ภาคที่ 6 บทที่ 59 ถีเข่อซือ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 59 ถีเข่อซือ

ปากของรูปปั้นนั้นกว้างมโหฬาร อันทำหน้าที่เป็นประตูขนาดยักษ์ และภายในลำคอของมันก็เป็นบันไดลงไปสู่ความลึกอันมืดมิด

นั่นคือตำแหน่งที่สายน้ำของท้องสมุทรโศกาไหลออกมา

ไหลจากข้างล่างขึ้นข้างบน

อย่างที่คาดไว้ รูปปั้นนี้มีอะไรมากกว่าที่ตาเห็น

ซูเฉินส่งแมลงภัยพิบัติตัวหนึ่งออกไปอีกครั้ง โดยใช้มันเพื่อตามหาทางไปต่ออย่างไร้เป้าหมาย ขณะที่เขาตามมันไปอย่างระมัดระวัง

เมื่อไปถึงบันไดขั้นสุดท้าย เขาก็พบกับอุโมงค์ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยหนามแหลมคม

ขณะที่กำลังฉีกพวกมันออกอย่างยากลำบากนั้นซูเฉินก็คิดไปด้วยว่าหนามเหล่านี้เหนียวเหลือเชื่อ กระทั่งเปลวไฟของเขาก็ไม่อาจเผาพวกมันให้มอดไหม้ได้

ในตอนนั้นเอง วัตถุปริศนาก็พุ่งออกมาจากดงหนาม และเฉียดผ่านใบหน้าของซูเฉินไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น

ชายหนุ่มเอียงศีรษะหลบอย่างว่องไว แต่สิ่งนั้นก็พลิกกลับมากลางอากาศและพุ่งตรงมายังซูเฉินอีกครั้ง

ชายหนุ่มเสือกแทงนิ้วมือออกไป พร้อมกันนั้นแรงดันอากาศที่ออกมาจากนิ้วของเขาก็ปะทะเข้ากับวัตถุปริศนานั้น

วัตถุนั่นระเบิดออกและร่วงจากอากาศทันที ของเหลวสีเขียวจาง ๆ ไหลซึมออกมาจากมันและหยดลงบนพื้น ตอนนั้นเองที่ซูเฉินนึกขึ้นได้ว่า ‘สิ่งนี้’ แท้จริงแล้วคือด้วงขนาดใหญ่

และของเหลวที่ไหลออกมาจากศพของมันนั้นมีฤทธิ์กัดกร่อนและเป็นพิษอย่างรุนแรง

เมื่อด้วงตัวแรกนั้นตายลง ด้วงตัวอื่น ๆ จำนวนนับไม่ถ้วนก็หลั่งไหลออกมาจากหนามเหล่านั้นและบินตรงเข้าไปหาซูเฉิน

“มีพวกมันอยู่เยอะทีเดียว” ชายหนุ่มยกแขนขึ้นและปลดปล่อยการโจมตีจากฝ่ามือออกไป

ผิดคาด ด้วงเหล่านี้พุ่งตัวกลับเข้าไปในขวากหนามทันที

การโจมตีฝ่ามือนั้นตกไป และหนามเหล่านั้นก็ขมวดขึ้น ป้องกันการโจมตีฝ่ามือของซูเฉิน

“หืม ?” ซูเฉินพึมพำขณะที่เขาเข้าใจได้ในทันทีว่าเขากำลังมองดูสิ่งใดอยู่ “งั้นนี่ก็คือหนามมรณะสินะ”

ซูเฉินนึกขึ้นได้ในที่สุดว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น

หนามมรณะเหล่านี้นั้นน่ารำคาญไม่น้อยทีเดียว และพวกมันยังถูกผลิตขึ้นโดยเผ่าจิตวิญญาณทมิฬโดยเฉพาะ พวกมันไม่เพียงยืดหยุ่นอย่างเหลือเชื่อ แต่พวกมันยังครอบครองพลังต้านทานแต่กำเนิดต่อพลังต้นกำเนิดอีกด้วย

ด้วงเหล่านั้นคือด้วงทมิฬ

ด้วงทมิฬอาศัยอยู่ด้วยความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับหนามมรณะ หนามเหล่านั้นมอบการป้องกันให้แก่ด้วงในขณะที่มูลของด้วงกลายเป็นปุ๋ยให้แก่หนามและมอบสารอาหารที่จำเป็นอย่างมากให้แก่พวกมัน เมื่อฝูงด้วงบินไปมา พวกมันก็จะแพร่กระจายเมล็ดของหนามมรณะไปด้วย ก่อให้เกิดพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหนามในขณะที่ทำการขยายแหล่งที่อยู่อาศัยของพวกมันไปพร้อม ๆ กัน

