้มีความเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย เพียงแค่ผิวหนังสั่นสะท้านเล็กน้อยเท่านั้น ตัวผิวหนังเองประกอบตัวขึ้นมาใหม่อีกครั้ง พื้นผิวผิวหนังมีประกายระยิบระยับชั้นหนึ่ง ร่างกายของเขาดุจดังสมบัติล้ำค่าที่สมบูรณ์แบบที่สุด

และท่อนล่างของร่างกาย… ภายในร่างกายกลับกำลังเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างรุนแรง

นี่คือส่วนประกอบที่ละเอียดที่สุด ลวดลายจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่ปกคลุมไปทั่วทุกอนุภาคละเอียด ร่างกายกำลังเกิดความเปลี่ยนแปลงชนิดที่ถลกหนังถอดกระดูก โครงกระดูก กล้ามเนื้อ อวัยวะภายใน กระแสเลือด หยาดโลหิต ดวงตา และอื่นๆ ต่างก็กำลังเกิดความเปลี่ยนแปลง ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ช่างสมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง ทั้งหมดราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเองเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม และดุจดังวาดม้วนภาพวาดที่สวยงามที่สุดในชาตินี้ออกมา

“โครม” ผนังกั้นโลกถูกทำลายในทันใด พลังคละวิถีพุ่งเข้ามา แล้วพุ่งเข้าไปภายในร่างกายตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างต่อเนื่องก่อนจะถูกดูดซับเข้าไป

การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้รวดเร็วยิ่งนัก ใช้เวลาเพียงแค่สิบกว่าอึดใจเท่านั้น

แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็สงบลง

“บรรลุแล้ว” มุมปากตงป๋อเสวี่ยอิงยกยิ้มเล็กน้อย ไม่มีความเคลื่อนไหวใหญ่โตอันใด เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็บรรลุได้อย่างง่ายดายแล้ว

ความสว่างไสวภายในและภายนอกร่างกาย ส่วนประกอบร่างกายสมบูรณ์แบบถึงขีดสุด ตงป๋อเสวี่ยอิงถึงขนาดที่คิดไม่ออกว่าควรจะยกระดับอย่างยิ่งใหญ่กว่านี้อีกได้อย่างไร

นี่คือร่างกายที่สมบูรณ์แบบเป็นอย่างยิ่ง

“ในที่สุดข้าก็เข้าใจเสียที มิน่าเล่าที่โลกทิพย์ ผู้บำเพ็ญมากมายถึงเพียงนั้นแต่ละคนจึงได้ค้างอยู่ที่ระดับร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่บำเพ็ญสายโลหิตหรือว่าผู้ตระหนักวิถี ต่างก็ยากที่จะบรรลุได้ทั้งสิ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ อย่างน้อยสายโลหิตผู้บำเพ็ญก็ยังมีสายโลหิตให้ติดตามได้ ไปสู่การตื่นรู้ขั้นสุดยอด! แต่ผู้ตระหนักวิถีกลับได้เพียงแค่อาศัยตนเองเท่านั้น

“ข้ารู้สึกว่าสมบูรณ์แบบแล้ว”

“ด้านหน้าไม่มีทางให้เดินอีกแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีความรู้สึกชนิดนี้ขึ้น

ถึงแม้ว่าจะสามารถรับรู้ได้ถึง ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ ระดับที่สูงขึ้น ดำรงร่างกายที่มีชีวิตอันสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

แต่ร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นของตน ภายใต้เชาวน์ปัญญาของตน ก็รู้สึกว่าสมบูรณ์แบบแล้ว

“ในเรื่องเล่าขาน”

“ผู้ตระหนักวิถี อาศัยพละกำลังของตน ทำลายขีดจำกัดของร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ทำลายพันธนาการ ตระหนักวิถีระดับคละถิ่น! ถึงขนาดที่สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเจ้าดินแดนระดับสูงที่สุดในทันที” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ

