ภาคที่ 6 บทที่ 61 ประวัติศาสตร์ (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 61 ประวัติศาสตร์ (2)

ถีเข่อซือจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนกลายเป็นเผ่าวิญญาณไม่ได้เลย

เมื่อได้รับความเป็นอมตะมา ก็ได้สูญเสียอารมณ์เช่นสิ่งมีชีวิตที่ครั้งหนึ่งเคยสุขสมไป จากนั้นมา ลิ้มรสผลไม้ก็ไม่ได้ความหวาน ไม่รับรู้ถึงความอ่อนโยนของสายลมฤดูใบไม้ผลิแผ่วเบา และไร้ความปีติยินดีซึ่งความรักอีกต่อไป

ใช่แล้ว การเปลี่ยนร่างให้กลายเป็นร่างวิญญาณ ไม่เพียงแต่จำกัดความสามารถในการมีปฏิสัมพันธ์ต่อโลกภายนอก แต่รวมถึงความรู้สึกภายในของตนด้วย

ถีเข่อซือเคยคิดว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

จนกระทั่งเขาค้นพบทฤษฎีการสร้างพลังต้นกำเนิด

ใช่แล้ว นี่เป็นเหตุผลหลักที่เขาอยากเห็นบ่ออมตะเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งจะกรุยทางให้เผ่าวิญญาณสายใหม่ขึ้นมา

และเพื่อเอาสัมผัสทั้งหลายที่ถูกลืมไปนานแล้วกลับคืน ถีเข่อซือจึงเริ่มวิจัยทฤษฎีการสร้างพลังต้นกำเนิดและบ่ออมตะ

แต่ในตอนแรก งานวิจัยเกิดขึ้นเพียงในขั้นเริ่มต้นไม่น่าสนใจเท่าไร

สิ่งที่ทำให้เข้ามาสู่เส้นทางสายนี้ก็คือความฝันหนึ่งที่เขาไม่คาดคิด

ปกติแล้วเผ่าวิญญาณนั้นไร้ฝัน เพราะไม่จำเป็นต้องนอนหลับ

สำหรับพวกเขา โลกในแดนแห่งความฝันจึงไม่มีอยู่จริง เป็นแค่ภาพมายาที่สร้างขึ้นมาเท่านั้น

แต่แล้ววันหนึ่ง ถีเข่อซือกลับฝันขึ้นมา

ในความฝันนั้น เขาได้เห็นตนเองสามารถทำให้บ่ออมตะสมบูรณ์ได้

แม้จะเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่มันก็สมจริงมาก มากเสียจนเขาจดจำได้ทุกรายละเอียดปลีกย่อย

หลังตื่นขึ้นจากฝัน เขาก็พยายามทำตามสิ่งที่เห็นในความฝัน ทั้งที่ยังไม่เชื่ออยู่บ้าง

ผลลัพธ์ที่ออกมาทำให้ตกตะลึงยิ่งนัก

เพราะมันทำได้จริง !

บ่ออมตะที่ได้เห็นในฝันสามารถทำให้เป็นจริงได้ !

ถีเข่อซือจึงเชื่อว่าทวยเทพคงจะลิขิตเส้นทางเดินนี้ไว้ให้เขา

น่าเสียดายที่ถีเข่อซือไม่สามารถจดจำวิธีการสร้างทุกส่วนของบ่ออมตะได้ รวมทั้งยังมีบางส่วนที่เขายังไม่อาจทำความเข้าใจได้ในทันที อย่างไรก็ยังต้องใช้เวลาและการวิจัยอันยากลำบาก เพื่อให้สามารถเข้าใจสิ่งที่เห็นในความฝันได้อย่างเต็มที่

แต่ก็ไม่นับเป็นปัญหาสำหรับถีเข่อซือ

จากจุดนี้ไป เขาก็เอาแต่หมกตัวอยู่กับงานวิจัยเรื่องบ่ออมตะ

เพื่อให้สร้างมันขึ้นมาใหม่ได้จริง ถีเข่อซือเดินทางไปหลากหลายที่ ค้นหาทรัพยากรที่จำเป็นต้องใช้ทั่วใต้หล้า

ทำตัวราวกับถูกบางอย่างสิง เขาเดินทางไกลไปจนถึงทะเล

ทะเลมีสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่จำเป็นต้องใช้ในการสร้างบ่ออมตะ นั่นคือวสันต์เวียน

