ภาคที่ 6 บทที่ 60 ประวัติศาสตร์ (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 60 ประวัติศาสตร์ (1)

บ่ออมตะนั้นแท้จริงแล้วเป็นเหมือนโครงการยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด

และชาวอาร์คาน่าก็เป็นผู้แรกที่เสนอมัน

ระหว่างยุคทองแห่งพลังของอาณาจักรอาร์คาน่า พวกเขาได้เสนอความคิดแปลกใหม่มากมาย เพื่อพยายามที่จะนำพาพวกตนไปสู่ความรุ่งโรจน์

มีหัวข้อหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของทุกเผ่าอัจฉริยะได้โดยเฉพาะ… แผนการสร้างบ่ออมตะนั่นเอง

เค้าโครงทางทฤษฎีของบ่ออมตะนั้นเรียบง่ายทีเดียว อ้างอิงจากงานวิจัยของปรมาจารย์อาร์คาน่า เค่อเหล่ยเก๋อ พลังต้นกำเนิดจะอยู่ในสถานะของเหลวเมื่อบีบอัดด้วยความหนาแน่นที่สูงพอ นี่คือทฤษฎีเบื้องหลังการมีอยู่ของทะเลพลังต้นกำเนิด ดังนั้นแล้ว ความหวังของเขาจึงเป็นการประดิษฐ์อุปกรณ์บางอย่างที่สามารถกักเก็บพลังต้นกำเนิดในรูปแบบของของเหลวไว้ได้

พูดอีกอย่างหนึ่งคือ เค่อเหล่ยเก๋อต้องการเลียนแบบทะเลพลังต้นกำเนิดโดยการสร้างบ่อพลังต้นกำเนิดขึ้นมา

ด้วยวิธีนี้ เขาก็จะมีพลังต้นกำเนิดสำรองไว้อย่างไม่สิ้นสุดเพื่อเก็บไว้ใช้งาน

นี่คือแนวคิดริเริ่มเบื้องหลังบ่ออมตะ

แต่โครงการนี้ก็เริ่มเปลี่ยนไปขณะที่มันกำลังดำเนินการ

มันถูกนับว่าใช้ไม่ได้จริงทั้งหมดอย่างรวดเร็ว ความยากลำบากในการสร้างบ่อพลังต้นกำเนิดนั้นไม่น้อยไปกว่าการใช้ทะเลต้นกำเนิดตั้งแต่แรก หากแหล่งที่มาของพลังต้นกำเนิดเหลวนั้นมีอยู่แล้ว ทำไมถึงมีผู้ใดพยายามสร้างของเลียนแบบที่ใช้ยากไม่ต่างกันล่ะ ? นั่นช่างเป็นความพยายามที่โง่เขลาอย่างแท้จริง

แต่ก็มีคนอื่น ๆ ที่นำแนวคิดนี้ไปสู่ทิศทางใหม่

แล้วใครบางคนก็ค้นพบว่าพลังต้นกำเนิดเหลวนั้นมีความยืดหยุ่นอย่างถึงที่สุด และประยุกต์ใช้รูปร่างได้หลายรูปแบบ

ดังนั้นแล้ว จุดประสงค์ที่แท้จริงของบ่ออมตะจึงไม่ใช่แหล่งพลังไร้ขีดจำกัดที่มันมี แต่เป็นการปรับตัวระดับสุดยอดของมันต่างหาก

ทั้งยังสามารถรับหน้าที่เป็นพื้นฐานให้พลังต้นกำเนิดพัฒนาให้ทรงพลังกว่าเดิม

ด้วยปรัชญาในใจนี้ แผนการที่เป็นรูปเป็นร่างสำหรับบ่ออมตะก็เริ่มปรากฏขึ้น

แต่การวิจัยนี้ยังคงไม่เสร็จสิ้นกระทั่งผ่านช่วงเสื่อมโทรมของอาณาจักรอาร์คาน่าไป

เมื่ออาณาจักรอาร์คาน่าถูกโค่นล้มลง เผ่าพันธุ์อัจฉริยะอื่น ๆ ก็แบ่งสันปันส่วนผลประโยชน์ที่ได้มา เผ่าวิญญาณได้รับความรู้มามากที่สุดเพราะความรักในความรู้ และความสนใจในความลับพื้นฐานของโลกใบนี้

