ตอนที่ 1074 คนสำคัญ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 1074 คนสำคัญ

“ต้าเถียน อาการบาดเจ็บจะต้องใช้เวลาฟื้นตัวร้อยวัน เจ้าขึ้นไปนอนพักผ่อนบนเตียงเถิด จะได้หายขาดจากอาการบาดเจ็บ ! ”

หลิวต้าเถียนนั่งสานตะกร้าอยู่ในห้องโถง เขาแบะปากพลางเอ่ยว่า “ท่านพ่อ…ข้ามิเป็นอันใดแล้ว ปีนี้พืชผลมิค่อยดีเท่าใดนัก ข้าเลยตัดไม้ไผ่มาสานตะกร้า ประเดี๋ยวจะลองนำไปขายดู”

หลิวอีเกินเหลือบมองหลิวต้าเถียนพลางเอื้อมมือไปบีบต้นขาของบุตรชาย เอียงศีรษะแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “หายแล้วจริง ๆ หรือ ? ”

“ข้าหายแล้วจริง ๆ โชคดีที่ดาบนั้นฟันมิโดนกระดูกและเส้นเอ็น ข้าได้ทำตามคำเอ่ยของท่านหาสถานที่ที่เหมาะสมแล้วแสร้งทำเป็นตาย”

“ในตอนนั้นการต่อสู้จบลงแล้ว พวกเขาพบว่าข้ายังมิตาย ท่านพ่อ…ท่านรู้หรือไม่ในตอนนั้นข้ากลัวว่าจะถูกพวกเขาใช้ดาบปลิดชีพข้าเสีย ทว่าผลที่ตามมาคือ…”

หลิวต้าเถียนยกชายเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อที่ใบหน้า ยกยิ้มแล้วเอ่ยต่อว่า “ผลที่ตามมาคือพวกเขานำทหารของราชวงศ์เหลียวมารวมเป็นกลุ่มซึ่งหลงเหลือเพียง 100,000 นาย แล้วท่านแม่ทัพแห่งต้าเซี่ยผู้นั้นก็เอ่ยหนึ่งประโยคท่ามกลางสายฝน จากนั้นก็ปล่อยตัวพวกข้าทั้งหมดออกมา ท่านว่านี่มันแปลกหรือไม่เล่า ? ”

นี่มันน่าแปลกใจมากยิ่งนัก !

หลิวอีเกินนั่งลงที่ธรณีประตู จุดยาสูบแล้วจ้องมองไปยังบุตรชายอีกครา จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ได้ยินชัดหรือไม่ว่าท่านแม่ทัพผู้นั้นเอ่ยว่าเยี่ยงไร ? ”

“ในตอนนั้นฝนตกหนักไปหน่อย มีเสียงฝนคอยรบกวนข้าเลยได้ยินมิค่อยชัด ทว่าก็พอจับใจความได้ว่า…ข้าได้ยินท่านแม่ทัพผู้นั้นเอ่ยว่าให้พวกเรากลับไปใช้ชีวิตให้ดี…แล้วยังเอ่ยอีกว่าชีวิตของพวกเราจะดีขึ้นอย่างแน่นอน เยี่ยงไรเสียความหมายก็คือราชวงศ์เหลียวจะถูกทำลายอย่างแน่นอน จากนั้นทุกอย่างจะดีขึ้นในอนาคต…”

หลิวต้าเถียนจ้องมองไปที่พ่อของเขา ดวงตาเต็มไปด้วยความปรารถนาพลางเอ่ยถามว่า “ท่านพ่อ… ท่านคิดว่ามันจะดีขึ้นจริง ๆ หรือ ? ”

หลิวอีเกินสูบยาสูบเข้าลึก จากนั้นก็พ่นควันออกมาพลางตอบลูกชายว่า “ผู้ใดจะไปรู้เล่า ? หวังแค่ว่ามันจะดีขึ้นกว่าแต่ก่อนก็เพียงพอแล้ว”

