บทที่ 62 ถอย
กลับมาด้านนอกตรงรูปปั้นขนาดใหญ่ ร่างเลียนแบบของซูเฉินที่ยืนอยู่ข้างกู่ชิงลั่วพลันสั่นไหว และหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับว่าเป็นเพียงภาพลวงตา
ชิงลั่วจึงรู้ว่าร่างหลักของซูเฉินกลับมาแล้ว
“เรียบร้อยแล้วหรือ ?” นางถาม
“เรียบร้อยแล้ว” ซูเฉินตอบรวบรัด
“เช่นนั้นก็รีบออกไปเถอะ”
“เราไม่รีบ อย่างไรก็ยังต้องอธิบายให้เผ่าสมุทรฟังอีก” ซูเฉินตอบ
พลางเปิดใช้ค่ายกลจับภาพแล้วหันไปทางรูปปั้น
จากนั้นรูปปั้นก็ระเบิดออก เปลวเพลิงกลืนกินมันจนแตกตออกเป็นเสี่ยง ๆ หินอ่อนกระเด็นไปทั่วสารทิศ
ซูเฉินได้เตรียมของสองสิ่งเพื่อรับมือกับท้องสมุทรโศกาไว้ก่อนหน้าแล้ว
หนึ่งในนั้นคือยาระเบิด
แผ่นบันทึกหลายแผ่นได้บันทึกภาพการระเบิดของรูปปั้นเอาไว้ เพื่อให้ซูเฉินใช้เป็นคำอธิบายกับเผ่าสมุทร อย่างไรในข้อตกลงเขาก็ไม่จำเป็นต้องให้อีกฝ่ายรู้ว่าท้องสมุทรโศกาคืออะไรอยู่แล้ว
“กรรร !”
แรงระเบิดขนาดใหญ่ทำให้พวกอสูรทะเลด้านล่างตื่นตัว ราชันจักรพรรดิอสูรจึงพากันขึ้นมาเหนือผิวน้ำแล้วร้องลั่นด้วยความโกรธอย่างน่ากลัว
เมื่อบ่ออมตะหยุดไหล ก็คงเป็นตัวเตือนให้พวกมันรู้ว่าเกิดเรื่องผิดปกติ แต่เพราะมันเกิดขึ้นเร็วมาก จึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ตอนนี้มันเห็นแล้วว่าธารน้ำอันล้ำค่าของพวกมันได้ถูกทำลายไปแล้ว
ราชันจักรพรรดิอสูรทั้งหลายปลดปล่อยกลิ่นอายน่าเกรงขามออกมาจนถึงขีดสุด พากันบุกขึ้นเข้าฝั่งมาจากทุกทิศทาง
ไม่ว่าบนฝั่งจะมีใครอยู่หรือไม่ค่อยว่ากันอีกที
เมื่อเห็นว่าการโจมตีใกล้เข้ามา นัยน์ตากู่ชิงลั่วก็เบิกกว้าง มังกรสุริยะเริ่มแผ่กลิ่นอายออกจากร่าง
กลิ่นอายดุดันเข้มข้นของเทพอสูรบรรพกาลปกคลุมพื้นที่โดยรอบ กดดันเหล่าราชันจักรพรรดิอสูรไว้
“ไปกัน !”