เผ่าวิญญาณจึงได้ก่อตั้งอาณาจักรนิรันดร์ของพวกเขาขึ้น และผู้นำเผ่าวิญญาณก็ถูกแต่งตั้งเป็นจักรพรรดินิรันดร์ อุปราชโดยตามปกติก็คือถีเข่อซือนั่นเอง

ในปีที่ 1,000 แห่งยุคดาราใหม่ ถีเจ่อซือได้เริ่มโครงการบ่ออมตะขึ้นใหม่อีกครั้ง โดยหวังที่จะทำงานวิจัยของชาวอาร์คาน่าให้สำเร็จ

เพราะรูปแบบการมีตัวตนอยู่ที่แปลกประหลาดของเผ่าวิญญาณ ร่างกายภาพของพวกเขาจึงน่าสงสัยมาโดยตลอด

พวกเขาเองเชื่อว่าพวกตนนั้นคือสิ่งมีชีวิตที่แท้จริง ร่างกายของพวกเขาสร้างขึ้นจากจิตใจอันบริสุทธิ์เท่านั้น ทำให้พวกเขามีพื้นฐานที่ต่างออกไปจากพวกภูติผี

แต่เผ่าพันธุ์อื่น ๆ ก็ยังเชื่อว่าเผ่าวิญญาณคือผี !

ในตอนแรก ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าผีมาก่อน แต่เผ่าจิตวิญญาณทมิฬได้สร้างสิ่งมีชีวิตใหม่ขึ้น ผีสาง ในภาพของพวกเขาเอง การกระทำของพวกเขาได้เติมเต็มสิ่งที่ ในเวลาตอนนั้นไม่ได้เป็นมากไปกว่าเทพนิยาย

เผ่าวิญญาณไม่อาจยอมรับการแบ่งแยกชนชั้นนี้ได้ พวกเขาได้เปลี่ยนตนเองให้มีชีวิตอยู่ได้นานขึ้นและมีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ใช่เพื่อให้พวกเขามี “ความตายที่ดีขึ้น”

แม้ว่านี่จะดูไม่มากไปกว่าแค่เพียงความหมายบนผิวหน้า มันก็ยังเป็นการแบ่งแยกที่สำคัญ เหตุผลสำคัญที่พวกเขายังมีตัวตนอยู่ ก็เพื่อให้ถูกตั้งเป็นเป้าหมายและถูกโจมตี อย่างที่กฎหมายจำเป็นต่ออาณาจักร และที่การสอนสำคัญต่อนิกาย ภาพที่เผ่าพันธุ์มองตนเองก็สำคัญเป็นอย่างยิ่งเมื่อมันคือเหตุผลหลักที่พวกเขายังมีตัวตนอยู่ตั้งแต่แรกเริ่ม

ปัญหาที่ชัดเจนที่สุดกับการยอมรับการตีตราว่า ‘ผี’ คือชาวเผ่าวิญญาณมากมายจะเริ่มสงสัยว่าพวกเขามีจุดประสงค์ที่จะใช้ชีวิตต่อไปเช่นนี้อีกหรือไม่

ทัศนคติสงสัยในตนเองเช่นนี้สามารถนำไปสู่จุดจบของทั้งเผ่าพันธุ์ได้เลยทีเดียว

ถีเข่อซือได้ค้นพบทฤษฎีหนึ่งที่เขียนไว้ในบันทึกงานวิจัยบ่ออมตะ ทฤษฎีการก่อเกิดพลังต้นกำเนิด

