ภาค 8 ทะยานฟ้า โอบกอดจันทร์ บทที่ 721 อนัตตาต้นกำเนิด มีหนึ่งไม่มีสอง

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ก่อนจะมายังโลกซ้อนโลก เยี่ยนจ้าวเกอก็มีลางสังหรณ์อยู่หลายส่วน

เพราะว่ามีการรักษาการสืบทอดที่สมบูรณ์แบบยิ่งกว่า ถึงขั้นที่อาจจะมีจอมยุทธ์ที่รอดจากวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ดำรงอยู่ ความรู้สึกและประสบการณ์ของบุคคลระดับสุดยอดในโลกซ้อนโลก จอมยุทธ์ในโลกแปดพิภพจะต้องเทียบไม่ได้อย่างแน่นอน

หากเยี่ยนจ้าวเกอใช้คัมภีร์วิชาลับมากมายที่ได้มาจากวังเทพก่อนวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ บางทีในโลกซ้อนโลกอาจจะมีคนรู้เบื้องหลังก็ได้

หลังจากมาถึงที่นี่ ลางสังหรณ์ก่อนหน้าของเขาก็ค่อยๆ เป็นจริง

แต่ว่าเยี่ยนจ้าวเกอก็มีวิธีแก้ไขมากมายเช่นกัน

รอยตราพลิกนภามีฝ่ามือนภากว่างเฉิงปิดบัง ในตอนที่ลงมือจริงๆ มีการแอบเปลี่ยนแปลง ใช้แล้วเก็บ ร่องรอยหายวับไปทันที

ตัวกระบี่สังหารเซียนก็มีความเปลี่ยนแปลงนับพันนับหมื่น ขอแค่ยึดลำดับความสำคัญของมันให้ได้ ก็จะไม่ถูกคนจำได้ง่ายๆ เหมือนในตอนที่ลงมือสังหารพวกหนงอวี่ซวนเป็นครั้งแรก

เมื่อเทียบกันแล้ว สิ่งที่ค่อนข้างเป็นปัญหาก็คือคัมภีร์นภาไร้ขอบเขต ซึ่งปิดบังได้ยาก

แต่ว่าในตอนนี้เมื่อมีสิบสองวิชาประกายกาฬ สถานการณ์ก็ถูกแก้ไขให้ดีขึ้นมามาก

ดังนั้นเยี่ยนจ้าวเกอจึงสนใจสิบสองวิชาประกายกาฬเป็นพิเศษ

‘ถึงแม้จะตื้นเขินอยู่บ้าง แต่ว่าสามารถศึกษาความหมายของอนัตตาออกด้วยตัวเอง จักรพรรดิประกายกาฬสมกับเป็นอัจฉริยะแห่งยุคจริงๆ’ เยี่ยนจ้าวเกอใช้นิ้วแตะริมฝีปากพลางครุ่นคิด “แต่น่าเสียดายที่เป็นเพราะสาเหตุนี้ จึงเป็นการอุดเส้นทางในการก้าวหน้าของตนเอง”

อนัตตามาก่อน ‘เลขหนึ่ง’ เป็นตอนต้นของต้นกำเนิด และเป็นตอนท้ายของจุดจบ

เทวกษัตริย์บรรพกำเนิดมีหนึ่งไม่มีสอง อนัตตาก็มีหนึ่งไม่มีสองเช่นกัน

คัมภีร์เกิดนภาซึ่งเป็นคัมภีร์ต้นกำเนิดเล่มที่สอง มีแค่คนคนเดียวที่สามารถฝึกสำเร็จได้ คัมภีร์นภาไร้ขอบเขตยิ่งอนุญาตให้แค่คนเพียงคนฝึกตั้งแต่ตอนแรก

ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ผ่านกาลเวลานับไม่ถ้วน คนที่มีความสามารถทำความเข้าใจกับความหมายของอนัตตาได้ ไม่ได้มีแค่จักรพรรดิประกายกาฬอิ่นเทียนเซี่ยคนเดียวเท่านั้น

