เขายังไม่ทันจะพูดจนจบ พอเห็นแววตาที่กวาดมาของซือเป่ย ต้าซือมิ่งก็ต้องเก็บคำพูดที่ตระเตรียมเอาไว้กลืนกลับลงไปในท้องดังเดิม
ซือเป่ยขมวดคิ้วมุ่น นัยตาปรากกฏแววเย็นยะเยือกขึ้นมาจางๆเส้นหนึ่ง
“ก็แค่นังเด็กน้อยจากโลกเบื้องล่างคนหนึ่ง ก็สามารถทำให้เทพบนสวรรค์อย่างเจ้าหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้?”
เขาหัวเราะเสียงเย็นชา ฝ่ามือใหญ่ตบลงไปบนบ่าของต้าซือมิ่ง “ซือมิ่ง เจ้ามันไม่คู่ควรจะได้เป็นเทพ”
ต้าซือมิ่งร่างสั่นสะท้าน ไม่กล้ากล่าววาจาใดๆออกมาอีก
เทพที่ตำแหน่งต่ำต้อยที่สุดอย่างพวกเขา เดิมทีก็ไม่มีคุณค่าใดๆอยู่แล้ว
แต่ว่าในใจของเขาไม่อาจยอมรับ ในหกภพภูมิมิว่าผู้ใดก็ไม่ต้องการเป็นมดปลวกที่ต่ำต้อยที่สุด ใครๆก็ล้วนต้องการปีนป่ายให้สูงขึ้นไปด้วยกันทั้งนั้น
มิใช่ว่าเพราะเขาต้องการป่ายปีนขึ้นไป จึงได้เอาชีวิตมาเสี่ยงเช่นนี้
แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเหมือนว่ากำลังจะถูกซือเป่ยทอดทิ้งอย่างไม่สนใจไยดี
ยามนี้ในใจของเขามีแต่ความกังวลเต็มไปหมด แววตาที่หันไปหาซือเป่ยยิ่งเต็มๆไปด้วยความหวาดระแวง
“นายท่าน ถึงแม้ว่าผู้น้อยจะใช้การไม่ได้ แต่ตอนอยู่ที่โลกเบื้องล่างก็ทำงานให้ท่านไปไม่น้อย หากว่าเทียนตี้ทรงทราบเรื่องราวเหล่านั้นขึ้นมาล่ะก็….”
พอเขาเอ่ยประโยคนั้นออกมา ซือเป่ยก็หันมาจ้องเขาแวบหนึ่ง
“นี่เจ้ากำลังข่มขู่ข้ารึ?”
“ผู้น้อยไม่กล้า เพียงแต่อยากจะขอร้องให้เทพสงครามโปรดปกป้องวิญญาณของข้าสักครั้ง หากว่าผู้น้อยต้องแตกสลายสาบสูญไป ก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ดีกับท่านเลย”
พอได้ยินประโยคนั้น แววตาของซือเป่ยก็กลายเป็นเข็มที่คมกริบ
เทพบนแดนสวรรค์แต่ละคนล้วนเจ้าเล่ห์เพทุบายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แม้แต่เทพที่ต่ำต้อยอย่างต้าซือมิ่ง ก็ยังรู้จักดีดลูกคิด วางหมากบนกระดาน แถมตอนนี้ยังกล้าวางแผนเล่นงานเขาแล้วเช่นกัน
ที่ด้านนอกของตำหนักซือมิ่ง ตู๋กูซิงหลันยืนอย่างมั่นคงอยู่บนศีรษะของเยี่ยเฉิน มุมปากของนางยกยิ้มเล็กน้อย
ที่จริงยันต์ติดตามของนางถูกค้นพบเข้าแล้ว แต่ว่าพวกเขากลับมิได้ทำลายมันทิ้งไปในทันที หากแต่ปล่อยเอาไว้ที่ข้างกายจนถึงตอนนี้
กลายเป็นว่าสถานการณ์ภายในเป็นเช่นไร ยันต์โลหิตของนางคอยรายงานกลับมาอยู่ตลอดเวลา
แม้แต่คำพูดระหว่างต้าซือมิ่งและซือเป่ย นางก็ได้ยินโดยไม่มีตกหล่นไปแม้แต่คำเดียว
ที่นางมาตะโกนแหกปากอยู่ด้านนอกเช่นนี้ ก็เพื่อทุ่มแรงกดดันทั้งหมดลงไปที่ต้าซือมิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือเทพ เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่สับสนและคับขัน ก็มักจะกระทำเรื่องที่หุนหันพลันแล่นออกมา
เห็นหรือไม่ว่า ต้าซือมิ่งติดกับเรียบร้อยแล้ว?