ทฤษฎีการก่อเกิดพลังต้นกำเนิดถูกริเริ่มเสนอโดยหนึ่งในปรมาจารย์แห่งอาณาจักรอาร์คาน่า เคอเต๋อเอ่อร์ เคอเต๋อเอ่อร์เชี่ยวชาญในงานวิจัยพลังต้นกำเนิดโดยเฉพาะ และระหว่างการศึกษาเล่าเรียน เขาได้คนพบว่า หนึ่งในองค์ประกอบที่แปลกประหลาดของพลังต้นกำเนิดเหลวคือ มันสามารถสร้างอินทรียวัตถุได้

ดังนั้นแล้ว เขาจึงพัฒนาสมมติฐาน ในองค์ประกอบมากมายที่จำเป็นในการสร้างชีวิตขึ้นมา พลังต้นกำเนิดนั้นเกี่ยวข้องกับรูปแบบขององค์ประกอบเหล่านี้

จากจุดเริ่มต้นนี้แล้ว เคอเต๋อเอ่อร์สามารถอนุมานได้ข้อสรุปที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนทวีปต้นกำเนิดนั้น แท้จริงแล้วเกี่ยวข้องกับทะเลพลังต้นกำเนิด มันคือพลังต้นกำเนิดที่ได้สร้างทุกสิ่งขึ้นมาตั้งแต่แรกเริ่ม รวมถึงสิ่งมีชีวิตหลากหลายรูปแบบด้วยเช่นกัน

และเหตุผลที่บางสิ่งมีชีวิตนั้นแข็งแกร่งและมีสิ่งอื่นที่อ่อนแอกว่านั้น เป็นเพราะบางตัวได้ถูกสร้างขึ้นด้วยแก่นชีวิตที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่า ในขณะที่ตัวอื่น ๆ ได้รับรุ่นที่ปนเปื้อน อดีตไ ด้กลับกลายเป็นเผ่าพันธุ์ต้นกำเนิดเหล่านั้น และเกิดเป็นเผ่าพันธุ์อัจฉริยะขึ้นในยุคหลัง

หากเขาสามารถค้นพบหลักการเบื้องหลังการก่อเกิดพลังต้นกำเนิดได้ มันก็จะเป็นไปได้ที่เผ่าวิญญาณจะได้รับร่างกายภาพเป็นของพวกเขาเอง

นี่คือทฤษฎีการก่อเกิดพลังต้นกำเนิด

โชคไม่ดีนักที่ตอนนั้นอาณาจักรอาร์คาน่ามีงานวิจัยมากเกินไป ความคิดแตกต่างกันมากมายถูกแพร่ระบาดออกไปอย่างต่อเนื่อง และข้อเสนอของเคอเต๋อเอ่อร์ก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจมากนัก มันถูกกาลเวลากลืนกินและถูกหลงลืมไปอย่างรวดเร็ว

จนกระทั่งวันแห่งโชคชะตาที่มันตกลงสู่กำมือของถีเข่อซือ

ในนั้น ถีเข่อซือมองเห็นความเป็นไปได้ที่เผ่าวิญญาณจะได้รับเป้าหมายในการใช้ชีวิตกลับคืนมา

เขากำลังจะใช้ทฤษฎีนี้ในการฟื้นฟูเผ่าวิญญาณ !

มันเป็นความคิดที่ทั้งยิ่งใหญ่และสุ่มเสี่ยงเป็นอย่างมาก แต่ถีเข่อซือก็เชื่อว่ามันเป็นไปได้

สำหรับเผ่าวิญญาณผู้ได้ทอดทิ้งร่างกายของพวกตนไป ร่างกายของพวกเขาเองนั้นเป็นวัสดุวิจัยที่สมบูรณ์แบบ ไม่จำเป็นต้องมีทุนทรัพย์อะไรมากมาย

