ภาค 8 ทะยานฟ้า โอบกอดจันทร์ บทที่ 722 เขาคุนหลุนปรากฏกระเรียนหิมะ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอพูดกับเฟิงอวิ๋นเซิงโดยไม่ได้หลบเลี่ยงคนอื่น

อาหู่ที่อยู่ด้านข้างทางหนึ่งฟังทางหนึ่งหัวเราะใสซื่อ

เสี่ยวอ้ายสีหน้าเต็มไปด้วยความคับข้องแทบขาดใจ “คุณชาย ภาพลักษณ์อันสูงใหญ่งามสง่าของท่านในใจข้าพังทลายลงหมดแล้ว!”

นางถอนใจคำหนึ่ง ใบหน้าหมดอาลัยตายอยาก

“นายหญิง คุณชายจะมีนายหญิงน้อยแล้ว เช่นนี้จะทำอย่างไรดี?”

ครั้นคิดทบทวนดูอีกครั้ง เยี่ยนจ้าวเกอพูดกับเฟิงอวิ๋นเซิงโดยไม่ปิดบังนาง นั่นหมายความว่าเขาเชื่อใจนาง เสี่ยวอ้ายจึงพอรับได้บ้าง

“ควรจะลดระดับชั้นสูงของคุณชายเป็นชั้นหนึ่งหรือไม่?” นางมีใบหน้าลำบากใจ หันกายไป ปิดหูของตัวเองก่อนจะผละไปด้านข้าง

เฟิงอวิ๋นเซิงมองเงาหลังของนาง เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “อายุจริงสมควรมากกว่าข้าเล็กน้อย เป็นพี่สาวตัวน้อยกระมัง?”

เยี่ยนจ้าวเกอว่า “นางได้รับบาดเจ็บในสุสานจักรพรรดิประกายกาฬ จึงหลับไหลมาหลายปี”

หญิงสาวหันไปมองกงจักรมหาประกายกาฬ “พูดถึงสุสานจักรพรรดิประกายกาฬ ของที่มีค่าที่สุดซึ่งได้มาในครั้งนี้น่าจะเป็นของชิ้นนี้แล้วกระมัง?”

เมื่อครู่นางเพิ่งกระตุ้นกงจักรมหาประกายกาฬพร้อมกับเยี่ยนจ้าวเกอ จึงจำพลังอันน่ากลัวที่ซ่อนลึกอยู่ในของวิเศษชิ้นนี้ได้ดี

ก่อนหน้านี้มีมงกุฎจันทรา ตอนหลังมีดาบเทพอาทิตย์ยะเยือก

เฟิงอวิ๋นเซิงมีสัมผัสในการรับรู้ของวิเศษระดับสูงเช่นนี้มากกว่าคนทั่วไปนัก

เยี่ยนจ้าวเกอมองไปที่กงจักรมหาประกายกาฬแวบหนึ่งเช่นกัน พลางนวดขมับของตัวเองเบาๆ “เป็นวาสนาหรือเป็นคราเคราะห์ ตอนนี้ยังบอกไม่ได้”

เขาเงยหน้ามองเพดานของวังฝูงมังกร “ก่อนหน้านี้ข้ากำลังคิดอยู่ว่า จักรพรรดิประกายกาฬที่ใช้พระศพของตัวเองเป็นวัตถุดิบสำหรับการสร้างกงจักรมหาประกายกาฬ ไม่สมควรเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับงานศพของตัวเอง

“หลังจากพิธีกรรมสำหรับสร้างกงจักรมหาประกายกาฬจบลง สุสานจักรพรรดิประกายกาฬก็ถล่ม อีกทั้งยังได้ยืนยันการคาเดาก่อนหน้านี้ของข้า

“ความสำคัญในการดำรงอยู่ของสุสานจักรพรรดิประกายกาฬ ไม่ใช่เป็นสถานที่ที่จักรพรรดิประกายกาฬสร้างให้กับตัวเอง แต่เพื่อสร้างกงจักรมหาประกายกาฬ กระนั้น…”

เยี่ยนจ้าวเกอถอนใจยาว “เงามายาของจักรพรรดิประกายกาฬซึ่งเป็นการฝากฝังสุดท้ายในกงจักรมหาประกายกาฬ เหมือนกับปฏิเสธคนในสำนักแสงสว่าง”

เฟิงอวิ๋นเซิงพูดพลางครุ่นคิด “ข้อความ ‘ต่างคนต่างแยกย้าย’ ประโยคนั้น เหมือนกับคำสั่งเสียในอดีตของจักรพรรดิประกายกาฬ เห็นได้ว่าไม่เพียงแต่สำนักแสงสว่างเท่านั้น เปลี่ยนเป็นคนของสำนักความมืด ก็คงจะถูกกงจักรมหาประกายกาฬปฏิเสธเช่นกัน ”