ในขณะนั้นหลิวซื่อภรรยาของเขาก็ถือตะกร้าที่ใช้ซาวข้าวเดินเข้ามา “บุตรีของตระกูลของผู้เฒ่าหยูเก็บใบชาป๋อเหอมาฝาก นางเอ่ยว่ามันมีธาตุเย็นให้ลองแช่ดื่มดู…”

เมื่อเอ่ยจบ หลิวซื่อก็เดินไปหาหลิวอีเกิน จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบว่า “ตาเฒ่า…เมื่อครู่ข้าเห็นมีรถม้าคันใหญ่มาหยุดอยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้านของพวกเรา มีม้า 8 ตัวลากรถม้าเพียงคันเดียว แม้แต่นายอำเภอซุนที่เขตเหอเย่ของพวกเราก็ใช้ม้าเพียงตัวเดียวในการลากรถม้า เกรงว่าคงจะเป็นคนสำคัญที่เดินทางมาที่นี่”

เมื่อหลิวอีเกินได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “แม้แต่หลานชายของนายอำเภอซุนก็ยังมิเต็มใจเข้ามาเหยียบในหมู่บ้านรกร้างของพวกเราเลย แล้วคนสำคัญระดับประเทศจะชายตามามองหมู่บ้านของพวกเราได้เยี่ยงไรกัน…เจ้าคิดอันใดอยู่กัน ? ”

“ที่เจ้าเอ่ยมาก็ถูก คงเป็นเพราะสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว คนผู้นั้นคงจะหยุดพักรับลมเย็นที่ต้นหยางหน้าหมู่บ้านก็เท่านั้น”

“เช่นนั้นประเดี๋ยวข้าจะเอาใบชาป๋อเหอนี้ไปต้มให้กับพวกเจ้า”

……

……

ภายใต้แสงสุริยาที่แผดเผา ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ที่ทางเข้าของหมู่บ้านโดยสวมชุดผ้าลินินสั้น ๆ พลางแกว่งพัดกระดาษในมือไปมา

หมู่บ้านนี้ช่างเงียบสงบมากยิ่งนัก มิมีเสียงร้องของไก่และสุนัข มีเพียงเสียงน่ารำคาญของจักจั่นเท่านั้น

หลี่ซิ่วไฉอาศัยอยู่ที่ทางเข้าด้านทิศใต้ของหมู่บ้าน เขาซ่อนตัวอยู่ในบ้าน ลอบมองออกไปอย่างประหม่าผ่านรูหน้าต่างเล็ก ๆ มีม้า 8 ตัวลากรถม้าเพียงคันเดียว ส่วนรถม้าคันอื่น ๆ ใช้ม้า 6 ตัวลาก !

รถม้าคันนั้นที่ใช้ม้าลาก 8 ตัว มองดูแล้วช่างสง่างามมากยิ่งนัก แต่ตามกฎของราชวงศ์เหลียวในอดีต มีเพียงฮ่องเต้แห่งราชวงศ์เหลียวเท่านั้นที่สามารถนั่งในราชรถมังกรได้… ทว่ารถม้าคันนั้นดูมิเหมือนราชรถของฮ่องเต้เลยนี่

หลี่ซิ่วไฉมิเคยเห็นลักษณะของราชรถมังกรมาก่อน เขาคิดว่ามันจะต้องหรูหรามากเป็นแน่ แม้ว่ารถม้าคันนี้จะใหญ่ ทว่าก็ยังห่างไกลจากความหรูหราอยู่บ้าง

ดังนั้น…นี่คงจะเป็นคนสำคัญ !

เพราะเยี่ยงไรเสีย…เขาก็มีทหารคอยคุ้มกันอยู่มากมาย ดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะมีตำแหน่งสำคัญที่ต้าเซี่ย… หรือว่าจะเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่องค์จักรพรรดิส่งมาตรวจการเป็นพระเนตรพระกรรน ?