แต่ทุกคนล้วนละทิ้งเส้นทางนี้โดยไม่มีข้อยกเว้น

เนื่องจากคัมภีร์นภาไร้ขอบเขตได้ยืนอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว

ถึงแม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ไม่ใช่ว่ายุคปัจจุบันจะสู้ยุคโบราณไม่ได้ เส้นทางในการค้นหามรรคาวิถีก็ยังคงพัฒนามาโดยตลอด

แต่ปัญหาอยู่ที่เทวกษัตริย์บรรพกำเนิดหลุดพ้นสำเร็จแล้ว

นี้หมายความว่าบนเส้นทางที่พระองค์เดินผ่าน แทบจะพูดได้ว่าเดินจนสุดทางแล้ว

คนรุ่นหลังที่คิดจะเดินบนเส้นทางเดียวกัน สุดท้ายเส้นทางจะยิ่งมายิ่งแคบลง จนกระทั่งไร้เส้นทางให้เดินในตอนสุดท้าย ต้องกลับมายังคัมภีร์นภาไร้ขอบเขตอีก

เยี่ยนจ้าวเกอไม่แน่ใจว่าอิ่นเทียนเซียรู้เรื่องนี้หรือไม่ พระองค์ศึกษาความหมายของอนัตตา สร้างสิบสองคัมภีร์ประกายกาฬที่เหนือกว่าคัมภีร์ประกายกาฬของบรรพบุรุษ ทำให้ตัวพระองค์กับสำนักประกายกาฬไปอยู่ในระดับใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน

ทว่าถ้าหากพระองค์ไม่สามารถเปิดเส้นทางเส้นอื่น กระโดดออกนอกรั้ว ระดับนี้ก็เป็นจุดสิ้นสุดของพระองค์เช่นกัน

ไม่มีใครรู้ว่าในตอนนั้นอิ่นเทียนเซี่ยมีความคิดเช่นใดกันแน่

การสวรรคตในช่วงรุ่งเรือง ทำให้ความเป็นไปได้ต่างๆ ในอนาคตของพระองค์ ต่างกลายเป็นเงาฟอง

เยี่ยนจ้าวเกอศึกษาสิบสองวิชาประกายกาฬ เปรียบเทียบกับคัมภีร์นภาไร้ขอบเขตของตัวเอง ในขณะเดียวกันก็เกิดความคิดนับไม่ถ้วนแล่นผ่านในใจ

พร้อมกันนั้น มีเพียงแค่คนเดียวที่ฝึกฝนคัมภีร์นภาไร้ขอบเขตได้

หลังจากที่มีคนเริ่มศึกษาคัมภีร์นภาไร้ขอบเขต และเริ่มฝึกฝนบนเส้นทางที่ถูกต้อง คนอื่่นต่อให้รู้จักคัมภีร์นภาไร้ขอบเขต ก็ได้แต่รู้สึกเสียดาย

ตอนที่ตนเลือกวรยุทธ์รากฐานในอดีต กำหนดพื้นฐานเมื่อครั้งยังอยู่ในโลกแปดพิภพ ก็เคยยินดีที่ที่นั่งนี้ยังไม่ถูกคนยึดไป

ถึงอย่างไรตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คัมภีร์นภาไร้ขอบเขตก็เป็นหนึ่งในกระบวนท่าระดับสุดยอด มีบางครั้งบางสถานการณ์ที่ถึงขั้นตัดคำว่า ‘หนึ่งใน’ ออกไปได้ด้วยซ้ำ

แต่ว่าในตอนนั้นเขาก็เคยสงสัยว่า มีคนอื่นต้องการความสามารถของวรยุทธ์นี้หรือไม่

ในโลกใบนี้มีแค่ตนที่ครอบครองแก่นแท้ของคัมภีร์นภาไร้ขอบเขตหรือไม่?