เป็นความสัมพันธ์ที่พึ่งพากันอย่างแปลกประหลาด

ซูเฉินรู้ว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับสิ่งใดทันทีที่เขาเห็นด้วงเหล่านั้น

หนามมรณะและด้วงทมิฬนั้นน่ารำคาญไม่น้อย แต่หากซูเฉินต้องการเดินหน้าต่อไป เขาก็จำเป็นต้องผ่านอุปสรรคนี้ไปให้ได้ และเขาก็ไม่มีเวลาให้เสียไปมากนัก

ด้วงทมิฬหลบหลีกการโจมตีของซูเฉินด้วยการซ่อนตัวในขวากหนาม และบินกลับออกมาอีกครั้งโดยพลัน

ชายหนุ่มปล่อยแมลงภัยพิบัติออกมาทันที

เพราะเขาได้ใช้วิชาภูติลั่นแสงเพื่อเข้ามาในรูปปั้น จึงไม่มีแมลงภัยพิบัติติดตัวมาด้วยมากนัก แต่ถึงอย่างนั้น การใช้พวกมันจัดการกับสถานการณ์นี้ก็ยิ่งกว่าเพียงพอเสียอีก

แมลงภัยพิบัติคือราชันแห่งแมลงอย่างมีเหตุผล ในขณะที่ด้วงทมิฬจำเป็นต้องพึ่งพาหนามมรณะเพื่อป้องกัน แมลงภัยพิบัติสามารถเหยียดหยามกำลังของจักรพรรดิอสูรได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นแล้ว ทันทีที่พวกมันปรากฏตัวขึ้น รัศมีอันทรงพลังที่แมลงภัยพิบัติปล่อยออกมา ก็กดดันเหล่าด้วงทมิฬได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะความแข็งแกร่งระดับต่ำของตัวเองทำให้พวกมันต้องจำนนต่อราชันเหล่านี้โดยสัญชาตญาณ

ถึงอย่างนั้น แมลงภัยพิบัติก็เข้าโจมตีพวกมันอย่างไร้เมตตา จนเกิดเหตุการณ์นองเลือด

การป้องกันของหนามมรณะไร้ประโยชน์ไปอย่างสิ้นเชิงต่อแมลงภัยพิบัติ พวกมันแทรกซึมเข้าไปในช่องโหว่ของหนาม และทำการสังหารหมู่ต่อไป ศพด้วงทมิฬนับไม่ถ้วนร่วงหล่นลงมาจากขวากหนามสู่พื้นดิน ในพริบตาเดียว แมลงภัยพิบัติได้กวาดล้างพวกด้วงไปจนหมดสิ้น และกระทั่งหนามมรณะก็ถูกกัดกินไปจนหมดเช่นกัน

อุปสรรคที่ดูน่าปวดหัวนี้ ได้ถูกลบล้างไปโดยสมบูรณ์ด้วยการจู่โจมเพียงครั้งเดียว ซูเฉินเดินผ่านศพของด้วงบนพื้นซึ่งส่งเสียงกรอบแกรบอยู่ใต้เท้าของเขาไป

“ซูเฉิน เจ้าเป็นอะไรไหม?” เสียงของกู่ชิงลั่วดังขึ้นในหูของเขาในทันใด

“ข้าสบายดี ข้าเพิ่งพบกับอุปสรรคเล็กน้อย แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร” ซูเฉินอธิบายขณะที่เขายังคงเดินหน้าต่อไปเพื่อที่กู่ชิงลั่วจะได้รู้สึกสบายใจยิ่งขึ้น

“หนามมรณะหรือ ? เจ้าพวกนั้นเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าจิตวิญญาณทมิฬไหมนะ ? พวกเขามักจะใช้สิ่งเหล่านั้นเพื่อปกป้องสุสานของตัวเอง” กู่ชิงลั่วกล่าว

“ใช่แล้ว ตอนนี้ดูเหมือนว่ารูปปั้นนี้จะไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยเคอหนีเก๋อ แต่เป็นเผ่าจิตวิญญาณทมิฬหรือกระทั่งเผ่าวิญญาณต่างหาก” ซูเฉินกล่าว “เคอหนีเก๋อคงจะค้นพบที่นี่แล้วจึงปรับใช้มันใหม่เพื่อประโยชน์ของตัวเอง”