อ้อ นางยังได้รับข่าวสารที่สำคัญมากอีกประการหนึ่ง พฤติกรรมของซือเป่ยที่โลกเบื้องล่างเหล่านั้น ตี้เสียยังไม่ทรงรู้เรื่อง
เดิมทีนางคิดว่าตี้เสียเป็นคนบงการอยู่เบื้องหลังเสียอีก
ดูท่าแล้ว เทพสงครามผู้นี้จะมีความทะเยอทะยานอยู่ไม่น้อย
“ต้าซือมิ่ง เจ้าก็รู้ว่าข้าต้องการอะไร” ที่ด้านนอกตำหนักซือมิ่ง ตู๋กูซิงหลันยังคงเปิดฉากพูดจาต่อไป เพียงแต่ว่าครั้งนี้ นางกลับใช้วิธีถ่ายทอดเสียงไปสู่ต้าซือมิ่งโดยตรง
ต้าซือมิ่งถูกเสียงที่อยู่ๆก็ดังขึ้นมาในสมองทำเอาแตกตื่นขึ้นมา
เสียงแหลมๆของตู๋กูซิงหลันทำให้เขาได้รับความเจ็บปวด แค่เสียงที่ทะลวงเข้าไปทางหูก็ต้องนับว่าแย่มากแล้ว แต่ว่าตอนนี้พวกมันถึงกับชอนไชเข้ามาในสมอง
วิชาส่งสำเนียงชนิดนี้ เป็นศาสตร์ลับแขนงหนึ่ง ที่ซื่อมั่วถ่ายทอดให้นางโดยตรง ดูไปคล้ายง่ายๆ แต่ว่าที่จริงแล้วมีเคล็ดลับมากมาย อีกทั้งยังมีข้อเรียกร้องต่อคุณสมบัติของผู้ฝึกฝนอีกด้วย
โดยเฉพาะการส่งเสียงไปยังผู้ที่ไม่เคยอยู่ใกล้ชิดมาก่อน ยิ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก
ต้าซือมิ่งคิดไม่ถึงเลยว่า ตู๋กูซิงหลันที่เมื่อครู่ยังเอ็ดตะโรก่อความวุ่นวายใหญ่โต ตอนนี้จะลอบส่งเสียงมาถึงเขาอย่างลับๆ?
เขาแอบมองดูซือเป่ยแวบหนึ่ง แต่ซือเป่ยกลับมิได้รู้สึกถึงเสียงที่ตู๋กูซิงหลันส่งมาถึงเขาอย่างลับๆนี้เลย
หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะมังกรทั้งเก้าส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายอยู่ที่ด้านนอก ทำให้ผู้ที่ได้ยินต่างก็ต้องสับสนร้อนรนจนคิดอะไรไม่ออก
“ที่ข้าต้องการก็แค่ยาถอนพิษเท่านั้น ยาขวดหนึ่งสำหรับเจ้าแล้ว ไม่เจ็บไม่ปวดอะไร”
“แต่ว่าที่ซือเป่ยต้องการ คือทำลายวิญญาณของเจ้า”
ตู๋กูซิงหลันเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชา ความจริงที่ได้รู้โดยบังเอิญนี้ ช่วยให้งานของนางง่ายขึ้นมาก
“หากเจ้าไปกับข้า ข้าจะละเว้นทางรอดให้เจ้าสายหนึ่ง”
เมื่อเป็นเช่นนี้ต้าซือมิ่งก็ไม่เหลือความมั่นใจในตนเองอีกแล้ว รวมทั้งยังไม่แน่ใจอีกด้วยว่าตู๋กูซิงหลันคิดอะไรอยู่กันแน่?