ก่อนวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ ไม่เคยได้ยินว่ามีคนฝึกฝนคัมภีร์นภาไร้ขอบเขตมาก่อน…

ในนี้เหมือนจะมีจุดที่มีเลศนัยและขัดแย้งอยู่

เยี่ยนจ้าวเกอนั่งขัดสมาธิบนพื้น ทางหนึ่งครุ่นคิด ทางหนึ่งโคจรเคล็ดวิชา

บนร่างของเขาค่อยๆ ปรากฏภาพครึ่งแสงครึ่งมืด ครึ่งขาวครึ่งดำขึ้น ประกายแสงกะพริบ เหมือนกับมีแสงอันขมุกขมัวที่ไม่สว่างไม่มืดครอบคลุมร่างไว้

เมื่อมีคัมภีร์นภาไร้ขอบเขตเป็นพื้นฐานแล้ว การฝึกฝนสิบสองวิชาประกายกาฬของเยี่ยนจ้าวเกอจึงเร็วและง่ายกว่าคนอื่นมาก

ครั้นสลัดความคิดไปได้ เยี่ยนจ้าวเกอก็ได้สติกลับมา เห็นพ่านพ่านกระโดดโลดเต้นอยู่กลางภูเขาสมบัติ และอาหู่ที่กำลังประคองกระดาษทองจากปรโลกที่หายากยิ่งแผ่นหนึ่งไว้ พร้อมกับยิ้มจนเห็นฟันไม่เห็นปาก

“เอ๋?” เยี่ยนจ้าวเกอพลันสงสัย กลุ่มของตนไม่ใช่ว่าเพิ่งมีตัวโลภมากเพิ่มขึ้นมาอีกคนหรอกหรือ?

ตามความทรงจำก่อนหน้า นางในตอนนี้สมควรพุ่งเข้าไปในกองสมบัติเหมือนพ่านพ่านถึงจะถูก

คนเล่า?

เยี่ยนจ้าวเกอหันไปมอง เกือบหัวเราะออกมา

เขาเห็นเสี่ยวอ้ายเข้าไปใกล้เฟิงอวิ๋นเซิง พลางมองเฟิงอวิ๋นเซิงอย่างเคร่งเครียด

เฟิงอวิ๋นเซิงถูกนางสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า ทว่ากลับไม่รู้สึกอึดอัด บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มสนใจขึ้นหลายส่วน ขณะหันไปมองเสี่ยวอ้าย

ผลสุดท้าย เสี่ยวอ้ายทนไม่ไหว เข้ามาหาเยี่ยนจ้าวเกออย่างหวั่นวิตก ถามว่า “คุณชายๆ ท่านผู้นี้…ท่านผู้นี้คงไม่ใช่…คงไม่ใช่…”

ชายหนุ่มถาม “คงไม่ใช่อะไร?”

เสี่ยวอ้ายกัดฟัน ลดเสียงลง “…คงไม่ใช่นายหญิงน้อยกระมัง?”

เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะพลางมองเฟิงอวิ๋นเซิง “เหตุใดถามเช่นนี้? หลักฐานของเจ้าคืออะไร? ชายหญิงที่ร่วมทางกันใช่ว่าจะเป็นคู่รักเสียหน่อย”

บนใบหน้าของเฟิงอวิ๋นเซิงปรากฏความสนใจเช่นกัน อยากเห็นว่าเสี่ยวอ้ายจะตอบอย่างไร

เสี่ยวอ้ายเบะปาก สีหน้าใกล้จะร้องไห้ “ดวงตาที่นางมองท่านไม่ปกติ สิ่งสำคัญยิ่งกว่าก็คือ…ดวงตาที่คุณชายมองนางก็ไม่ปกติเช่นกัน!”

เยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงได้ยินเช่นั้น ต่างหัวเราะขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

เสี่ยวอ้ายเกือบจะกอดขาของเยี่ยนจ้าวเกอร่ำไห้ “คุณชาย ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้นะ! บุคคลที่หล่อเหล่าเช่นท่านควรจะเป็นคนที่เดินออกมาจากสวนบุปผาโดยไม่มีใบไม้สักใบติดตัวจึงจะถูก!