“ถูกต้อง แต่หากมันคือสุสานของเผ่าวิญญาณจริง งั้นเจ้าก็ต้องระวังตัวด้วย เจ้าพวกนั้นบางทีก็เหมือนผีดิบ ข้าจะไม่แปลกใจเลยถ้าจู่ ๆ จะมีบางสิ่งก็โผล่ขึ้นมาจากพื้น แล้วโจมตีเจ้า แม้ว่ามันจะถูกฝังไว้หลายล้านปีแล้วก็ตาม” กู่ชิงลั่วเตือนเขาด้วยความกังวล

“ข้ารู้ แต่นั่นเป็นแค่การสันนิษฐานเอาเองว่าเคอหนีเก๋อยังไม่ได้ขุดมันขึ้นมา”

ซูเฉินไม่ใช่บุคคลแรกที่ปรากฏกายขึ้นที่นี่ เคอหนีเก๋อมาถึงที่นี่ก่อนเขาแล้ว

สิ่งใดที่อาจปรากฏขึ้นข้างหน้าคงจะเกิดขึ้นกับเคอหนีเก๋อมาก่อนแล้ว

สำหรับหนามมรณะ ด้วยความแข็งแรงของพวกมัน ย่อมหมายความว่าพวกมันจะกลับขึ้นมาเติบโตขึ้นได้อย่างง่ายดาย ไม่แปลกเลยที่พวกหนามจะกลับมาทรงพลังอีกครั้งในเมื่อเคอหนีเก๋อได้จากไปนานมากแล้ว

และเป็นอย่างที่ซูเฉินได้ทำนายไว้ เกราะป้องกันและกับดักอื่น ๆ มากมายก็ยังคงกีดขวางเส้นทาง แต่ก็ถูกจัดการได้ง่ายทีเดียว

กลไกหลักที่ยังคงสมบูรณ์อยู่หลังจากการปล้นสะดมของเคอหนีเก๋อคือ แสงสีขาวที่ยิงออกมาจากตาของรูปปั้นและหนาม หนามมรณะนั้นสามารถโตขึ้นได้ใหม่เสมอ และกลไกของแสงสีขาวก็คงจะถูกทิ้งไว้โดยชายคนนั้นด้วยความตั้งใจ ตราบใดที่มันไม่ใช่กลไกป้องกันที่ต้องถูกทำลายลงอย่างแน่นอน เคอหนีเก๋อก็ทำสุดความสามารถเพื่อรักษาสภาพของพวกมันไว้ เพราะพวกมันจะทำหน้าที่เป็นป้อมปราการโดยธรรมชาติของท้องสมุทรโศกา

ขณะที่ซูเฉินตามกระแสน้ำไปยังต้นกำเนิดของมัน โถงทางเดินก็เปิดออกสู่พื้นที่โล่งกว้างในเวลาต่อมา

มันดูราวกับว่าเขาได้เข้าไปในสวรรค์ย่อม ๆ เลยทีเดียว

นี่เป็นเพราะซูเฉินสามารถมองเห็นท้องฟ้าได้

ที่แห่งนี่กว้างขวางจนน่าตกใจ ตรงกลางของพื้นที่นี้คือสระน้ำซึ่งออกมาจากต้นไม้ขนาดยักษ์ที่กำลังเจริญเติบโต

กระแสน้ำล้วนไหลมาจากต้นไม้ต้นนี้

จากกิ่งก้านและใบที่ห้อยย้อยของมัน

เมื่อซูเฉินเห็นสิ่งนี้ก็พลันตกตะลึง

แม้ว่าจะสงสัยถึงสภาพที่แท้จริงของท้องสมุทรโศกามาโดยตลอด แต่เขาก็ไม่เคยคาดคิดว่า ที่จริงแล้วมันจะเป็นต้นไม้

ใช่แล้ว ต้นไม้นี่คือท้องสมุทรโศกา

รากของมันฝังอยู่อย่างมั่นคงภายในบ่อน้ำ ซึ่งคงจะเชื่อมต่อกับโลกภายนอก

รากของต้นไม้ดูดซับน้ำจากนอกบ่อเข้ามา ในขณะที่กิ่งก้านสาขาคอยปล่อยน้ำ ซึ่งในตอนนี้เปี่ยมไปด้วยสสารต้นกำเนิดเฉพาะของหุบเหวนรก

งั้นสสารต้นกำเนิดอันเร่งการเจริญเติบโตของสิ่งมีชิวตได้นี้ แท้จริงแล้วมาจากต้นไม้ต้นนี้นี่เอง !

