บทที่ 699 ตอนพิเศษ 5-เจ้าสามโจวกุยหลาย

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

บทที่ 699 ตอนพิเศษ 5-เจ้าสามโจวกุยหลาย

เจ้าใหญ่ลุยทางการทหาร เจ้ารองลุยทางการเมือง ลูกชายคนเล็กอย่างเจ้าสามโจวกุยหลายจึงเลือกลุยทางธุรกิจ

เมื่อก่อนตอนพ่อเขาเปิดร้านเกี๊ยว เขามีความปรารถนาเดียวคืออีกหน่อยตัวเองจะเปิดโรงงานเกี๊ยว และเป็นราชาเกี๊ยว

แต่หลังจากนั้นความคิดก็เปลี่ยนไป ไม่ได้ไปทำเกี๊ยวอย่างพ่อเขา

ปลายยุค 80 เขากับพี่เขยรองเปิดร้านไวน์ร้านแรกด้วยกัน จากนั้นเปิดร้านที่สองกับแม่เขา

ร้านไวน์ทำกำไรดีทั้งสองร้าน โดยเฉพาะหลังที่บริหารจนคุ้นชินแล้ว แถมเจ้าหนุ่มนี่ก็รู้จักคนเยอะ ไม่รู้ไปหาคนมาจากไหนตั้งมากมาย ก็ไปลงทุนเปิดผับกันเลย

แต่ในเวลาต่อมาผับนั้นก็ถูกปิด ไม่ใช่เพราะเรื่องอื่นใด สาเหตุมาจากมีเรื่องชกต่อยกัน แต่เจ้าสามก็ไม่เสียเปรียบ การบริหารผับเหมือนเปิดโลกใบใหม่ให้เขา เจ้าเด็กนี่จึงหันไปทำธุรกิจผับบาร์

ลงทุนกับพี่เขยรองของเขาบ้าง ไม่ก็เปิดเองบ้าง หาเงินได้ไม่น้อยเลยล่ะในสมัยยุค 90

แต่ถึงอย่างนั้นก็โดนแม่บิดหูสั่งสอนบ่อย ๆ หากบังอาจแตะของไม่ดีเข้าแม้แต่อย่างเดียว เธอจะไม่นับเขาเป็นลูกชายอีก

ทว่าเจ้าสามก็โตมาภายใต้การอบรมสั่งสอนที่ดี ผับของเขาไม่มีของไม่ดีเทือกนั้น เป็นผับที่เป็นเพียงผับจริง ๆ

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ก็ยังหาเงินได้มากอยู่ดี

ร้านไวน์ของเขาก็ขยายสาขาเรื่อย ๆ พ่อแม่เขายังไม่รู้เลยว่าเฉพาะในปักกิ่งก็มีอยู่หลายสิบสาขาแล้ว

พ่อแม่เขามารู้ตอนออกไปข้างนอกและบังเอิญไปเจอสาขานู้นสาขานี้ พอถามถึงรู้ว่าเปิดมาเยอะขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

ไอ้เด็กบ้าอย่างเจ้าสามกลับมีจุดด่างพร้อยใหญ่ในเรื่องความรัก

เขามีความคิดอยากจะแต่งภรรยาตั้งแต่สมัยอายุ 20 ต้น ๆ แต่พอถึงอายุ 23 ปีเขาก็ไม่อยากแต่งภรรยาแล้ว

คิดแต่จะเล่นสนุกไปวัน ๆ

และโดยที่หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ไม่รู้ เขาก็มีอดีตกับดาราสาวยุค 90 คนหนึ่ง

กว่าที่คุณชายเสเพลผู้นี้จะอยากตั้งรกรากก็ตอนอายุ 30 ปี เขาได้แต่งงานกับคนที่รู้จักเอง

ตระกูลนั้นเป็นตระกูลใหญ่ของปักกิ่งเหมือนกัน แต่หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก เพราะตระกูลนั้นไม่ค่อยจะดี ชื่อเสียงก็แย่ ผ่านการพยายามล้างมลทินมา

ถึงล้างมือในอ่างทองคำแล้วก็จริง แต่ก็ไม่ค่อยสง่าผ่าเผยเท่าไรนัก

เพียงแต่แม่นางคนนั้นเป็นคนดีจริง ๆ ถ้าว่าตามที่หลินชิงเหอพูดก็คือ เจ้าสามบ้านเธอจับได้อยู่หมัด