ชายหนุ่มพยักหน้า “การสวรรคตของจักรพรรดิประกายกาฬ กับการล่มสลายของสำนักประกายกาฬ เป็นปริศนามาโดยตลอด”

“ความหมายของท่านคือ อาจจะมีคำตอบด้านในสุสานจักรพรรดิประกายกาฬ หรือในกงจักรมหาประกายกาฬหรือ?” เฟิงอวิ๋นเซิงถาม

เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้ตอบ

การกรีฑาทัพไปต่างแดนของอิ่นเทียนเซี่ยกับสำนักประกายกาฬในอดีต เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะไม่ได้ง่ายดายเหมือนที่ทุกคนทราบ

พวกเขาบางทีอาจจะมีเป้าหมายบางอย่างที่คนอื่นไม่ทราบ แต่สุดท้ายกลับเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน

สำนักประกายกาฬล้มเหลว เหลือเพียงอิ่นเทียนเซี่ยที่กลับมาคนเดียว แต่ก็อยู่ในสภาพใกล้หมดลมหายใจ

สำหรับเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว บุคคลที่ยิ่งใหญ่อย่างอิ่นเทียนเซี่ย น่าจะไม่ท้อแท้หมดกำลังใจง่ายเพียงนั้น

เช่นนั้น เหตุผลที่เขาไม่พูด เพียงบอกให้คนอื่นแยกย้ายกันไป มีก็เพียงเหตุผลเดียว

อีกฝ่ายมีสภาวะยิ่งใหญ่ อิ่นเทียนเซี่ยไม่คิดจะให้ลูกศิษย์ระดับกลางและระดับต่ำที่เหลือในสำนักถูกพัวพันไปด้วย แต่ว่าในฐานะบุคคลที่โดดเด่นที่สุดแห่งยุค ในใจอิ่นเทียนเซี่ยย่อมไม่ยอม

เขาคิดจะชี้แจงเพื่อตัวเองและศิษย์ในสำนัก และเพื่อทิ้งความจริงให้แก่คนรุนหลัง

อาหู่เกาศีรษะ “คุณชาย ท่านคิดมากเกินไปหรือไม่?”

เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะเหอะๆ “ข้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้น”

หลังจากเว้นวรรคไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็กล่าวอีกว่า “เงาแสงที่จักรพรรดิชาประกายกาฬทิ้งไว้ได้หายไปแล้ว กงจักรมหาประกายกาฬในตอนนี้คงไม่ปฏิเสธคนของสำนักแสงสว่างอีก”

“น่าเสียดาย สถานการณ์เมื่อครู่นี้ ถ้าหากพวกเราไม่นำกงจักรมหาประกายกาฬมา เกรงว่าจะไม่อาจรอดจากการโจมตีของสำนักแสงสว่างได้”

“หากกงจักรมหาประกายกาฬตกไปอยู่ในมือของสำนักแสงสว่าง พลังของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นมากเกินไปในช่วงสั้นๆ พวกเราไม่อาจอยู่ในทะเลหวงเจียได้อีกเป็นเรื่องเล็ก แต่ที่โลกแปดพิภพกลับไม่อาจต้านทานได้อีกเป็นเรื่องใหญ่”

เยี่ยนจ้าวเกอใช้นิ้วแตะริมฝีปาก “ถ้าไม่ใช่เช่นนี้ ข้ายังคิดอยู่เลยว่าควรจะมอบกงจักรมหาประกายกาฬให้สำนักแสงสว่างดีหรือไม่…”

อาหู่ตกใจ “คุณชาย?”

ชายหนุ่มโบกมือ บอกให้เขาสงบสติอารมณ์

กงจักรมหาประกายกาฬที่ลอยอยู่กลางอากาศเงียบๆ มองไปไม่มีส่วนใดพิเศษ และไม่มีการรั่วไหลของกลิ่นอายพลังแม้แต่น้อย เหมือนกับกงจักรเหล็กสีดำธรรมดา

แต่ว่าขณะที่เยี่ยนจ้าวเกอมองของวิเศษชิ้นนี้ สายตาของเขาก็ยิ่งหยั่งลึกมากขึ้น

สามกษัตริย์ห้าจักพรรดิ ประมุขทั้งสิบ เป็นจ้าวผู้ปกครองของโลกซ้อนโลกในตอนนี้

ระหว่างแต่ละคนใช่ว่าจะไร้ข้อขัดแย้งหรือจุดที่ความเห็นไม่ลงรอย แต่ว่าภายนอกไม่ค่อยมีข้อพิพาทกันนัก ค่อนข้างสมัครสมานสามัคคี

โดยเฉพาะโลกซ้อนโลกยังไม่ใช่ไม่มีศัตรูภายนอกหรือนภพยมโลก ที่คุกคามโลกทุกใบ

แต่เพราะบุคคลยิ่งใหญ่ที่เหลือบนโลกซ้อนโลกกลับแสดงท่าทีว่าไม่กล้าพูดถึงการสวรรคตของอิ่นเทียนเซี่ย และการล่มสลายของสำนักประกายกาฬในอดีต