ซูเฉินเก็บค่ายกลบันทึกภาพกลับมาแล้วพากู่ชิงลั่วจากไป แม้สายเลือดมังกรสุริยะจะทรงพลังแต่ก็ไม่สามารถเปิดใช้ได้เป็นเวลานาน
เมื่อทั้งคู่เหินร่างจากไป กู่ชิงลั่วก็เก็บกลิ่นอายกลับคืน
ทันทีที่อำนาจมังกรสุริยะหายไป ราชันจักรพรรดิอสูรก็ตามไล่ล่าอย่างบ้าคลั่งต่อ
พวกมันไร้สติปัญญา ดังนั้นจึงทำอะไรเรียบง่ายหยาบโลน
หากศัตรูแกร่งกว่า พวกมันก็สั่นกลัว แต่หากอ่อนแอกว่า พวกมันก็จะไล่ล่า
เทพอสูรบรรพกาลที่แท้จริงนั้นแกร่งอยู่เหนือความคาดหมายตลอด ดังนั้นราชันจักรพรรดิอสูรย่อมไม่มีทางไล่ล่าเทพอสูรบรรพกาลตัวจริงแน่
แต่กู่ชิงลั่วไม่ใช่เทพอสูรบรรพกาลจริง ๆ
ดังนั้นเมื่อพลังสายเลือดมังกรสุริยะจางไป ราชันจักรพรรดิอสูรก็ตามไล่ล่าทั้งสองต่อ
เมื่อกู่ชิงลั่วเปิดใช้สายเลือดใหม่ พวกมันก็จะถอยไปแต่โดยดี
แต่เมื่อกู่ชิงลั่วเก็บกลิ่นอายกลับ พวกมันก็จะกลับมาไล่ล่าอย่างดุดันต่อ
ดังนั้นจึงเกิดการไล่ล่าที่ดูน่าประหลาดขึ้น ซูเฉินและกู่ชิงลั่วเหินร่างข้ามฟากทะเล ด้านหลังคืออสูรทะเลกลุ่มใหญ่ที่ไล่ล่าอยู่สองแบบคือ ไล่ตามมาอย่างดุดันและถอยไปด้วยหวาดกลัว ราวกับฝูงไฮยีน่าที่รอสบโอกาส ความโลภและความกลัวภายในตีกัน ราวกับการไล่ล่าของพวกสัตว์ก็มิปาน
ทว่าสายเลือดมังกรสุริยะของกู่ชิงลั่วก็มีพลังจำกัด ดังนั้นจะปล่อยกลิ่นอายออกไปตลอดก็คงไม่ได้
“ทนไว้ก่อน ! อีกเพียงนิดก็จะออกไปได้แล้ว” ซูเฉินเอ่ย
ร่างแยกของซูเฉินอยู่ที่ทางเข้า เมื่อเข้าใกล้แล้วเขาก็จะสามารถเคลื่อนย้ายนางไปพร้อมกับเขาได้เลย
ทว่า จู่ ๆ ซูเฉินก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป “แย่แล้ว !”
กู่ชิงลั่วสะดุ้ง “อะไรหรือ ?”
“ร่างแยกข้าถูกทำลาย” ซูเฉินตอบเสียงขรึม
กู่ชิงลั่วเองก็เปลี่ยนสีหน้า แต่ไม่ใช่เพราะห่วงตนเอง “กองเรือตกอยู่ในอันตรายหรือไม่ ?”
ร่างแยกของซูเฉินรออยู่ภายในตำหนักลอยเพื่อความปลอดภัย หากมันที่อยู่ภายในถูกทำลายแล้ว ไม่ใช่ว่ากองเรือกำลังตกอยู่ในอันตรายหรอกหรือ?
ซูเฉินกลับส่ายหน้า “ไม่ ไม่ได้ถูกราชันจักรพรรดิอสูรสังหาร”
“เช่นนั้น……”
“ถูกศิษย์ในนิกายคนหนึ่งสังหาร !” ซูเฉินตอบ
ร่างแยกของซูเฉินเชื่อมกับร่างจริงผ่านพลังจิต เขาจึงเห็นชัดเจนว่ามีศิษย์ในนิกายคนหนึ่งลอบเข้ามาสังหารร่างแยกนั้น
ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตล้วนมีความซื่อสัตย์ภักดี ที่เลือกมาเป็นทหารส่วนตัวของเขายิ่งถูกเลือกมาจากพวกหัวกะทิ
กระนั้นก็ยังมีคนเข้ามาลอบโจมตีเขาจนได้
เผ่าวิญญาณ ?
