ภาค 8 ทะยานฟ้า โอบกอดจันทร์ บทที่ 723 เต๋ากับพุทธ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

มีตำนานบอกไว้ว่า เก้านพเคราะห์แห่งคุนหลุนได้บุกเบิกโลกซ้อนโลก สร้างสำนักเต๋า และก่อตั้งเขาคุนหลุนขึ้นมาอีกครั้งหลังวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่

เขาคุนหลุนใหม่ คือดินแดนใจกลางโลกซ้อนโลก

ในปัจจุบันนี้เป็นสถานที่ที่สามกษัตริย์ห้าจักรพรรดิอยู่

สิ่งที่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงก็คือ ในตอนที่จักรพรรดิประกายกาฬอิ่นเทียนเซี่ยยังอยู่ ก็เคยมีที่พำนักของตัวเองอยู่ในเขาคุนหลุนเช่นกัน

สำนักประกายกาฬที่อยู่ในช่วงรุ่งโรจน์เมื่อครั้งอดีต เคยเคลื่อนไหวอยู่ในเขตจวินเทียนศูนย์กลางเช่นกัน หอสักการะหลักอยู่ที่เขาจันทร์สงบซึ่งอยู่ห่างจากเขาคุนหลุนไม่ไกล

ต่อมา สำนักประกายกาฬตกอับ จึงย้ายออกจากเขตจวินเทียนศูนย์กลาง มาตั้งหลักที่เขตตะวันอาคเนย์ ในตอนที่อพยพได้มีการแบ่งเป็นสำนักแสงสว่าง และสำนักความมืดอย่างเช่นตอนนี้

อาหู่พูดด้วยความคับข้อง “คุณชาย ต่างรับสืบทอดชื่อห้าบรรพตสำนักเต๋าก่อนวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่เหมือนกัน เขากว่างเฉิงของเรากลับไม่ได้ดีสมชื่อเหมือนเขาคุนหลุน…”

เยี่ยนจ้าวเกอยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “ห้าบรรพตสำนักเต๋าก่อนวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ เขาคุนหลุนกลางเป็นสถานที่ที่พิเศษที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น…”

“เรื่องในอนาคต ผู้ใดจะทราบเล่า?”

ชายร่างใหญ่ยิ้มแฉ่ง ยกนิ้วโป้งขึ้น “คุณชาย คำพูดของท่านโอหังยิ่งนัก”

หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็มองเสี่ยวอ้าย พลันถามว่า “เสี่ยวอ้าย ขอถามเจ้าสักเรื่อง”

เสี่ยวอ้ายกะพริบตา “อะไรหรือคุณชาย?”

สายตาของเยี่ยนจ้าวเกอเปลี่ยนเป็นล้ำลึก “เจ้าเคยได้ยินมารดาของข้าพูดหรือไม่ ว่าศาสนาพุทธเป็นอย่างไรหลังจากวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่?”

เด็กสาวไตร่ตรองอย่างละเอียด ตอบว่า “มีจริงๆ!”

เยี่ยนจ้าวเกอถาม “อะไรหรือ?”

“รายละเอียดข้าไม่ทราบ แต่มีครั้งหนึ่ง พวกเราตามหาโบราณสถานที่อยู่ในมิติต่างแดนแห่งหนึ่งด้วยกัน ต่อมานายหญิงบ่นพึมพำอย่างหงุดหงิดขึ้นมา” เสี่ยวอ้ายกล่าว

ในความทรงจำของเสี่ยวอ้าย คำพูดในตอนนั้นของเสวี่ยชูฉิงคือ ‘พระภิกษุเหล่านี้กำลังทำอันใดกันแน่?’

สายตาของเยี่ยนจ้าวเกอเคร่งขรึมขึ้น “มิติต่างแดนแห่งนั้นเจ้ายังหาได้หรือไม่?”

เสี่ยวอ้ายส่ายหน้า “บางทีนายหญิงอาจจะหาได้ แต่ข้าหาไม่เจอ”

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้าอย่างช้าๆ “เอาเถอะ หาไม่เจอก็ไม่เป็นไร”

เขาติดอยู่ในห้วงความคิด พวกเฟิงอวิ๋นเซิง อาหู่ และเสี่ยวอ้ายสบตากัน ต่างรู้สึกงงงัน

อาหู่ถามด้วยความสงสัย “คุณชาย เหตุใดจู่ๆ ท่านถึงสนใจศาสนาพุทธเล่า?”

ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ “ในมหาจักรวาลก่อนวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ ศาสนาพุทธก็เคยรุ่งเรืองถึงขีดสุดเช่นกัน แต่หลังวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นโลกแปดพิภพ โลกผืนสมุทร โลกลอยน้ำ หรือโลกปีศาจอัคคี ต่างไม่เคยเห็นการสืบทอดของศาสนาพุทธมาก่อน”

“ที่โลกซ้อนโลกก็เหมือนกัน”

อาหู่เกาศีรษะขนาดใหญ่ของตัวเอง “เป็นเช่นนั้นจริงๆ ด้วย ก่อนหน้านี้เคยได้ยินท่านประมุขตระกูลบอกว่า ก่อนวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่มีเรื่องเล่าว่าพระพุทธเจ้าและบรมครูสามบริสุทธิ์ต่างก็หลุดพ้นเหมือนกัน แต่ว่าศาสนาพุทธยังมีพระพุทธเจ้าอยู่หลายองค์ เหมือนจะมีบารมียิ่งใหญ่กว่าสำนักเต๋า โดยเฉพาะในโลกแปลกหน้า มีพระภิกษุมากกว่านักพรตเสียอีก”

เยี่ยนจ้าวเกออธิบาย “มีตำนานบอกว่าตอนนี้พระศากยมุณียูไลหลุดพ้นไปแล้ว ภายภาคหน้าจะมีพระพุทธเจ้าปรากฏขึ้น เพื่อสร้างวิสุทธิภูมิ รับการบูชาจากทุกสรรพสิ่ง”

“หลังวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ กลับไม่ทราบแล้ว”

เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย พูดเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร “ว่ากันว่าพระธรรมของพระศรีอาริย์ กับพระยูไลที่หลุดพ้นไปแล้วแตกต่างกัน ผู้ที่มีจิตเลื่อมใสในศาสนาพุทธ จะได้รับพระบารมีจากพระศรีอาริย์มากกว่า ไม่จำเป็นต้องลำบากฝึกฝนมากมาย ก็จะได้รับอภิญญา (ความรู้อันสูงส่ง)”

“สิ่งที่น่าอัศจรรย์กว่าก็คือ จะได้รับมรรคผล และได้เสวยสุขในแดนสุขวดี”

อาหู่ลืมตากว้าง “ไม่ใช่กระมัง?! คุณชาย เช่นนั้น…เช่นนั้นพวกเรายังต้องลำบากฝึกฝนไปไย ทุกคนท่องบทสวดก็พอแล้วไม่ใช่หรือ?”

เยี่ยนจ้าวเกอใช้นิ้วแตะริมฝีปาก “ตำนานก็น่าอัศจรรย์เช่นนี้เอง จะจริงหรือปลอมยังไม่อาจบอกได้”

“ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็น่าเหลือเชื่ออยู่ดี” อาหู่ส่ายศีรษะราวกองเขย่า

เสี่ยวอ้ายยามนี้พูดขึ้นว่า “ข้าไม่เข้าใจพระธรรมมากนัก แต่เคยได้ยินนายหญิงพูดถึงมาก่อนจริงๆ ว่าแก่นของศาสนาพุทธในคำสอนของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ คือการช่วยให้ตัวเองหลุดพ้น ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่ว่าใครก็ไปนิพพานได้ แต่ว่าความคิดของพระศรีอาริย์กลับแตกต่างออกไป”

“ทว่าก่อนวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ ศาสนาพุทธมีสาวกมากมาย สืบทอดไปทั่วใต้หล้าจริงๆ หลังวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่เป็นอย่างไร นายหญิงเหมือนจะรู้เรื่องอยู่บ้าง ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก”

เฟิงอวิ๋นเซิงขมวดคิ้ว “ข้าไม่เคยสัมผัสกับวรยุทธ์และคัมภีร์ของศาสนาพุทธมาก่อน ดังนั้นไม่รู้ว่าควรจะวิจารณ์อย่างไร แต่ข้ารู้สึกว่าต่อให้จะเป็นเรื่องจริง ก็เกรงว่าจะไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นกระมัง? ในโลกใบนี้มีขนมปิ่งหล่นจากฟ้าง่ายๆ ขนาดนี้เชียวหรือ?”

อาหู่พูดด้วยความลังเลเล็กน้อย “ถ้าหากเป็นจริง ก็น่าจะเหมือนการแลกเปลี่ยนระหว่างคนค้าขายกระมัง?”