วสันต์เวียนเป็นทรัพยากรพิเศษที่เกี่ยวข้องกับพลังเชิงพื้นที่ จุดเด่นคือมันจะหมุนวนอยู่ตลอดเวลา

วสันต์เวียนนี้เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากในการสร้างบ่ออมตะ

ถีเข่อซือค้นหามันทั่วทุกหนทุกแห่ง สุดท้ายก็พบ น่าเสียดายที่ในจังหวะแห่งการกำชัย เขากลับถูกอสูรทะเลเข้าโจมตี

แม้สุดท้ายจะสามารถเอาชนะมันได้ ถีเข่อซือกลับถูกพิษร้าย อายุขัยลดลงอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่พิษธรรมดา เพราะสามารถมีผลต่อร่างวิญญาณโดยตรง ดังนั้นก็นับว่าถีเข่อซือเข้าใกล้ความตายแล้ว

เป็นตอนนั้นที่ได้พบกับอิงปู้หลี่และศิษย์ของเขา

ในตอนนั้นอิงปู้หลี่กำลังหาโอกาสต่อต้านเผ่าสมุทร เมื่อได้พบกับถีเข่อซือก็เชื่อว่าโอกาสมาถึงแล้ว เขาจึงแนะนำให้สร้างบ่ออมตะขึ้นที่นี่ เพราะถีเข่อซือจะสามารถใช้พลังของมันในการเอาชีวิตรอดได้

ถีเข่อซือบอกอิงปู้หลี่ว่ายังมีเงื่อนไขพิเศษในการสร้างบ่ออมตะเหลืออยู่อีกหลายอย่าง มันยังไม่เสร็จสมบูรณ์

ในฐานะช่างโลหะที่มีความสามารถสูง อิงปู้หลี่จึงสามารถทำตามเงื่อนไขทั้งหลายที่ถีเข่อซือยังขาดได้ มีการเปลี่ยนแปลงแผนเดิมเล็กน้อย เพราะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น

กระนั้นความตายที่ใกล้เข้ามาของถีเข่อซือก็ทำให้เขาไร้ทางเลือก ได้แต่ตอบตกลงอิงปู้หลี่ ช่วยกันสร้างบ่ออมตะขึ้นที่นี่

เขารู้ว่าอิงปู้หลี่คงมีจุดประสงค์อื่นในการช่วยเขาสร้างบ่ออมตะ แต่ถ้าเขายังอยากมีชีวิตอยู่ก็ไร้ทางเลือก เพราะคุณสมบัติพิเศษของบ่อน้ำนี้จะช่วยให้เขารอดพ้นจากความตายได้ แต่ก็หมายความว่าเขาไม่สามารถออกไปจากบ่อน้ำนี้ได้อีกตลอดกาล สุดท้ายหลังจากนั้นเขาจึงเลือกที่จะจำศีล

ช่วงเวลาแห่งการจำศีลนี้กินเวลานานถึงสองหมื่นปี

“สองหมื่นปี ในระยะเวลาสั้น ๆ นี้ โลกภายนอกกลับเปลี่ยนแปลงไปมากมาย” ถีเข่อซือถอนหายใจ “แต่ข้ากลับนอนหลับใหลอยู่ที่นี่ จะต่างอะไรกับความตายกัน ? ข้าอาจไม่ควรยืดชีวิตมาจนนานขนาดนี้มาตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ อย่างไรแก่และตายไปก็เป็นธรรมดาของชีวิตอยู่แล้ว”

“เช่นนั้นท่านอยากจากไปหรือ ?” ซูเฉินถาม

“ใช่ ข้าอยากไปจากที่นี่ ถึงจะต้องตายก็ตาม แต่หากได้ออกไปเห็นโลกภายนอกอีกครั้งข้าก็พอใจแล้ว” ถีเข่อซือบอกเสียงสงบนิ่ง ทอดสายตามองไปไกล

ซูเฉินพยักหน้า “ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่าน เรื่องที่ท่านหลับใหลอยู่ที่นี่มาสองหมื่นปีอาจเป็นเพราะชะตา ไม่แน่ว่าความตายอาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”