หรือเป็นสายลับจากตระกูลสายเลือดชั้นสูง ?
ซูเฉินไม่รู้
ที่รู้คือศัตรูสบโอกาส จังหวะที่เขากำลังไร้การป้องกันอย่างถึงที่สุดเข้าโจมตีได้พอดี
ตอนนี้ราชันจักรพรรดิอสูรยังตามล่า ทว่าสายเลือดมังกรสุริยะของกู่ชิงลั่วเริ่มจะหมดแล้ว เช่นนี้พวกเขากลับไปไม่ถึงกองเรือแน่
รู้ดังนี้ ซูเฉินจึงเอ่ย “ตอนนี้ทำได้เพียงใช้ข้าล่อราชันจักรพรรดิอสูรพวกนั้นไป”
“ไม่ได้…” กู่ชิงลั่วอยากจะเอ่ยคำ หากแต่ถูกซูเฉินขัดเสียงเข้ม
“อย่าพูดอะไรไร้สาระเลย พาร่างแยกข้าแล้วจากไปเสีย เช่นนี้ข้าจะล่อมันไปได้ แล้วจะได้หลบหนีออกมา เราไร้ทางเลือกอื่นแล้ว”
กู่ชิงลั่วใจสั่นด้วยรู้ว่าซูเฉินพูดจริง
สายเลือดมังกรสุริยะของกู่ชิงลั่วทำให้ราชันจักรพรรดิอสูรไม่ตามไล่ล่า ก็หมายความว่าพวกมันจะตามไปไล่ซูเฉินแทน ดังนั้นหากนางพาร่างแยกของซูเฉินออกไปด้วยและหนีโดยเร็ว เขาก็จะมีโอกาสหลบหนีได้
นางจ้องตาเขาอย่างลึกล้ำ “เจ้าระวังตัวด้วย ได้ยินไหม ? อย่าให้เกิดเรื่องเล่า”
ซูเฉินยิ้มบาง “อย่าห่วงเลย แม่น้ำกว้างกว่านี้ก็ข้ามมาแล้ว เทียบกับธารน้อยเช่นนี้จะเป็นอะไร”
ใช่ เรื่องท้องสมุทรโศกาก็แก้ไขได้แล้ว หนีออกจากหุบเหวจะไปยากกว่าได้อย่างไรกัน ?
กู่ชิงลั่วยังจ้องเขาไม่ละสายตา ก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปประทับจูบอ่อนโยน
ซูเฉินมอบเลือดบางส่วนให้นางที่ปลดปล่อยสายเลือดมังกรสุริยะ และทะยานบินจากไป ส่วนซูเฉินบินจากไปอีกทาง
เขาจะล่อพวกมันไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
เป็นดังคาด ราชันจักรพรรดิอสูรไม่กล้าไล่ตามกู่ชิงลั่ว แต่เปลี่ยนมาไล่ล่าเขาแทน
ซูเฉินไม่มีกลิ่นอายเช่นนาง แต่เขารวดเร็วกว่า ความสามารถในการคุมพลังสูญสูงกว่า ทุกครั้งที่พวกมันเข้ามาใกล้เขาสักหน่อย เขาก็จะใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายเคลื่อนไปไกลนับพันจั้ง จากนั้นก็เหินร่างต่อจนกว่ามันจะเข้าใกล้อีกครั้ง
กระนั้นระยะห่างเท่านั้นก็นับเป็นเพียงไม่กี่ก้าวของราชันจักรพรรดิอสูร ไม่นานก็ไล่ตามทัน
ดังนั้นจึงได้ใช้งานภูติลั่นแสงขึ้นมา
ซูเฉินกระจายเลือดไปรอบตัวอย่างใจเย็น สร้างร่างแยกแล่นออกไปทุกทิศ แม้จะหมายความว่าเขาเองก็ต้องวิ่งวนเป็นวงกลมก็ตาม แต่มีหรือจะต้องสนใจ เพราะชายหนุ่มฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่กู่ชิงลั่วแล้ว
แต่ไม่นานวิธีนี้ก็ใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป
แม้ราชันจักรพรรดิอสูรจะด้อยสติปัญญา แต่ก็มีสัญชาตญาณในการต่อสู้ขั้นเบื้องต้น
จึงไม่แปลกที่พวกมันจะพากันไล่ตบฝูงยุงที่สร้างความรำคาญให้