และด้วยสิ่งนั้น แผนการของพวกเขาในการสร้างบ่ออมตะก็จะเริ่มดำเนินการ ที่จริงแล้ว มันคงจะถูกต้องกว่าหากเรียกมันว่า ‘บ่อชีวิต’ การทำงานหลักของมันคือเสริมความแข็งแกร่งให้แก่สิ่งมีชีวิตในระดับพื้นฐาน แน่นอนว่าเผ่าวิญญาณก็สามารถนำไปใช้ เพื่อทำให้ศัตรูอ่อนแอลงได้เช่นกัน ตราบใดที่ยังเชี่ยวชาญ และสามารถควบคุมทฤษฎีหลักการของการก่อเกิดพลังต้นกำเนิดได้ พวกเขาก็จะสามารถทำการปรับเปลี่ยนรูปแบบต่าง ๆ แก่สิ่งมีชีวิตได้มากมาย

หากเผ่าวิญญาณทำสำเร็จ พวกเขาก็อาจกลายเป็นเผ่าพันธุ์ทรงพลังสุดยอดเผ่าพันธุ์ต่อไป ที่จะควบคุมทั้งแผ่นดิน พวกเขาจะให้เทพอสูรบรรพกาลควบคุมพลังต้นกำเนิด ทั้งร่างอมตะ และจิตใจที่ทรงพลัง บางทีก็คงจะไม่เกินไปนัก หากจะเรียกพวกเขาว่าเผ่าพันธุ์ที่สมบูรณ์แบบก็ย่อมได้

โชคดีที่พวกเขาไม่ประสบความสำเร็จ

ถีเข่อซือหายตัวไป

ในฐานะผู้ขับเคลื่อนหลักเบื้องหลังโครงการบ่ออมตะ การหายไปของถีเข่อซือได้สร้างความเสียหายอย่างหนักให้แก่การดำเนินการ บ่ออมตะได้แห้งเหือดลงทันทีซึ่งนำไปสู่ความล้มเหลวในเวลาต่อมา

และเพราะโครงการนี้ล้มเหลว เผ่าวิญญาณจึงไม่ได้ปกปิดมันไว้เป็นความลับ ไม่แปลกเลยที่มนุษย์จะมีความรู้ไม่น้อยเกี่ยวกับข้อมูลเฉพาะของมันเช่นกัน

และตอนนี้ ถีเข่อซือก็บังเอิญปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ในหุบเหวนรก

เมื่อซูเฉินนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายคือผู้อาวุโสถีเข่อซือ เขาก็นึกถึงความเกี่ยวพันที่ถีเข่อซือมีต่อโครงการบ่ออมตะ ซูเฉินนำทั้งสองเรื่องมาปะติดปะต่อกันอย่างรวดเร็ว

เมื่อได้ยินคำพูดของซูเฉิน ถีเข่อซือก็ประหลาดใจเช่นกัน “ท้องสมุทรโศกา ? คืออะไรหรือ ? กำลังเกิดอะไรขึ้นที่โลกภายนอกหรือ ?”

“ดูเหมือนท่านจะยังไม่รู้สินะ ทำไมไม่ให้ข้าบอกวิธีที่เรามาถึงจุดนี้ก่อนล่ะ ?” ซูเฉินไม่ได้บอกถีเข่อซือในทันทีว่าเกิดสิ่งใดขึ้นในโลกภายนอก อย่างไรแล้วเขาก็ยังเป็นผู้อาวุโสเผ่าวิญญาณ และก็เป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ว่า เขามีกลอุบายเช่นไรหลบซ่อนไว้ในใจ หากซูเฉินอธิบายทุกสิ่งให้ฟัง ก็มีความเป็นไปได้ที่ถีเข่อซือจะเริ่มหลอกลวงชายหนุ่ม