ว่าแล้วซูเฉินก็ถอยไป เปิดหนทางด้านหลังให้

“ข้าไม่รีบ” ถีเข่อซือว่าพลางหัวเราะขัน “เจ้าไม่อยากได้ท้องสมุทรโศกาหรือ? เอ้า ! มันเป็นของเจ้าแล้ว เจ้าเห็นค่ายกลต้นกำเนิดที่สลักอยู่ด้านล่างนั่นหรือไม่ ? หากสามารถปิดการทำงานมันได้ เจ้าก็นำมันออกไปได้”

ซูเฉินตอบ “ข้าก็ไม่รีบเช่นกัน ท่านเชิญก่อนเลย”

“ไม่ เจ้าไปก่อน”

“ท่านก่อน”

“เจ้าก่อน”

“ขอล่ะ ไม่จำเป็นต้องมากพิธีกับข้า”

“ไม่เลย ๆ ท่านเป็นผู้อาวุโส ทำเช่นนี้สมควรแล้ว”

ทั้งสองยอกย้อนกันไปมาเช่นนี้ ไม่มีใครเต็มใจออกไปก่อน

ซูเฉินยังคงรอยยิ้มไว้ แต่กลับไม่ยอมแตะต้นไม้นั่น

ถีเข่อซือเริ่มสีหน้าไม่สู้ดีขึ้นเรื่อย ๆ “ไอ้หนุ่ม เจ้ามาเพื่อเอาท้องสมุทรโศกาไม่ใช่หรือ? โอกาสอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่กลับเมินเฉยงั้นหรือ ? คิดจะทำอะไรกันแน่ ?”

ซูเฉินตอบเสียงสงบ “ผู้อาวุโส หากท่านอยากออกไปเห็นโลกภายนอกมากเช่นนั้น แล้วทำไมไม่คว้าโอกาสนี้ทำเสียเล่า ? หรือจะทำไม่ได้ ?”

ถีเข่อซือร่างสั่นเล็กน้อยก่อนคลี่ยิ้มอีกครั้ง “ไร้สาระ ! ทำไม่ได้อะไร ? แค่ยังไม่อยากทำในตอนนี้เท่านั้น !”

ซูเฉินยิ้ม แต่นัยน์ตาเย็นชา “ก็แล้วเหตุใดไม่ลองก้าวออกไปแล้วแสดงให้ข้าดูเล่า ?”

ถีเข่อซือตามองซูเฉินอย่างสงสัย สีหน้าเริ่มเปลี่ยน

ผ่านไปนาน ในที่สุดเขาก็ยอมอ่อนข้อและพูดว่า “น่าประทับใจจริงไอ้หนู ! ดูท่าสุดท้ายก็ปิดเจ้าไม่อยู่”

เขาหัวเราะ “ได้ ข้ายอมรับว่าร่างกายของข้าได้หลอมรวมเข้ากับบ่อน้ำนี้นานแล้ว ดังนั้นจึงออกไปเองไม่ได้ ต้นไม้นี้เป็นรากฐานของบ่ออมตะ หากเจ้านำไปด้วย ข้าก็ยังสามารถออกไปได้”

“เกรงว่านั่นจะไม่ใช่เพียงรากฐานของบ่ออมตะเพียงอย่างเดียว แต่เป็นรากฐานของค่ายกลที่กดพลังท่านอยู่ด้วยกระมัง ?” ซูเฉินอธิบายเสริม

ถีเข่อซือชะงัก “พูดอะไรของเจ้า ?”

ซูเฉินหัวเราะเสียงเย็น “อิงปู้หลี่เป็นชาวอาร์คาน่า สาเหตุส่วนหนึ่งที่อาณาจักรอาร์คาน่าล่มสลายก็มาจากเผ่าวิญญาณ มีหรือเขาจะปฏิบัติต่อเผ่าวิญญาณเป็นอย่างดี หรือช่วยชีวิตอย่างจริงใจให้ได้ ?”

“เพราะเขาต้องใช้ข้าในการสร้างท้องสมุทรโศกาอย่างไร !” ถีเข่อซือร้องตะโกน

“ก็ถูก แต่มันคงไม่ใช่ทางเดียวที่พวกท่านตกลงกันแน่ เขาอาจข่มพลังท่านไว้ด้วย ถูกต้องหรือไม่ผู้อาวุโสถีเข่อซือ ? หรือจะให้เรียกว่า… ผู้ควบคุมท้องสมุทรโศกา”

ถีเข่อซือได้ยินแล้วก็แทบเข่าอ่อนด้วยความหวาดกลัว “รู้ได้อย่างไรกัน ? เป็นไปไม่ได้ ! เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ !”