ทันใดนั้น ซูเฉินก็เข้าใจ

เคอหนีเก๋อไม่ใช่ผู้ที่ประดิษฐ์ท้องสมุทรโศกาขึ้น

เขาเพียงแค่ค้นพบมันเท่านั้น

และหลังจากที่พบต้นไม้นี้ ชายคนนั้นก็ตัดสินใจใช้มันเพื่อประโยชน์ของตนเอง

บางทีกระบวนการแท้จริงอันเกี่ยวข้องกับการสร้าง กระบวนการเองก็ซับซ้อนอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่มันก็แสดงออกมาผ่านต้นไม้นี้ ซึ่งเรียบง่ายและน่าเบื่อเป็นอย่างมาก

ต้นไม้ !

ต้นไม้ที่สามารถผลิตสสารต้นกำเนิดได้อย่างไร้ขีดจำกัด !

ต้นไม้นี้ได้เปลี่ยนสภาพทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้ และทำร้ายชาวสมุทรมากว่า 20,000 ปี

“งั้นก็เป็นอย่างนี้นี่เอง” กระทั่งกู่ชิงลั่วก็พูดไม่ออกต่อการค้นพบของซูเฉิน

หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ถามขึ้น “งั้นตอนนี้เราควรทำลายต้นไม้นี่เลยไหม ?”

“ไม่” ซูเฉินตอบพลางส่ายหัว “ต้นไม้นี้อัศจรรย์เกินไป มันสามารถผลิตทรัพยากรสสารต้นกำเนิดประหลาดนี้ได้อย่างต่อเนื่อง ถ้าข้าปลูกมันบนเขาหมื่นดาบ เจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น?”

กู่ชิงลั่วเตือนเขาทันที “เจ้าไม่ผิด แต่อย่าลืมว่าเคอหนีเก๋อได้เปลี่ยนต้นไม้นี้ไปแล้ว แม้ว่ามันจะสามารถเร่งการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตได้ แต่ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากเจ้าต้นไม้นี่ก็จะตกอยู่ใต้อาณัติควบคุมของมันเช่นกัน แล้วก็จะถูกบังคับให้คอยปกป้อง และโจมตีชาวสมุทรแทน”

“งั้นก็กำจัดคำสั่งซะสิ” ซูเฉินตอบอย่างตรงไปตรงมา “ถ้าเคอหนีเก๋อสามารถมอบคำสั่งได้ ข้าก็สามารถกำจัดคำสั่งเหล่านั้นได้”

ด้วยการมีอยู่ของไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด นี่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้

“แล้วเจ้าจะนำมันไปด้วยยังไงล่ะ ?”

“ทำไมไม่ถามไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดล่ะ ?” ซูเฉินตัดสินใจใช้การโกงอีกครั้ง

แต่ทันทีที่เขาดึงเอาไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดออกมา กลุ่มควันกลุ่มหนึ่งก็ทะลักออกมาจากต้นไม้ทันใด

แล้วมันก็ควบแน่นขึ้นเป็นร่างลวงตาข้าง ๆ ต้นไม้ยักษ์

ร่างนั้นเป็นร่างของชายชราคนหนึ่ง เขาร้องออกมา “ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด ! ไม้เท้ามหัศจรรย์ ! ในที่สุดข้าก็ได้พบเจ้าตัวเป็น ๆ”

นี่……

ซูเฉินมองไปยังร่างคล้ายผีสางนั่น “เผ่าวิญญาณหรือ ?”

ร่างจาง ๆ เบื้องหน้าเขานั้นเป็นชาวเผ่าวิญญาณ แต่นั่นก็มีข้อผิดแปลกอยู่เช่นกัน อย่างหนึ่งคือ ขาของมันยื่นออกมาจากต้นไม้โดยตรง ราวกับว่าเขางอกขึ้นมาจากต้นไม้

“มนุษย์ ! ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดตกอยู่ในมือของมนุษย์งั้นหรือ ? พวกเผ่าคนเถื่อนบ้าคลั่งนั้นถูกทำลายไปแล้วหรือไง ?” เผ่าวิญญาณนั่นถามซูเฉินด้วยความประหลาดใจ

“พวกเขายังคงอยู่ แต่สมบัตินี้ไม่ได้เป็นของพวกเขาอีกแล้ว ดูเหมือนท่านจะรู้ว่ามันคืออะไรสินะ ?”