เขาหดคอ มองไปยังด้านบนโดยสัญชาตญาณ

ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ ก่อนวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ในโลกใบนี้เคยมีเทพอยู่เหนือศีรษะสามคืบ คำพูดนี้ไม่แปลกปลอม

เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะ “ตอนนี้ยังมีเรื่องหลายเรื่องที่ตัดสินไม่ได้ เวลาอันยาวนานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุัน ศาสนาพุทธกับสำนักเต๋าเคยมียุคที่ไปมาหาสู่กัน แต่ว่าฝ่ายหนึ่งก้าวหน้ามากกว่า ส่วนอีกฝ่ายกลับมีการพัฒนาจำกัด”

ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องที่ได้พบเจอด้วยตัวเอง เฟิงอวิ๋นเซิง อาหู่ และเสี่ยวอ้ายคุยกันอีกพักหนึ่งจึงค่อยยุติลง

เยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่เป็นอย่างนั้น

มีบางคำพูดที่เขาไม่ได้พูดออกมา

ถึงแม้ว่าจะไม่อาจยืนยันได้ แต่สำหรับเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว ตัวการร้ายที่ทำให้วังเทพประสบภัยพิบัติ ถ้าหากให้เขาพูดถึงคนที่คนที่น่าสงสัยที่สุด จะต้องเป็นศาสนาพุทธอย่างไม่ต้องสงสัย

วิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ในตอนนั้นเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธหรือไม่ยังบอกไม่ได้ ถึงอย่างไรสภาพแวดล้อมในตอนนี้ ศาสนาพุทธก็มีแนวโน้มในการพัฒนาที่ดียิ่ง

กระนั้น นี่ก็เป็นความคิดที่เลอะเลือนเท่านั้น ไม่มีหลักฐานอะไรให้พูดถึง ส่วนสาเหตุเป็นอะไร รายละเอียดเป็นอย่างไร เยี่ยนจ้าวเกอกลับมองไม่ออก

ในนี้ยังมีเลศนัยและความขัดแย้งมากมายที่ยากจะอธิบาย

นี่เกี่ยวข้องกับข้อมูลที่เขามีอยู่ ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอไม่กล้าคาดการณ์ง่ายๆ ในใจเต็มไปด้วยข้อสงสัย

เหตุการณ์วิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ในอดีตติดค้างอยู่ในใจของเขามาโดยตลอด ไม่เคยลืมเลือน

วันนี้ได้พูดคุยกับเสี่ยวอ้าย รู้ความจริงมากมาย อย่างน้อยเยี่ยนจ้าวเกอก็รู้สึกว่า เสวี่ยชูฉิงมารดาของตนอาจจะไขข้อข้องใจให้เขาได้

เยี่ยนจ้าวเกอสลัดความคิด ย้ายความสนใจมายังสถานการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง

ในการพังทลายของสุสานจักรพรรดิประกายกาฬ ถึงแม้ว่าจะมีกงจักรมหาประกายกาฬคอยคุ้มครอง แต่ว่าการอยู่ในกระแสปั่นป่วนของมิติเวลาก็ทำให้วังฝูงมังกรโคลงเคลงเป็นเวลานาน

ถึงอย่างไรยอดฝีมือในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดง ก็อาจจถูกขังอยู่ในคลื่นมิติเวลาก็ได้

เพื่อรักษาการทรงตัว ทุกคนในตอนนี้ได้แต่ไหลไปตามคลื่น อดทนรอคอย

หลังจากกระแสปั่นป่วนของมิติเวลาค่อยๆ สงบลงแล้ว จึงจะสามารถวางแผนกลับโลกซ้อนโลกได้

ก่อนเยี่ยนจ้าวเกอจะออกมา ได้เตรียมตัวไว้ในโลกซ้อนโลกแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องหลงทาง

สิ่งที่ทำให้วางใจก็คือ พวกหลัวจื้อเทาแห่งสำนักแสงสว่างน่าอนาถยิ่งกว่า

นอกจากหลัวจื้อเทาที่มีกงจักรสุริยันจันทราคอยคุ้มครองร่าง พวกกัวซงที่เหลือจะรอดมาได้หรือไม่ก็ต้องดูที่โชคแล้ว

คนในสำนักแสงสว่างย่อมต้องดิ้นหลุดออกมาจากกระแสปั่นป่วนของมิติเวลาช้ากว่าพวกเยี่ยนจ้าวเกอ

ทว่าก็ไม่ใช่ไม่มีปัญหาอื่น

อย่างเช่น คนในสำนักความมืดอาจจะรอดจากภัยพิบัติการถล่มของสุสานจักรพรรดิประกายกาฬ กระนั้นพวกเขาก็ได้ล่วงเกินกวนลี่เต๋อ เจ้าของนามกรฆารวาสเด็ดดาว ยอดฝีมือในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้าที่มีอำนาจเหนือกว่าคนนับหมื่นแต่ต่ำกว่าคนเพียงคนเดียวในเขตตะวันอาคเนย์ อีกฝ่ายน่าจะไม่ยอมเลิกรา

กลับไม่ทราบว่าตอนนี้สำนักความมืดเป็นอย่างไรบ้าง?

เยี่ยนจ้าวเกอทางหนึ่งคิด ทางหนึ่งนวดขมับของตัวเอง