ซูเฉินเหลือบมองถีเข่อซือด้วยสีหน้าซับซ้อน “ท่านพลาดไป 2 จุด จุดแรกท่านบอกว่าอิงปู้หลี่สร้างท้องสมุทรโศกาขึ้นมาที่นี่เพื่อช่วยท่าน เพราะหมายจะทำให้ข้ามองข้ามไปว่าท่านจำเป็นต้องให้มีคนช่วยหนีออกไป แต่ลืมไปว่ารูปปั้นด้านนอกมีหน้าตาคล้ายกับเผ่าวิญญาณ อิงปู้หลี่มีหรือจะสร้างรูปปั้นเป็นเผ่าวิญญาณ ? ดังนั้นท่านคงเป็นคนสร้างที่นี่ขึ้นมาตั้งแต่แรก”

ถีเข่อซือตะลึงงันไป

ซูเฉินอธิบายต่อ “จุดที่สอง ท่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าเป็นใคร แท้จริงแล้วข้าเคยเจอเผ่าวิญญาณเหมือนท่านมาก่อน น่าสนใจนะ ที่คนผู้นั้นก็พยายามหลอกลวงข้าให้ช่วยแก้ปัญหาเช่นกัน แต่ข้าก็มองออก ท่านไม่ใช่คนแรกที่พยายามทำเช่นนี้ แต่นั่นไม่สำคัญ สำคัญคือท่านไม่รู้ว่าข้ามีความเข้าใจเกี่ยวกับพลังจิตลึกซึ้งเพียงใด……”

อย่างไรซูเฉินก็เป็นคนสร้างอาวุธวิญญาณขึ้นมา

ความเข้าใจในด้านพลังจิตของเขาลึกล้ำกว่าคนทั่วไปมาก

อีกครั้งวิธีที่ใช้เชื่อมถีเข่อซือเข้ากับต้นไม้ ก็ยังคล้ายกับวิธีสร้างอาวุธวิญญาณเสียด้วย ดังนั้นเมื่อซูเฉินรู้ว่าต้นไม้นี่เป็นท้องสมุทรโศกา จึงคิดได้ว่าถีเข่อซืออาจเป็นคนสร้างเครื่องมือวิญญาณขึ้นมา

แม้จะฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่ผ้าเท่อลั่วเค่อก็เคยเป็นเครื่องมือวิญญาณมาระยะหนึ่งแล้ว อีกทั้งตอนนี้ยังย้ายไปเป็นหุ่นเชิดสื่อสารอีก แต่แก่นก็ยังคงเป็นเครื่องมือวิญญาณ เพียงแต่หุ่นเชิดทำให้เขาเคลื่อนที่ไปมาได้ง่ายขึ้นเท่านั้น

แล้วซูเฉินจะมองไม่ออกได้อย่างไร ?

เรื่องนี้ยังเป็นเหตุผลให้กับเรื่องที่เขาทำความเข้าใจได้ยากด้วย แล้วเคอหนีเก๋อวางคำสั่งซับซ้อนมากเช่นนั้นไว้ให้ราชันจักรพรรดิอสูรได้อย่างไร ?

ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว

เป็นเพราะถีเข่อซือ !

พอมีสิ่งมีชีวิตอันมีสติปัญญาเป็นส่วนหนึ่งของท้องสมุทรโศกาแล้ว ก็ไม่แปลกที่จะสามารถสั่งการเช่นนั้นต่อไปได้

ส่วนเรื่องที่ถีเข่อซือช่วยเคอหนีเก๋อสั่งการราชันจักรพรรดิอสูรนั้น เห็นได้ชัดว่าก็ทำไปเพื่อเอาชีวิตรอด