อย่างเช่นการเผยแพร่ศรัทธาความเชื่อเหล่านั้น…

อาศัยวิธีการอื่นๆ บางอย่าง ในที่สุดก็ตระหนักรู้พื้นฐานโลกกำเนิดแห่งหนึ่งได้สำเร็จ สำเร็จเป็นผู้ครองโลกกำเนิด! อาศัยพลังของพื้นฐานโลกกำเนิด สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ถึงแม้ว่าจะเป็น ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับโลกา’ พลังยุทธ์ก็แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง เป็นรองเพียงแค่เจ้าดินแดนเท่านั้น ภายในโลกกำเนิดที่ตนเองครอบครอง ก็ยิ่งสามารถแข่งขันกับเจ้าดินแดนได้

แต่ว่าระดับขั้นนี้ยิ่งไม่มีวิถีทางที่จะอาศัยตนเองสำเร็จเป็นระดับคละถิ่นได้เลย

อย่างเช่นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดเหล่านั้น ก็ขุดค้นพลังสายโลหิตของตนออกมาอย่างต่อเนื่อง ชีวิตก็วิวัฒน์อย่างต่อเนื่องด้วยเหตุนี้ แต่ขุดค้นไปถึงขีดสุด เมื่อเปรียบเทียบกับเจ้าดินแดนที่สำเร็จวิถีระดับคละถิ่นแล้วก็ยังด้อยกว่าอยู่มากพอสมควร!

“ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด หรือว่าผู้แกร่งกล้าคละถิ่นระดับโลกาที่แข็งแกร่งเป็นที่สุด ถึงจะสามารถสำแดงพลานุภาพอันไร้ที่สิ้นสุดออกมาได้ แต่ก็มิได้สำเร็จพื้นฐานของวิถีคละถิ่นอยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงรำพึง

ระดับขั้นเช่นนั้น

ก็ยังมิได้สำเร็จพื้นฐานของวิถีคละถิ่นเลย

ตนเองอยากจะสำเร็จนั้นยากเย็นสักเพียงใด

แต่เมื่อใดที่สำเร็จ!

นั่นก็คือการใช้พลังทำลายกฎ! ฝืนทำลายพันธนาการทั้งหมด ไปถึงระดับขั้นที่สูงที่สุด

“พรึ่บ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่งแล้วก็หายลับไปจากหุบเขาเขี้ยวหัก

……

ออกมาจากโลกกำเนิดดินแดนจิตโลกา มาถึงยังกลางความอลหม่านไร้ที่สิ้นสุดใกล้ๆ ดินแดนจิตโลกา

“ปัง…”

ดินแดนจิตโลกาอันใหญ่โตมโหฬารแผ่ระลอกคลื่นอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา พุ่งปะทะพลังคละวิถีบริเวณรอบๆ ก่อตัวเป็นคลื่นน้ำชั้นแล้วชั้นเล่า แต่ความเข้มข้นของพลังคละวิถีที่เข้าใกล้อาณาเขตของดินแดนจิตโลกานั้นต่ำเป็นอย่างยิ่ง ขณะนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ออกมาจากดินแดนจิตโลกา รับสัมผัสการกัดกร่อนที่พลังคละวิถีบริเวณรอบๆ มีต่อร่างกาย การกัดกร่อนเช่นนี้ย่อมมิอาจส่งผลกระทบถึงร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นของเขาได้อยู่แล้ว

ฟึ่บ

ร่างกายกลายเป็นเส้นไหมเส้นหนึ่ง หลบหลีกอยู่ท่ามกลางมิติคละถิ่นในทันใด ตอนนี้ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาของเขาก็สำแดงออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น หลบหลีกไปได้ไกลแสนไกลอย่างง่ายดาย

จนในที่สุดก็หยุดลง

“ความเข้มข้นของพลังคละวิถีที่นี่เพิ่มขึ้นเป็นอันมากแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับสัมผัสอย่างละเอียด บริเวณโดยรอบมืดหม่นเงียบงัน พลังคละวิถีเข้มข้นหาใดเปรียบ ชะล้างร่างกายตนอย่างบ้าคลั่ง เคล็ดวิชาใดๆ ล้วนไม่สามารถต้านทานได้ทั้งสิ้น พลังคละวิถีชะล้างร่างกายและวิญญาณ