หลิวจิ่นเงยหน้าขึ้นมองสุริยาที่สาดแสงร้อนระอุบนท้องนภา จากนั้นจึงรีบเอาร่มกระดาษมากางให้กับฟู่เสี่ยวกวน “ฝ่าบาทอากาศช่างร้อนมากยิ่งนัก พวกเราไปรับลมที่ต้นหยางกันก่อนดีหรือไม่ ? ไทเฮาและเหล่าพระสนมล้วนดื่มน้ำเพื่อคลายความร้อนอยู่ที่นั่น ฝ่าบาทอยากดื่มน้ำเพื่อคลายความร้อนสักหน่อยหรือไม่ขอรับ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางจ้องมองไปยังหมู่บ้านที่ดูเหมือนจะเงียบเหงาวังเวงแห่งนี้อยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ส่วยหัวช้า ๆ พลางเอ่ยออกมาว่า “ไปดูทุ่งนากันก่อนเถิด”

“ด้วยวิกฤตภัยแล้ง ทำให้น้ำในแม่น้ำล้วนแห้งขอดทั้งหมด คาดว่าฝนจะมิตกเป็นเวลานาน เมื่อเป็นเช่นนั้นพืชผลในทุ่งนาก็จะได้รับความเสียหายมิน้อย”

หลังจากเอ่ยจบ…ฟู่เสี่ยวกวนก็หันหลังแล้วเดินไปที่ทุ่งนานอกหมู่บ้านทันที เมื่อหลิวจิ่นเห็นดังนั้นก็ตกตะลึงขึ้นมาทันใด จากนั้นก็รีบวิ่งตามไปทันที เป่ยหวังฉวนเหลือบมองเขาแล้วยกยิ้มน้อย ๆ ออกมา

เขาดื่มน้ำเข้าไปอึกใหญ่ จากนั้นก็เดินตามหลังฟู่เสี่ยวกวนไปติด ๆ

สถานการณ์ใต้ต้นหยาง

สวี่หยุนชิงจ้องมองไปที่ชายอ้วนพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “จะมิเอ่ยอันใดสักหน่อยหรือ ? ”

“จะให้เอ่ยอันใดเล่า ? ”ชายอ้วนเอ่ยถามเสียงแผ่ว

“จะให้เอ่ยอันใดเล่า ? ที่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยถามก็เพราะเขามิกล้าที่จะเปิดปากเอ่ย คนในจวนฟู่ที่หลินเจียง…สังหารหมดแล้วจริง ๆ หรือ ? ”

สีหน้าของชายอ้วนยากที่จะอธิบายได้ ผ่านไปชั่วครู่เขาก็พยักหน้าช้า ๆ “ทุกคนตายอย่างสงบโดยการใช้ยาพิษ จากนั้นก็โยนศพลงไปในแม่น้ำแยงซี ข้ามิได้ทำให้บ้านใกล้เรือนเคียงแตกตื่นหรอก”

“เด็กเหล่านั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ ! ”

“หยุนชิง…ข้าต้องไปแล้ว” ชายอ้วนเงยหน้าขึ้นมองสวี่หยุนชิง จากนั้นก็มองขึ้นไปบนท้องนภาแล้วเอ่ยต่อว่า “ข้าจะไปจากที่นี่ ข้าจะเดินทางไปยังอีกฟากหนึ่งของทะเล”