เธอเองก็เป็นคุณหนูผู้ร่ำรวยเหมือนกัน ตอนที่ทั้งคู่แต่งงานบ้านฝ่ายหญิงให้รถเก๋งคันหนึ่งเป็นสินสอด ของนอกเหนือจากนี้ก็ไม่น้อยเช่นกัน ดูออกว่าพึงพอใจในตัวลูกเขยอย่างโจวกุยหลายมาก

ด้วยทุนทรัพย์และเส้นสายของบ้านโจวในตอนนี้ ต่อให้บ้านนู้นมีความสามารถเหมือนกัน แต่ก็ทำอะไรบ้านโจวไม่ได้ ดังนั้นหลังจากที่เจ้าสามแต่งงานแล้ว ถึงแม้ทั้งสองบ้านจะดองกันแล้วแต่ก็ต่างคนต่างอยู่

มีเพียงโจวกุยหลายและภรรยาของเขาที่ไปมาหาสู่กับญาติทั้งสองฝ่าย

เมื่อเทียบกันแล้ว หลินชิงเหอสนิทกับบ้านแม่ของลูกสะใภ้คนโตและบ้านแม่ของลูกสะใภ้คนรองมากกว่า

แน่นอนว่าหลินชิงเหอไม่ได้ปฏิบัติต่อลูกสะใภ้สามแย่ไปกว่าใคร เธอรักเท่ากันหมด แค่ไม่ได้ไปมาหาสู่อะไรกับบ้านแม่ของเธอเท่านั้น

เจ้าใหญ่และเจ้ารองอยู่ในระบบทางการ ยืนยันจะทำตามนโยบายคุมกำเนิด เพราะฉะนั้นทั้งสองจึงมีลูกแค่คนเดียว

แต่เจ้าสามไม่ต้องกังวลมากในเรื่องนั้น

เขามีลูกเกินกำหนดไปเลย ท้องแรกได้ลูกชาย แต่เจ้าสามอยากได้ลูกสาว สองสามีภรรยาจึงสู้ให้ได้มาอีกคน แต่น่าเสียดายที่ยังเป็นลูกชายเหมือนเดิม

เพื่อให้มีลูกชายคนนี้เกินมาหนึ่งคน เขาเสียเงินไปถึงแสนกว่าหยวน แต่ก็ไม่สมดั่งใจอยู่ดี

เจ้าสามอิจฉาพี่รองของเขาสุด ๆ

แต่เจ้าสามก็ได้เปรียบ ตรงที่มีลูกเยอะกว่า 1 คน อีกหน่อยก็สืบทอดบ้านได้มากกว่า

แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องในอนาคตแล้ว

ซึ่งลูกชายสองคนก็ไม่ทำอะไรให้เบาใจเลย

ถึงจะไม่ดื้อเหมือนลูกพี่ลูกน้องคนโตของพวกเขา แต่ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร หลังแต่งงานแล้วครอบครัวเจ้าสามก็ย้ายออกไป แม้ว่าจะกลับมาทุกวัน แต่ก็ออกไปอยู่กันเอง

ได้ข่าวว่าผู้ปกครองในโครงการพอเห็นลูกชายสองคนของบ้านเขา ทุกคนต่างอุ้มลูกตัวเองเดินออกไปเลยโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

ไม่อุ้มออกไปจะให้ทำอย่างไร? จะให้ลูกอยู่โดนพวกเขาสองพี่น้องทุบเหรอ?

เด็กรุ่นนี้ของบ้านโจวไม่รู้ว่าได้พันธุกรรมจากใครมา ดุร้ายเป็นพิเศษ

ถึงแม้ตอนโตจะรู้เรื่องขึ้น แต่ก่อนอายุ 15 เป็นที่รังเกียจของทั้งสุนัขทั้งคน

ที่สำคัญมีเรื่องต่อยตีเก่งมาก ไม่ว่าจะเป็นเจ้าม้าพยศของบ้านเจ้าใหญ่ หรือสองพี่น้องของบ้านเจ้าสาม ล้วนเป็นพวกคนเดียวกล้าต่อยกับสองสามคนทีเดียวกันทั้งนั้น