โดยเฉพาะเมื่อยุงตัวหนึ่งใช้ยุงอีกหลายตัวมาก่อกวน
ทุกครั้งที่ซูเฉินสร้างร่างแยกออกมา ราชันจักรพรรดิอสูรสักตัวก็จะปล่อยการโจมตีที่กินวงกว้างออกมา และทำลายร่างแยกทั้งหมดของซูเฉิน
ร่างแยกของซูเฉินยังไม่ทันได้หนีพ้นระยะโจมตีด้วยซ้ำก็ถูกทำลาย หมายความว่าเขาใช้วิธีหนีหลบเลี่ยงพวกมันไม่ได้อักต่อไป
ซูเฉินจึงได้แต่วิ่งหนี ทว่าพวกมันก็เริ่มปรับตัวได้ มันแยกฝูงกัน พยามล้อมเขาไว้ ตัดหนทางถอย ราวกับฝูงหมาป่าล้อมเหยื่อที่เป็นลูกแกะตัวน้อยน่าสงสาร
จังหวะนั้น ซูเฉินก็เริ่มหมดพลังเช่นกัน
แม้จะสามารถเคลื่อนกายไปในระยะหนึ่งได้ แต่เมื่อใช้ติดต่อกันก็ทำให้เกิดภาระต่อร่าง สัมผัสได้ถึงความเหนื่อยล้าที่สะสมอยู่ภายใน ยิ่งใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกมึนงงมากยิ่งขึ้น
ทันใดนั้นชายหนุ่มก็สัมผัสบางอย่างได้ เขาไม่สามารถใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายได้อีกต่อไปแล้ว
เป็นตอนนั้นอีกเช่นกันที่สัมผัสได้ว่า การเชื่อมต่อของเขากับร่างแยกถูกตัดขาด
กู่ชิงลั่วทะยานร่างอย่างรวดเร็ว ใช้ความเร็วจนขีดสุด
เมื่อหญิงสาวเห็นว่าจากมาไกลพอสมควรจึงเอ่ยกับร่างแยกว่า “ซูเฉิน ไกลพอแล้ว เจ้ากลับมาได้แล้ว”
ผิดคาดที่ร่างแยกซูเฉินนั้นเมินนาง
กู่ชิงลั่วชะงัก “ซูเฉิน เกิดอะไรขึ้นหรือ ?”
ครู่หนึ่งร่างแยกจึงลืมตาขึ้น “ข้าสัมผัสร่างจริงไม่ได้แล้ว”
“ว่าไงนะ ? เป็นไปได้อย่างไร ?” หญิงสาวชะงัก
“พื้นที่นี้… มีบางอย่างผิดปกติ” ร่างแยกตอบ
ร่างแยกของซูเฉินแหงนหน้ามองฟ้าเบื้องบน
กู่ชิงลั่วแหงนหน้ามองตาม เห็นใยแมงมุมปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ยิ่งระยะเวลาผ่านไปมันก็ยิ่งมีจำนวนมากขึ้นทบเท่าทวีคูณ
“พื้นที่นี้… หรือจะเป็นท้องสมุทรโศกา ?” หญิงสาวเข้าใจทันที
ร่างแยกพยักหน้า “ใช่แล้ว หรือจะพูดให้ตรงจุดก็คือการที่รูปปั้นถูกทำลาย มันเป็นแก่นของแดนพลังสูญ เมื่อถูกทำลาย ทั้งแดนก็สูญเสียความสมดุล เริ่มแตกสลาย หากเป็นเช่นนั้น การเชื่อมต่อกับร่างแยกก็จะถูกสะบั้นไปด้วย”
“แล้วจะทำอย่างไร ? ไม่มีเจ้าแล้วร่างจริงก็กลับมาไม่ได้สิ !” กู่ชิงลั่วเอ่ยเสียงเป็นกังวล
ร่างแยกกลับตอบเสียงไร้อารมณ์ “ตอนนี้เรื่องสำคัญไม่ใช่เรื่องนี้ เจ้าต้องรีบกลับไปเตือนกองเรือให้ถอยทัพ หากถอยไม่ทันแดนพลังล่มสลาย ทุกคนก็จะตกอยู่ในอันตราย”
“แล้วเจ้าเล่า ? เจ้าจะทำอย่างไร ?” กู่ชิงลั่วรู้สึกเหมือนกำลังสิ้นสติ
หากไร้กองเรือคอยดึงทางออกเอาไว้ แล้วซูเฉินจะกลับออกมาอย่างไร ? เขาจะผ่านทางออกมาได้หรือไม่?