วิธีการเช่นนี้ของนาง ทำให้เขาสับสนไปหมด
เมื่อมียันต์ติดตามอยู่ข้างๆ ทำให้ตู๋กูซิงหลันรู้แต่แรกแล้วว่าซือเป่ยมาวางค่ายกลตาข่ายฟ้าดินอยู่ที่ตำหนักต้าซือมิ่ง รอให้นางกระโดดลงไปติดกับ
แถมตลอดทางมานี้ยังไม่มีเทพองค์ใดออกมาขัดขวางนาง
สมองน้อยๆที่แสนจะชาญฉลาดของตู๋กูซิงหลันก็คาดเดาอะไรๆได้หลายอย่างแล้ว
และไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุใด อย่างน้อยๆสถานการณ์ในตอนนี้ก็สามารถบอกได้ว่า เทียนตี้ผู้นั้นยังไม่คิดจะลงมือกับนาง
แม้แต่ซือเป่ยก็ยังต้องแอบมาวางหลุมพรางในตำหนักซือมิ่งอย่างเงียบๆ รอให้นางกระโดดเข้าไปเอง
แต่นางกลับไม่ยอมบุกเข้าไป แถมยังสร้างความอึกทึกคึกโครมจนเทพทั้งหลายรู้กันไปทั่ว
ก็น้ำเนี่ย มันต้องกวนให้ขุ่นเสียก่อนจึงจะจับปลาได้มิใช่หรือ?
แถมตอนนี้ยังได้รู้แล้วว่า ซือเป่ยแอบกระทำเรื่องบางประการลับหลังเทียนตี้ และต้าซือมิ่งผู้นี้ก็ยังเป็นพยานบุคคลอีกด้วย
เช่นนี้นางจะต้องเอาวิญญาณของต้าซือมิ่งไปด้วย ได้ทั้งยาแก้พิษ ได้ทั้งลูกไล่ของซือเป่ยเอาไว้ในมือ
ฮึ มีแต่ได้กับได้
ภายในตำหนักซือมิ่ง ซือเป่ยมองดูต้าซือมิ่งที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าด้วยแววตาจุดประกายสังหาร
ขลุกอยู่ในแดนสวรรค์มาเนิ่นนาน ใครบ้างที่ไม่เจ้าเล่ห์ เขาผ่านการฝึกฝนบำเพ็ญเพียรมานานปี มีหรือจะดูนิสัยคนใจคดไม่ออก?
ต้าซือมิ่งย่อมรู้สึกได้ถึงไอสังหารจากซือเป่ยอยู่แล้ว
เมื่อครู่ที่เขาพูดกับซือเป่ยไปเช่นนั้น ก็เป็นเพราะว่ารีบร้อนจึงจ่ายยาผิดไป
จริงอยู่ว่าเขารู้จุดออกของซือเป่ย แต่ว่าเขายังจะกล้าเปิดเผยออกไปด้วยหรือ?
ไม่กล้า!