“ข้าจะไม่รู้ได้ไงล่ะ นั่นคือสิ่งที่ข้าตามหามาตลอด ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด… ถ้าข้าทำภารกิจได้สำเร็จ และได้ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดมาครอบครอง ข้า ถีเข่อซือ ก็จะไม่ตกมาอยู่ในสภาพเยี่ยงนี้ตั้งแต่แรก”

เผ่าวิญญาณชรานั้นถอนหายใจด้วยความเสียดาย

ถีเข่อซือ?

ชื่อนี้ฟังดูคุ้นหู แต่ซูเฉินไม่นึกไม่ออกว่าเขาได้ยินชื่อนี้จากที่ใดมาก่อน

เผ่าวิญญาณชราถามซูเฉิน “ตอนนี้ปีอะไรแล้วหรือ ?”

“สหัสวรรษที่ 27 แห่งยุคดาราใหม่” ซูเฉินตอบ

“สองหมื่นปีหรือ ? งั้นข้าก็หลับใหลมากว่า สองหมื่นปีสิ หือ ?” วิญญาณชราพึมพำอย่างใจเย็น

ร่างเลียนแบบของซูเฉินข้างนอกบอกกับกู่ชิงลั่ว “คำพูดของเจ้าถูกเผง ชายอายุสองหมื่นปี กระโดดออกมาจากความว่างเปล่าจริง ๆ”

ซูเฉินที่อยู่ข้างในใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนที่ตาของเขาจะลุกเป็นประกาย “ถีเข่อซือหรือ ? ท่านบอกว่าชื่อของท่านคือถีเข่อซือ ? งั้นชื่อของท่านก็มีสามตัวอักษรใช่ไหม ? หมายความว่าท่านจะต้องเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสเผ่าวิญญาณเป็นแน่”

“ใช่แล้ว และยังเป็นหนึ่งในคนที่อยู่ระดับสูงที่สุดด้วยล่ะ” ถีเข่อซือตอบอย่างภูมิใจ

ธรรมเนียมการตั้งชื่อของเผ่าวิญญาณนั้นเรียบง่ายยิ่งนัก สามัญชนเผ่าวิญญาณจะมีตัวอักษรในชื่อเพียงตัวเดียว ระดับกลางมี 2 ตัว ผู้อาวุโสมี 3 ตัว และผู้นำมี 4 ตัว

ด้วยธรรมเนียมการตั้งชื่อนี้ ประวัติศาสตร์ของเผ่าวิญญาณจึงสามารถจดจำได้ง่ายทีเดียว พวกเขามีจำนวนไม่มากอยู่แล้ว และยังมีชีวิตอยู่ตลอดไป มิหนำซ้ำชื่อขายังจำได้ง่ายอีกด้วย ตลอดประวัติศาสตร์กว่าสองหมื่นปี มีผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากเผ่าวิญญาณอยู่เพียงราว ๆ หนึ่งร้อยคนเท่านั้น

ผลคือ เป็นเรื่องหายากนักที่บุคคลผู้ยิ่งใหญ่จะปรากฏตัวขึ้นจากระดับของเผ่าวิญญาณ

ถีเข่อซือเป็นคนที่มีชื่อเสียงไม่น้อยทีเดียว

อย่างที่เขากล่าว ก่อนที่เขาจะหายตัวไปอย่างลึกลับ เขาจะต้องเป็นหนึ่งผู้อาวุโสระดับสูงอย่างแน่นอน ที่จริงแล้วจะเป็นรองก็แต่ผู้นำของเผ่าวิญญาณเท่านั้นเอง

แต่เหตุผลที่ชื่อของเขายังคงลือเลื่องมาจนถึงทุกวันนี้ ก็เป็นเพราะผลกระทบอันใหญ่หลวงจากการที่เขาได้หายตัวไป

เพราะเหตุนั้นเองที่ได้บังคับให้เผ่าวิญญาณหยุดชะงักแผนการสร้างบ่ออมตะขึ้นมา

และเพราะการหายตัวไปของวิญญาณชรา ตำหนักอุบัติชีวาก็ถูกทำลายลงในเวลาติด ๆ กัน

โชคไม่ดีนักที่การหายตัวไปของผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่นี้ มีแต่จะส่งผลเสียให้แก่ชาวเผ่าวิญญาณเท่านั้น

เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้ถึงหายนะที่ตามมาจากเรื่องที่ก่อไว้เลยแม้แต่น้อย

ทันใดนั้นเอง หลอดไฟในความคิดของซูเฉินก็ดับลง และเขาก็นึกถึงความลับสำคัญอย่างหนึ่งขึ้นได้

ชายหนุ่มอุทานลั่น “งั้นที่จริงแล้วท้องสมุทรโศกาก็คือบ่ออมตะสินะ !”