ทว่าร่างแยกกลับยิ้มสงบ “ไม่ต้องห่วง หนักหนากว่านี้ข้าก็ผ่านมาแล้ว”
กู่ชิงลั่วยังอยากเอ่ยคำ แต่ถูกร่างแยกขัด “อย่าทำให้ทุกคนต้องผิดหวัง เจ้าไม่ใช่แค่ภรรยาของข้า แต่เป็นภรรยาเจ้านิกายไร้ขอบเขต เป็นภรรยาคนที่สำคัญที่สุดของนิกายเชียวนะ”
“ข้าอยากเป็นเพียงภรรยาเจ้าเท่านั้น” กู่ชิงลั่วเอ่ยเสียงกระซิบ น้ำตาเริ่มไหล
“เจ้าเป็นอยู่แล้ว และเป็นตลอดมา” ร่างแยกปาดน้ำตาให้นางอย่างอ่อนโยนขณะที่เงาร่างเริ่มเลือนหาย
เมื่อขาดการเชื่อมต่อกับร่างจริง ร่างแยกจึงไม่มั่นคงและสุดท้ายก็จะหายไป
กู่ชิงลั่วยังคงมุุ่งหน้าไปยังทางออก ทว่าซูเฉินที่นางรั้งร่างกอดไว้กลับร่างจางลงเรื่อย ๆ
สุดท้ายเมื่อก็มาถึงทางออกที่การต่อสู้ดุเดือดยังดำเนินอยู่
พร้อมกันนั้น ร่างแยกก็รั้งไม่ไหวอีกต่อไป หายไปในอ้อมกอดนาง
หญิงสาวรู้สึกราวกับว่า ซูเฉินตัวจริงหายไปจากอ้อมกอด ในใจเต็มไปด้วยความเศร้าโศกโศกา
แต่ครู่ต่อมา ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตก็ตะโกนขึ้น “ภรรยาท่านเจ้านิกายกลับมาแล้ว ! นางกลับมาแล้ ว! ท้องสมุทรโศกาถูกทำลายแล้วเป็นแน่ !”
“เฮ !!!”
เสียงเฮลั่นเริ่มดังขึ้นมาจากหมู่คน
มันเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความปีติยินดี เต็มไปด้วยความปรีดาเมื่อสามารถเอาชนะสงครามอันยากลำบากมาได้
ได้ยินเสียงเฮลั่นแล้ว กู่ชิงลั่วจึงเข้าใจ
นางปาดน้ำตาแล้วก็เหินร่างไปยังกองเรือ เอ่ยเสียงดังกังวาน “ข้าคือกู่ชิงลั่ว ท้องสมุทรโศกาได้ถูกทำลายแล้ว ภารกิจของเราเสร็จสิ้นแล้ว ! ตอนนี้ข้าขอสั่งการ… ให้พวกเราทุกคนถอย !”