ซูเฉินรู้ว่าหากถีเข่อซือไม่ออกคำสั่ง ชะตาคงขาดแน่

แต่เห็นได้ชัดว่าถีเข่อซือก็ใช่ว่าจะยอมก้มหัวทำตามคำสั่งเช่นกัน

ดังนั้นเขาจึงรอโอกาสมาโดยตลอด

เมื่อซูเฉินมาอยู่ตรงหน้า จึงรู้ดีว่าโอกาสมาถึงแล้ว ดังนั้นจึงพยายามใช้วาจาหลอกล่อ สร้างสถานการณ์ให้ตนได้ประโยชน์

น่าเสียดายที่อุบายถูกซูเฉินมองออกจนหมด

เมื่อเห็นว่าซูเฉินไม่ตกหลุมพราง สีหน้าถีเข่อซือก็พลันบิดเบี้ยว “ไอ้เลวสองตัวนั่นขังข้าไว้ที่นี่มาสองหมื่นปี ! สองหมื่นปีเชียวนะ ! มันใช้ข้าเป็นเครื่องมือวิญญาณ บังคับให้ข้าช่วยมันคุมหุบเหวและโจมตีเผ่าสมุทร ข้าไม่เคยเต็มใจทำ ! เจ้ามนุษย์ หากเจ้าปล่อยข้าไปได้ ท้องสมุทรโศกาก็เป็นของเจ้า ข้าจะไม่ทำเรื่องเช่นนี้อีก ข้าอยากได้อิสระ ! ข้าแค่อยากได้อิสระ !”

ซูเฉินส่ายหน้าเบา ๆ “หากท่านบอกความจริงแต่แรก ข้าอาจลองคิดเรื่องปลดปล่อยท่านดู แต่ในเมื่อเอ่ยคำแรกก็เป็นคำลวง ก็หมายความว่ามีจิตคิดร้าย ปล่อยท่านไปงั้นหรือ ? ข้าว่าท่านยอมอยู่ในต้นไม้นี่ไปเงียบ ๆ อีกสักระยะหนึ่งเถอะ”

ว่าแล้วก็หันหลังไป ทาบฝ่ามือลงกับต้นไม้

เขาไม่ได้ปลดผนึกค่ายกลบนต้นไม้ให้ แต่กลับเพิ่มผนึกป้องกันไว้อีกหลายชั้น จากนั้นก็ดึงต้นไม้ออกมาจากพื้นทั้งราก

“ไม่ !” ถีเข่อซือร้องลั่นอย่างคนสิ้นหวัง

ซูเฉินไม่สนใจ ต้นไม้ใหญ่ค่อย ๆ ถูกดึงขึ้นจากพื้น

หลังจากถอนรากขึ้นมาแล้ว สายธารที่ไหลออกมาอยู่ตลอดก็เริ่มเหือดแห้ง

ซูเฉินไม่ใส่ใจ วสันต์เวียนอยู่ในท้องสมุทรโศกา ดังนั้นบ่ออมตะก็จะติดตามต้นไม้ไปไม่ว่าที่ใดด้วย

แต่เพราะมันมีคุณสมบัติเชิงพื้นที่ ดังนั้นจึงไไม่สามารถเก็บใส่แหวนพลังได้

จะยกไปไหนมาไหนอย่างเปิดเผยก็คงทำไม่ได้

ถีเข่อซือไม่อยากถูกกลากกลับไปอยู่ในต้นไม้ ทำให้ต้นไม้ทั้งต้นสั่นด้วยแรงโกรธ

ซูเฉินเห็นดังนั้นก็สงสาร เอ่ยขึ้นว่า “ทำให้ต้นมันเล็กลงสิ ถีเข่อซือ”

ไร้เสียงตอบรับกลับมา

“ท่านฟังคำข้าจะดีกว่า แม้ท่านจะออกจากต้นไม้ไม่ได้ อย่างน้อยข้าก็พาท่านออกจากแดนอ้างว้างนี่ได้ ไม่อยากออกไปดูโลกภายนอกหรือ ? อย่างน้อยติดตามข้าก็จะได้เห็นโลกภายนอก แต่หากไม่ฟังแล้ว…”

ต้นไม้หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว พอมีขนาดเท่าต้นกล้าจึงหยุด ก่อนจะร่วงลงในฝ่ามือซูเฉิน

“ยอดเยี่ยม” ซูเฉินเอ่ยพร้อมยิ้มยินดี “ตอนนี้ผ้าเท่อลั่วเค่อได้สหายแล้ว”