สวี่หยุนชิงตกตะลึงขึ้นมาทันใด เมื่อสติคืนกลับมาจึงเอ่ยถามว่า “จะหลบหนีเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ข้าเป็นคนไร้ค่า ! ชีวิตนี้ได้กระทำเรื่องเลวทรามเอาไว้มากมายนัก หลายวันที่ผ่านมานี้ข้าคิดอยู่เสมอว่าหากมิใช่เพราะข้า ซั่งรั่วซุ่ยก็คงมิคิดที่จะฆ่าตัวตาย ข้ามิควรมีสนมอันใดนั่น เรื่องราวทุกอย่างได้ผ่านพ้นไปแล้ว ข้ามิคิดที่จะอยู่ในสถานที่แห่งนี้อีกต่อไป เพราะมันจะทำให้ข้ารู้สึกมิสบายใจไปมากกว่าเดิม ! ”

“ข้ามิกล้าเผชิญหน้ากับเสี่ยวกวน… หากเขาปล่อยให้ข้าตายจากอาการบาดเจ็บสาหัสจากฝีมือของซูฉางเซิงในตอนนั้นก็คงจะดี !ตอนนั้นข้ากำลังจะตกตายไปแล้วด้วยซ้ำ ทว่าเขายอมสูญเสียยาวิเศษเพื่อช่วยชีวิตข้าเอาไว้”

จากนั้นชายอ้วนก็ละสายตาจากท้องนภาแล้วจ้องมองไปที่สวี่หยุนชิง จากนั้นก็ชี้ไปที่ฟู่เสี่ยวกวนที่อยู่ภายใต้แสงสุริยาที่เจิดจ้าในระยะไกล “เขาเป็นจักรพรรดิที่ดีมากจริง ๆ มีคนเยี่ยงเขาบริหารถือเป็นความโชคดีของราษฎรต้าเซี่ย และนี่คือสิ่งที่ข้าคิดตลอดหลายวันที่ผ่านมา ข้าคิดว่าจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่อีกฟากของทะเล จากนั้นก็ทำสิ่งที่มีประโยชน์เฉกเช่นเดียวกับเขา”

สวี่หยุนชิงจ้องมองแผ่นหลังของบุตรชายที่อยู่ท่ามกลางแสงสุริยา จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ “จะเดินทางเมื่อใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ประเดี๋ยวนี้…”

สวี่หยุนชิงจ้องมองไปยังชายอ้วนพลางขมวดคิ้วมุ่น “รีบร้อนถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ”

“มิช้าก็เร็วจะต้องไปอยู่ดี สู้ไปเสียตั้งแต่ตอนนี้มิดีกว่าหรือ ? ”

“ผู้ใดจะเดินทางไปกับเจ้าบ้าง ? ”

“ศิษย์จากสำนักเต๋า ยกเว้นซูซู รวมแล้ว 7 คนที่ร่วมเดินทางไปด้วยกันกับข้า”

“พวกเขาก็จะไปเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“อืม…เยี่ยงไรเสียซูฉางเซิงก็เป็นอาจารย์ของพวกเขา และเสี่ยวกวนก็ยังเป็นศิษย์น้องเล็กของพวกเขาอีกด้วย”

สวี่หยุนชิงมิได้เอ่ยถามอันใดอีก นางเพียงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า “ลาก่อน ! ”

“ลาก่อน ! ”

ชายอ้วนลุกขึ้นยืนอย่างมุ่งมั่น จากนั้นก็พาซูเจวี๋ยและเกาหยวนหยวนออกเดินทางทันที สวี่หยุนชิงเงยหน้าขึ้น น้ำตาไหลลงมาสองหยดโดยที่มิมีผู้ใดสังเกตเห็น

……

ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ที่คันนา เหงื่อไหลท่วมกายทว่าเขากลับมิรู้สึกถึงความร้อนเลยสักนิด

เขาขมวดคิ้วมุ่นแล้วมองไปยังดินที่มีรอยแตก จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “นี่…มิรู้ว่านาข้าวเหล่านี้จะได้รับผลกระทบจากภัยแล้งครานี้มากมายเท่าใด ดังนั้นต้องเริ่มบรรเทาทุกข์ทันที มิเช่นนั้น…ราษฎรเหล่านี้ต้องอดตายเป็นแน่ ! ”