เด็กแบบนี้ถ้าไม่กำราบสั่งสอน โตไปต้องสร้างเรื่องสร้างราวแน่

เหมือนการต้อนแพะ ต้อนหนึ่งตัวคือต้อน ต้อนสองตัวก็คือต้อน ตอนนั้นเจ้าม้าพยศของบ้านเจ้าใหญ่ยังมาได้ หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋จึงพาเจ้าหัวไชเท้าพวกนี้ออกไปท่องเที่ยว

กินของอร่อย เล่นของสนุก ให้พวกเขามีความสุขไปสักพัก พอกลับมาจะได้จำว่าการไปท่องเที่ยวสนุกมาก ปู่ย่าไปคราวหน้าต้องตามไปด้วย

พวกเขาจึงมีจุดอ่อนตรงที่ถ้าไม่เชื่อฟัง อีกหน่อยไปเที่ยวกันจะไม่พาไปด้วยนะ อยู่บ้านเล่นโคลนเองแล้วกัน

เด็กดื้อนี่ดื้อจริง แน่นอนว่าผู้ใหญ่ก็ต้องสั่งสอนดี ๆ ไม่ใช่ปล่อยให้พวกเขาดื้อ

ต้องข่มเสียหน่อย โตไปจะได้ไม่สร้างเรื่องเดือดร้อน

ที่น่าพูดถึงคือในด้านสั่งสอนลูกชายสองคนของเจ้าสาม หลินชิงเหอเกลียดวิธีอบรมของพ่อตาเขามาก

เพราะเธอได้ยินจากปากหลานชายทั้งสองว่า ตามักเอ่ยชมพวกเขาเวลาต่อยคนอื่นว่าต่อยได้ดี

สร้างตัวจากทางสายมืด ต่อให้ล้างมลทินแล้วก็ปกปิดความเป็นโจรไม่อยู่

ตัวเองเป็นแบบนั้นไม่เท่าไหร่ ยังกล้ามาสอนเรื่องไม่ดีกับหลานชายเธออีก จะให้เธอยอมได้อย่างไร เธอจึงบอกลูกสะใภ้สามเลยว่าไม่ต้องพาลูกสองคนกลับบ้านแม่ตัวเองบ่อยนัก

เรื่องนี้ทำเอาบ้านนู้นโทรมาหาเลยล่ะ

ลูกสะใภ้สามไม่ใช่ลูกคนเดียว หลานชายสองคนนั้นก็ใช่ว่ามีอยู่แค่นั้นจริง ๆ แต่ที่หายากคือหลานชายสองคนนี้สืบทอดพันธุกรรมดี ๆ ของบ้านโจวมาได้จริง ๆ

หน้าตาดี จ้ำม่ำน่ารักสุด ๆ หลานชายแบบนี้ทางบ้านจ้าวเห็นแล้วต้องชอบอยู่แล้ว

ในสายนั้นหลินชิงเหอก็ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว ถึงจะไม่ได้เสียมารยาทขนาดนั้น แต่ในเรื่องการอบรมสั่งสอนเด็ก เธอบอกบ้านนู้นไปตรง ๆ เลยว่าไม่ต้องยุ่ง

บ้านจ้าวไม่ใช่ไก่กา แต่พวกเขาก็ดูแคลนบ้านโจวไม่ได้ จึงยอมรับว่าไม่สมควรจริง ๆ รับรองว่าคราวหน้าจะไม่พูดแบบนี้อีก

แต่ต้องให้เด็ก ๆ ไป

บ้านจ้าวพยายามประพฤติตนให้ถูกแล้ว เพราะด้านเธอคงกัดไม่ปล่อย แต่หลินชิงเหอก็ไม่ค่อยพอใจอยู่ดี

แต่ไม่พอใจส่วนไม่พอใจ เธอไม่ได้ห้ามหลานชายไม่ให้ไปมาหาสู่กับบ้านตายายของพวกเขาจริง ๆ

ลูกสะใภ้สามคงจะรู้สึกได้ ปกติไม่กล้าพูดเรื่องบ้านตัวเองต่อหน้าแม่สามีเลย แต่ท้ายสุดแล้วแม่สามีเธอก็ไม่ได้มีอคติอะไรกับเธอ เพราะสิ่งที่พี่สะใภ้สองคนมีเธอเองก็มี

………………………………………