“คุณชาย ท่านอย่ามีนายหญิงน้อยได้หรือไม่? เป็นโสดสิถึงจะสมบูรณ์แบบ!”

เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “ตามความหมายของเจ้า คือข้าควรเป็นโสดตลอดชีวิตหรือ?”

เด็กสาวมองเยี่ยนจ้าวเกออย่างน่าสงสาร พลางพยักหน้าติดต่อกัน

ด้วยความขบขันระคนขุ่นเคือง เยี่ยนจ้าวเกอดีดนิ้วใส่หน้าผากของนาง

เฟิงอวิ๋นเซิงอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้

เสี่ยวอ้ายทำท่าทางเซื่องซึม “คุณชาย ท่านมีนายหญิงน้อยแล้ว ข้าต้องลดระดับของท่านจากชั้นสูงมาเป็นชั้นหนึ่งแล้ว…”

เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะขึ้น “อย่าทำเช่นนี้ พวกเรามาปรึกษากันก่อน มาตรฐานของเจ้าควรปรับให้เหมาะสมเสียหน่อย มาตรฐานก่อนหน้าไร้ความสมเหตุสมผลเกินไปแล้ว”

อาหู่ครั้งนี้เหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้ เขาเขยิบมาถึงด้านหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ ลอบถามว่า “คุณชาย แม่นางเฟิงตอนนี้ไม่ได้กำลังคบหากับท่านอยู่หรอกหรือ? ท่านได้ทำอะไรนางไปหรือยัง?”

ชายหนุ่มถอนใจ เอ่ยว่า “ยังไม่ได้ทำ เทียบกับข้าแล้ว นางในตอนนี้ร่างกายยังอ่อนแอ อดทนการเฆี่ยนตีไม่ได้”

เฟิงอวิ๋นเซิงหน้าไม่แดงใจไม่เต้น ยิ้มกว้างพลางพูดว่า “ขอบพระคุณที่สงสาร”

ความสัมพันธ์ไม่เหมือนเดิมแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอสามารถพูดได้มากกว่าเดิม

เขาพิจารณาเฟิงอวิ๋นเซิงขึ้นลง จากนั้นก็ยิ้มอย่างชั่วร้าย “ความจริงมีวิธีการมากมายนัก”

หญิงสาวค้อนใส่อย่างไม่พอใจ “ยกตัวอย่างเช่น?”

“ยกตัวอย่างเช่น…” เยี่ยนจ้าวเกอลากเสียง มองเฟิงอวิ๋นเซิงด้วยสายตามีเลศนัย คิดว่าอย่าพูดตรงไปตรงมาเกินไปจะดีกว่า จึงเลื่อนสายตาจากด้านบนลงด้านล่าง สุดท้ายหยุดอยู่บนมือของเฟิงอวิ๋นเซิง

เฟิงอวิ๋นเซิงแยกเขี้ยว หัวเราะเหอะๆ “ย่อมได้ ท่านนอนลงสิ”

เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะแหะๆ “วางใจเถอะ ข้าจะนอนเหมือนคำว่า ‘ต้นไม้ (木)’ แล้วปล่อยให้เจ้าทำ”

นางชะงัก “สมควรเป็นคำว่า ‘ใหญ่ (大)’ มากกว่ากระมัง?”

ถัดมานางค่อยรู้สึกตัว สองมือกอดเอว “เป็นตัว ‘ไท่ (太)’ เถอะ”

ครั้งนี้เป็นตาเยี่ยนจ้าวเกอชะงักบ้าง “เป็นไร คำว่าต้นไม้กับคำว่าใหญ่แตกต่างกันมากหรือ?”

รอยยิ้มของเฟิงอวิ๋นเซิงปรากฏความยั่วยวนอย่างหาได้ยาก “คำว่าไม้ ของของท่านติดอยู่บนตัวท่าน คำว่าไท่ก็คือหักออกมา ติดอยู่ระหว่างสองขา”

เยี่ยนจ้าวเกอ “…”