ขณะนี้ร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็ได้รับความเสียหายอย่างต่อเนื่อง ถึงขนาดที่การฟื้นฟูตามธรรมชาติของร่างกายยังมิอาจรับมือกับความเสียหายได้ทัน

วิญญาณก็ได้รับบาดเจ็บภายใต้การสึกกร่อนเช่นเดียวกัน

“ร่างกายของข้าอยู่ที่นี่ สามารถต้านทานได้ราวๆ หนึ่งชั่วยาม” ตงป๋อเสวี่ยอิงประมาณการณ์คร่าวๆ “วิญญาณของข้าดูเหมือนว่าจะสามารถต้านทานได้เนิ่นนานอย่างยิ่งทีเดียวกระมัง สามชั่วยามห้าชั่วยามก็คงจะไม่มีปัญหาเลย”

คราวก่อนวิญญาณของตนยังมิได้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เลย

ตั้งแต่หลอมรวมวิถีเขตลวงโลกเทียมกระบวนสังหารที่หนึ่งและกระบวนสังหารที่สองเข้าด้วยกันแล้วสร้างขึ้นมาเป็นกระบวนสังหารที่สาม วิญญาณของตนก็มีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพอย่างหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพในครั้งนี้ทำให้การต้านทานการกัดกร่อนของพลังคละของวิถีวิญญาณตนแข็งแกร่งเป็นที่สุดแล้ว

“สุดท้ายแล้วหากมิใช่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็ไม่เหมาะสมที่จะดำรงชีวิตอยู่ที่นี่ไปตลอด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำพลางหันหน้ามองไปทางดินแดนจิตโลกาที่อยู่ห่างออกไปแห่งนั้น

ดินแดนจิตโลกาก็ยังคงระยับจับตาเช่นเดิมท่ามกลางมิติคละถิ่นอันมืดมิด

มันพรั่งพรูและพุ่งปะทะพลังคละวิถีอันไร้ที่สิ้นสุดบริเวณรอบๆ…

เพียงแต่ว่าในขณะนี้ระยะทางห่างไกลเหลือเกิน ดินแดนจิตโลกาก็เล็กกว่าอย่างเห็นได้ชัด

“กลับไป”

นึกคิดคราหนึ่ง แล้วก็สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกากลับไปในทันที

******

ที่อากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิด

ร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ที่นี่ก็บรรลุไปถึงระดับร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแล้ว พร้อมกันนั้นก็มาถึงยังทางเดินโลกาพิศวง

บุรุษอาภรณ์ขาวตลอดร่าง เดินทางอยู่ท่ามกลางทางเดินโลกาพิศวงเพียงลำพัง

“เขตพลังห้วงอากาศ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงทดลองสำแดงเขตพลังห้วงอากาศ

ตอนนี้เขาไปถึงระดับครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น เขตพลังห้วงอากาศก็ทวีความเร้นลับยิ่งขึ้น เมื่อสำแดงออกมาแล้วก็ถอดถอนผลกระทบต่างๆ ของทางเดินโลกาพิศวงอย่างต่อเนื่อง ขยายเขตพลังของตนอย่างต่อเนื่อง แต่แรงกดดันที่ทางเดินโลกาพิศวงมีต่อเขตพลังของตนกลับพุ่งสูงขึ้นอย่างฉับพลันตามการขยาย ยกระดับขึ้นสิบเท่าร้อยเท่าพันเท่า เพียงไม่นานตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถูกบีบให้หยุดลง

“ก็ยังไม่มีทางตรวจสอบทางเดินโลกาพิศวงในอาณาบริเวณกว้างได้อยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วพลางส่ายศีรษะ “ทางเดินโลกาพิศวงที่โลกกำเนิดฟูมฟักออกมา ก็ยังปกป้องฝูงมารผลาญทำลายเหล่านั้นเอาไว้อยู่”