เรื่องนี้มีหลายอย่างที่มีค่าให้พูดถึง เยี่ยนจ้าวเกอต่างมีข้อสงสัยว่าอาจเป็นฝีมือของคนบางคน หรือกลุ่มคนบางกลุ่ม

ในสถานการณ์เช่นนี้ มีความรู้สึกว่ายิ่งใกล้ความจริงเท่าไร ก็ยิ่งตายเร็วเท่านั้น

บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่เงามายาของจักรพรรดิประกายกาฬปฏิเสธคนรุ่นหลังที่อยู่ในสำนักก็เป็นได้?

เฟิงอวิ๋นเซิงกับอาหู่มองกงจักรมหาประกายกาฬกลางอากาศ ตกอยู่ในห้วงความคิดอยู่ชั่วขณะ

เยี่ยนจ้าวเกอปรบมือ กล่าวพลางหัวเราะ “ไม่ต้องเครียดถึงเพียงนั้น หากต้องพูดจริงๆ อย่างน้อยพวกเราก็ปลอดภัยกว่าสำนักความมืดและสำนักแสงสว่าง”

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอก็พูดเสริมว่า “แน่นอนว่าเรื่องนี้มีช่องทางมากมาย จำเป็นต้องเลือกใช้ให้ดี”

“สิ่งที่เรียกว่าวิกฤติการณ์ ต่างมีทั้งอันตรายและโอกาสอยู่ด้วยกันมาแต่ไหนแต่ไร ปัญหาอยู่ที่จะคว้าโอกาสและหลีกเลี่ยงอันตรายอย่างไร”

“เรื่องในอดีตจะต้องมีคนรู้แน่”

ชายหนุ่มเอ่ย สีหน้าแปลกประหลาดอยู่บ้าง “อืม อย่างเช่น มารดาของข้า”

ไม่เช่นนั้น เสวี่ยชูฉิงไม่น่าจะช่วยจักรพรรดิประกายกาฬ

แม้จะรับคำสั่งมา อย่างน้อยก็ควรเข้าใจสถานการณ์อยู่บ้าง

หากเปลี่ยนมุมมองดู คนที่บอกให้เสวี่ยชูฉิงเข้ามาในสุสานจักรพรรดิประกายกาฬและทำเรื่องนี้ จะต้องรู้เรื่องอย่างแน่นอน

เยี่ยนจ้าวเกอกวักมือเรียกเสี่ยวอ้ายพลางหัวเราะเหอะๆ “เสี่ยวอ้าย เจ้ารู้เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับมารดาของข้าบ้าง บอกข้ามาเถอะ”

“อย่างเช่น อาจารย์ปู่ของมารดาข้าที่มีความสัมพันธ์กับจักรพรรดิประกายกาฬที่เจ้าเคยพูดถึงก่อนหน้านี้ บางทีเจ้าอาจจะรู้ว่าเขาเป็นเป็นเทพเซียนจากที่ไหน”

เสี่ยวอ้ายกะพริบตาปริบๆ “คุณชาย ข้าเป็นคนที่ซื่อสัตย์ ไม่แอบฟังเรื่องของนายหญิง…”

“ประเสริฐยิ่ง ซื่อสัตย์ต่อไป” เยี่ยนจ้าวเกอฉีกยิ้ม

“เล่าเรื่องที่เจ้ารู้มาก็พอ คงไม่ถึงขนาดต้องปิดบังกับข้ากระมัง?”

เด็กสาวสาธยายให้ฟัง ต่างเป็นเรื่องเล็กๆ ทั่วไป

ทว่าในนี้ยังมีเรื่องหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของเยี่ยนจ้าวเกอ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่า ท่านแม่ของข้าเป็นเป็นคนที่มาจากเขาคุนหลุนหรือ”

เสี่ยวอ้ายตอบ “มาจากที่นั่นหรือไม่ ข้าเองก็ไม่ทราบ แต่แน่ใจว่าเคยไปถึงเขาคุนหลุน เพราะมีครั้งหนึ่งนายหญิงเคยพูดขึ้นในตอนที่ชมทิวทัศน์ของหิมะในเขตเหยียนเทียนทางเหนือว่า ที่แห่งนี้อ้างว่างยิ่งกว่าทิวทัศน์หิมะบนเขาคุนหลุนเสียอีก”

เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางของตัวเอง

เขาคนหลุนนี้ ไม่ใช่เขาคุนหลุนก่อนวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ แต่เป็นเขาคุนหลุนใหม่ที่สร้างขึ้นบนโลกซ้อนโลกหลังวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ ตั้งอยู่ในอาณาเขตจวินเทียนศูนย์กลางซึ่งเป็นดินแดนที่อยู่ใจกลางโลกซ้อนโลก