เมื่อถีเข่อซือเห็นพฤติกรรมของซูเฉิน เขาก็เข้าใจว่าชายหนุ่มพยายามจะทำสิ่งใด “ที่เจ้าสามารถเข้ามาในพื้นที่ที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างพิถีพิถันโดยอิงปู้หลี่ได้ ก็พิสูจน์แล้วว่าเจ้านั้นไม่ใช่แค่คนธรรมดาทั่วไป แต่ไม่ต้องห่วง ข้าจะบอกเจ้าทุกอย่างที่เจ้าอยากรู้ ตราบใดที่เจ้าตอบข้าอย่างหนึ่ง”

“อิงปู้หลี่ ? นี่คืองานของตานเนี่ยวอิงปู้หลี่หรือ ?” ซูเฉินพูดแทรก “ข้าคิดว่าเป็นของเคอหนีเก๋อเสียอีก”

ตานเนี่ยวอิงปู้หลี่คือรากฐานแห่งความทุกข์ทรมานของชาวสมุทร เขาคือชาวอาร์คาน่าผู้ต่อสู้กับชาวสมุทรมาหลายพันปี และเป็นอาจารย์ของเคอหนีเก๋อ

“เคอหนีเก๋อหรือ ? โอ้ เจ้าหมายถึงเด็กชาวอาร์คาน่าคนนั้น ใช่ เขาก็มีส่วนร่วมด้วยเช่นกัน แม้ว่าเขาจะต้องทนทุกข์จากโรคที่ไม่อาจรักษาได้ ความยืดหยุ่นของเขาก็น่าประทับใจยิ่งนัก หากไม่ได้การช่วยเหลือจากเขา ข้าก็ไม่อาจมาถึงสภาพนี้ได้เช่นกัน” ถีเข่อซือถอนหายใจ

“โรคที่ไม่อาจรักษาได้หรือ ?”

“ใช่แล้ว เด็กนั่น เคอหนีเก๋อ มีอย่างน้อยสามโรคที่ไม่อาจรักษาได้ และบาดแผลสาหัสอีกเจ็ดแผล ดวงตาบอดสนิท สมองเกือบครึ่งถูกคว้านออกไป และขาทั้งสองก็อ่อนแอ…… มันเป็นปาฏิหาริย์ทีเดียวที่เขายังมีชีวิตอยู่ แต่ใช่ เคอหนีเก๋อคือผู้ที่เติมเต็มการจัดการทั้งหมดที่นี่”

ซูเฉินตกตะลึง “เขาทำได้ยังไงกัน ?”

ถีเข่อซือยักไหล่ “ทีละน้อย ๆ น่ะ เคอหนีเก๋อใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเติมเต็มคำขอของอาจารย์ และผนึกข้าไว้ที่นี่โดยใช้ข้าเป็นตัวแปลงสำหรับบ่ออมตะ บ่อน้ำนี้สามารถผลิตพลังได้ในปริมาณมาก ที่สามารถเร่งการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่เข้ามาใกล้ เมื่อตานเนี่ยวอิงปู้หลี่ทิ้งงานนี้ให้แก่ศิษย์ตน ข้าก็คิดว่าเขาบ้าไปแล้ว เขาน่าจะได้พบชาวอาร์คาน่าธรรมดาคนอื่น ที่เติมเต็มภารกิจของตัวเองได้ แต่เขากลับเลือกเด็กพิการนั่นแทน องค์กรเช่นนี้นั้นยุ่งยากเป็นอย่างมากแม้กระทั่งผู้ที่แข็งแกร่ง ที่จะทำให้สำเร็จได้โดยไร้ความคาดหมาย เป็นไอ้พิการนี่ที่มารับช่วงต่องานของตานเนี่ยวเองเสียอย่างนั้น”

“นั่นเกินคาดทีเดียว” ซูเฉินพึมพำกับตัวเอง

ประวัติศาสตร์ได้มอบข้อมูลที่ถูกต้องให้แก่ตานเนี่ยวอิงปู้หลี่ แต่ไม่มีใครรู้ถึงการเสียสละที่เคอหนีเก๋อก็ได้ทำไปเช่นกัน ที่จริงแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเขาพิการตั้งแต่แรกเสียด้วยซ้ำ