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องกลายเป็นฝ่ายหักหลังเทพสงคราม ดังนั้นจึงไม่เคยเตรียม ‘ทางรอด’ใดๆเอาไว้เลย
ตอนที่พูดออกไปก็เพียงแต่ต้องการจะข่มขู่ซือเป่ยเท่านั้น
เมื่อครู่เขารีบร้อนจนเกินไป พอมาคิดๆดู ก็เป็นไปได้ว่าซือเป่ยอาจจะสังหารเขาเพื่อเปิดปาก
พอพึ่งจะคิดได้ ก็เห็นในมือของซือเป่ยปรากฏลำแสงสว่างขึ้นมากลุ่มหนึ่ง
แสงสว่างนั้นปกคลุมอยู่เหนือศีรษะของเขา เหมือนกับดาบที่กำลังจะฟันลงมา
“บนแดนสวรรค์แห่งนี้ ขาดเจ้าไปคนหนึ่ง ก็ไม่มีผู้ใดสนใจ และยิ่งไม่มีใครล่วงรู้”
ทันทีที่สิ้นเสียง แสงสว่างกลุ่มนั้นก็ฟาดลงมา
รอบกายยังมีนักรบสวรรค์อยู่ไม่น้อย แต่ว่าทั้งหมดไม่มีผู้ใดสนใจเขาเลย
ความเห็นใจนะหรือ? นั่นจะไปมีได้อย่างไร บนแดนสวรรค์ไม่มีผู้ใดเห็นใจผู้อื่นด้วยกันทั้งนั้น หากไม่มีปัญญาเอาตัวรอด ย่อมต้องถือว่าเป็นความผิดของตนเอง
ในเวลาเดียวกัน ตู๋กูซิงหลันก็มิได้อยู่เฉยๆ
สองมือของนางประกบกันเป็นปางมือ ในมือมียันต์โลหิตอยู่ใบหนึ่ง บนยันต์สีแดงมีอักษร ‘เรียกวิญญาณ’ สองตัว
นางท่องคาถากำกับออกมา ส่งยันต์โลหิตใบนั้นเข้าไปในตำหนักซือมิ่งอย่างรวดเร็ว
………………..
พระตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยน
พอฮว๋ายยู่กลับมา สีหน้าก็ไม่สู้ดี
เดิมทีนางคิดจะอ้างเรื่องร่างกายรู้สึกไม่ดี ขอให้ตี้เสียทรงรั้งอยู่ข้างกาย
แต่ว่าตี้เสียกลับทรงเรียกแพทย์สวรรค์มาตรวจร่างกายของนาง พอแน่ใจว่าไม่มีเรื่องใด ก็อยู่เป็นเพื่อนนางเพียงครู่เดียว จากนั้นก็ออกไป
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตี้เสียไม่ทรงเคยปฏิบัติต่อนางเช่นนี้มาก่อนเลย
ทั้งๆที่พระองค์ทรงทราบดีว่านางต้องการให้ทรงประทับอยู่ด้วย
พอคิดว่าพระองค์ทรงปล่อยให้สตรีผู้นั้นก่อความวุ่นวายบนแดนสวรรค์ได้ถึงขนาดนั้น ฮว๋ายยู่ก็ยิ่งมีโทสะมากกว่าเดิม
“สถานการณ์ในตอนนี้เป็นเช่นไรแล้ว?” นางสอบถามขณะเอนกายอยู่บนเตียงขนหนังเตียว (ตัวมิ้งค์) ที่นุ่มลื่น
เทพธิดาที่รับใช้อยู่ข้างกายส่งกระจกใบหนึ่งที่มีขนาดเพียงฝ่ามือให้กับนาง
ทันทีที่พลังวิญญาณเคลื่อนไหว บนกระจกก็ปรากฏภาพของตำหนักซือมิ่งกง
“ทูลเทียนโฮว่ ตอนนี้เหล่าเทพทั้งหลายต่างก็ไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหววู่วาม สตรีจากโลกเบื้องล่างผู้นั้นโอหังอย่างที่สุด ตอนนี้นางกำลังไปก่อเรื่องที่ตำหนักซือมิ่งแล้วเพคะ”
เทพธิดาผู้นั้นกราบทูลด้วยความขุ่นเคือง “พวกบ่าวก็ไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมเทียนตี้ถึงได้ทรงปล่อยเอาไว้โดยไม่สนพระทัยเช่นนี้”
…………………