อยู่ที่นี่ย่อมไม่มีทางตรวจสอบในอาณาบริเวณกว้างได้อยู่แล้ว

อยากจะตรวจสอบอย่างนั้นหรือ

ก็ได้แต่สอดแนมตามที่ต่างๆ เท่านั้น เช่นนั้นก็ต้องเนิ่นนานเป็นอย่างยิ่งแล้ว! แต่ถึงอย่างไรจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นเทพจักรวาลขั้นสุดยอด สามารถเก็บซ่อนกลิ่นอายได้อย่างสมบูรณ์ สามารถตัดแยกเหตุปัจจัยตรวจสอบได้ ถ้าหากเขาแปรเปลี่ยนเป็นรูปลักษณ์ฝูงมารผลาญทำลายธรรมดา ต่อให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสอดแนมพบก็จำไม่ได้อยู่ดี

“ถ้าหากเขาใจกล้าออกไปจากทางเดินโลกาพิศวง ทำการสังหาร ข้าก็จะอาศัยโอกาสล้างผลาญเขา แต่เขาไม่ออกมา ข้าก็สิ้นไร้หนทางไปเป็นการชั่วคราวเสียแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะเบาๆ

แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยคิดจะปล่อยจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ไปเลย!

จอมเทพศักดิ์สิทธิ์กับเขามีความแค้นอันใหญ่หลวงต่อกัน ทั้งยังมีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่ตายด้วยน้ำมือจอมเทพศักดิ์สิทธิ์

“เจ้าก็ซ่อนตัวอยู่ที่นี่มาโดยตลอดเลยสินะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงหมุนกายแล้วก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่ง ออกไปจากทางเดินโลกาพิศวง

แต่ตอนนี้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ซ่อนตัวอยู่ที่ทางเดินโลกาพิศวงมาโดยตลอด ก็ย่อมไม่รู้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงสำเร็จเป็นร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแล้ว เขาได้วางแผนเป็นอย่างดีเอาไว้ก่อนแล้วว่าจะซ่อนตัวเช่นนี้ไปจนกระทั่งถึงมหาวินาศ เขากำลังรอคอยยุคต่อไปอยู่

……

ณ โลกทิพย์

ภายในคูหาของตงป๋อเสวี่ยอิงที่เมืองเมฆาแดง

ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังนั่งขัดสมาธิพลางจิบสุรา สูดกลิ่นหอมของดอกไม้ภายในสวน ฟังเสียงลมพัดกระทบใบไม้

“จ้าวหิมะเหิน ได้ยินว่าเจ้าออกจากการปลีกวิเวกแล้วหรือ สำเร็จเป็นร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแล้วอย่างนั้นหรือ” มีสารส่งมา

“บรรลุโดยบังเอิญน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

“เช่นนั้นเรื่องไปล่าสังหารนักโทษคละถิ่นที่ข้าพูดก่อนหน้านี้เล่า”

“ข้าเพิ่งจะบรรลุหมาดๆ ยังจำเป็นต้องเก็บประสบการณ์ให้ดีๆ ก่อน ไม่รีบร้อนเคลื่อนไหวอีกครั้งหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงปฏิเสธไปอย่างง่ายๆ

สังหารเจ้าภูเขาน้ำแข็งเงียบงันได้สำเร็จ

ผู้ที่อยากจะเชื้อเชิญให้เขาเคลื่อนไหวอีกครั้งนั้นมีอยู่ไม่น้อย ตงป๋อเสวี่ยอิงปฏิเสธทั้งหมดเป็นการชั่วคราว

“ทำอย่างไรจึงจะสามารถสำเร็จเป็นคละถิ่นได้กันหนอ” ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดใคร่ครวญ

มาถึงจุดที่อยู่ในขณะนี้

แต่กลับมีความสูญเสียอยู่บ้าง

ใช้พลังทำลายกฎหรือ อาศัยตนเองสำเร็จวิถีระดับคละถิ่นอย่างทุลักทุเลอย่างนั้นหรือ ระดับความยากก็สูงจนถึงระดับเหนือจินตนาการแล้ว

ควบคุมพื้นฐานโลกกำเนิดที่โลกกำเนิดบ้านเกิดน่ะหรือ ก็ยากเย็นเป็นอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน

“ใช้พลังทำลายกฎ”