ไม่แปลกที่เขาจะไม่มีสิ่งประดิษฐ์อื่นใดอีกเลยตลอดชีวิต

เด็กหนุ่มใช้ชีวิตของเขาทั้งหมดเพื่อทำสิ่งนี้ให้ถูกต้อง

หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูเฉินก็ถาม “พวกเขาเป็นฝ่ายทิ้งท่านไว้ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่หรือ ? ทำไม่ฟังดูเหมือนว่าท่านจะไม่เกลียดพวกเขาเลยล่ะ ?”

“ทิ้งข้างั้นหรือ ?” ถีเข่อซือตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าซูเฉินหมายถึงสิ่งใดแล้วหัวเราะ “เจ้าคิดว่าอิงปู้หลี่แฃะเคอหนีเก๋อหลอกลวงข้า และทิ้งข้าไว้ในสภาพนี้หรือ ?”

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ ?”

“ไม่ ไม่ ไม่” ถีเข่อซือหัวเราะ “ไม่เลยสักนิด ! พวกเขาช่วยเหลือข้าต่างหาก”

“ช่วยเหลือท่าน ?”

“ใช่แล้ว” ถีเข่อซือถอนหายใจ “มันเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว ข้าสามารถเล่าให้เจ้าฟังได้ แต่เด็กหนุ่ม ข้าบอกเจ้าไปทั้งหมดแล้ว เจ้าก็ควรจะบอกข้าว่าเกิดสิ่งใดขึ้นในโลกภายนอกบ้างไม่ใช่หรือ ? นั่นไม่ยุติธรรมหรือไง ?”

“ก็ได้ ท่านอยากรู้อะไรล่ะ ?” ซูเฉินคาดการณ์ว่าเขายังมีเวลาอยู่และพยักหน้า

“สถานการณ์ปัจจุบันของโลกภายนอกเป็นอย่างไร ? และไอ้ท้องสมุทรโศกานี่คืออะไรกัน ?”

“มันคล้ายคลึงกับก่อนหน้านี้ แต่ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ล่มสลายลงแล้วและถูกแทนที่โดย 7 อาณาจักรของเผ่ามนุษย์……” ซูเฉินบรรยายอย่างกว้างขวางก่อนที่จะเปลี่ยนเรื่องไปยังท้องสมุทรโศกา

แต่เขาก็ไม่ได้บอกเรื่องการล่มสลายลงของตำหนักอุบัติชีวา

เขาไม่ต้องการกระตุ้นถีเข่อซือมากเกินไป

“เป็นเช่นนี้เอง” ถีเข่อซือกล่าว “งั้นผู้นำเผ่าวิญญาณปัจจุบันก็คือคนที่ 3 และยังคงหดหัวอยู่ในถ้ำว่านไหวงั้นหรือ ? ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้สร้างความคืบหน้าใด ๆ เลยสินะ”

“คนอื่น ๆ ต่างก็เดินหน้ากัน” ซูเฉินกล่าว

“นั่นก็จริง ข้าไม่อาจสัมผัสถึงรัศมีของสายเลือดในตัวเจ้าได้ แต่เจ้าก็อยู่ในด่านผลาญจิตวิญญาณแล้ว ในตอนที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ เผ่ามนุษย์ยังคงทุ่มเทให้กับการศึกษาสายเลือดอยู่ พวกเขาไปถึงจุดที่ไม่จำเป็นต้องใช้สายเลือดมาเสริมอีกต่อไปแล้วหรือยัง ?”

“มีเพียงบางคนเท่านั้น” ซูเฉินยักไหล่ “งั้นเราคุยเกี่ยวกับท่านกันได้หรือยัง ? ทำไมการผนึกท่านไว้ที่นี่ถึงได้เป็นการช่วยช่วยท่านกันล่ะ ?”

“โอ้ เรื่องนั้นน่ะยาวทีเดียว”