“อืม สำหรับข้าแล้วดูเหมือนว่าการใช้พลังทำลายกฎจะมีอยู่สองวิธี” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “วิธีแรกก็คือทำลายพันธนาการร่างกายแบบธรรมดาๆ ทำให้วิถีอากาศยกระดับขึ้นโดยตรงไปถึงระดับคละถิ่นอย่างเป็นทางการ ร่างกายก็จะไปถึงระดับขั้นใหม่เช่นเดียวกัน”

“ส่วนอีกวิธีการหนึ่งก็คืออาศัยความช่วยเหลือจากวิญญาณแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดใคร่ครวญ

เขามีความรู้สึกว่าวิญญาณและร่างกายช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

นี่คือหลักการที่ใครๆ ก็เข้าใจ

แม้กระทั่ง ‘เจ้าศิลา’ ผู้เป็นระดับสุดยอดก็ยังกำลังจัดเกลาทางด้านวิญญาณ อย่างเช่น ‘บรรพชนฝาน’ แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุเป็นต้น มีผู้แกร่งกล้าระดับสุดยอดมากมายเหลือเกินที่ทุ่มเทความคิดจิตใจให้กับทางด้านวิญญาณ

ก่อนหน้านี้วิญญาณก็เคยทำให้ร่างกายยกระดับและปรับปรุงขึ้นมาได้พอสมควร

ตอนนี้ร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ร่างกายแข็งแรงเหลือเกิน วิญญาณก็ไม่มีส่วนช่วยเหลือต่อร่างกายเป็นการชั่วคราวแล้ว แต่ถ้าหากวิญญาณมีความก้าวหน้าขึ้นบ้าง ไปจนถึงขั้นสุดยอดเล่า

“วิญญาณมีส่วนช่วยเหลือต่อร่างกาย แต่จะสามารถอาศัยสิ่งนี้ใช้พลังทำลายกฎจนสำเร็จเป็นคละถิ่นได้หรือไม่นั้นกลับยากที่จะพูดได้ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเพียงแค่การคาดเดาของข้าเองเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ ต่อให้อยู่ในเรื่องเล่าขาน ก็ไม่เคยได้ยินว่าใครอาศัยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันของร่างกายและวิญญาณจนสำเร็จเป็นคละถิ่นได้ในคราวเดียวมาก่อนเลย

แต่ผู้แกร่งกล้ามากมายต่างก็คิดว่าเส้นทางสายนี้น่าจะถูกต้องเหมาะสม

ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็คิดเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน

“วิถีอากาศ ฝืนยกระดับไปถึงระดับขั้นที่สูงขึ้นอีก เส้นทางสายนี้กลับมีผู้แกร่งกล้าทำได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ

ว่ากันว่าเจ้าเมืองหลัวผู้นั้นก็ใช้พลังทำลายกฎ!

แต่ที่เจ้าเมืองหลัวเดินนั้นมิใช่วิถีอากาศเท่านั้นเอง

“วิถีที่ฝืนบรรลุ ถึงแม้ว่าจะเคยมีผู้แกร่งกล้าทำได้มาก่อน สำเร็จเป็นเจ้าดินแดนแล้ว! แต่ว่าเส้นทางสายนี้ยากเย็นเหลือเกิน”

“ส่วนอีกเส้นทางหนึ่ง เส้นทางที่วิญญาณและร่างกายผสานรวมกัน ถึงแม้ว่าจะไม่เคยได้ยินว่ามีใครทำได้มาก่อน แต่ข้าก็ได้วางรากฐานที่มั่นคงเอาไว้แล้ว วิถีเขตลวงโลกเทียมอยู่ห่างจากขั้นสุดยอดอีกเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเงียบๆ เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าวันเวลาในภายภาคหน้าจะทุ่มเทพลังจิตส่วนใหญ่ไปกับวิถีเขตลวงโลกเทียม ไปถึงขั้นสุดยอดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

สำหรับวิถีอากาศ ฝืนบรรลุการใช้พลังทำลายกฎนั้นถูกกำหนดให้เป็นเส้นทางอันยาวไกล

…………………………