ตอนที่ 1075 นายอำเภอซุน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 1075 นายอำเภอซุน

นอกจากนี้ยังมีรถม้าอีก 3 คันเดินทางมาจากเขตเหอเย่มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านฮวงหลิน

ภายในรถม้า ซุนจือกั๋ว นายอำเภอซุนรูปร่างอ้วนท้วมที่นั่งอยู่ในรถม้ากำลังพยายามใช้พัดที่อยู่ในมือพัดให้หายร้อนแล้วสาปแช่งออกมาว่า

“สวรรค์ ! นายอำเภอเฉียนสมควรตาย… เจ้าสุนัขแซ่เฉียนสมองของมันคิดแต่เรื่องเงิน ! ”

“บัดซบ ! สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว มันยังจะโลภมากอยู่อีก ! เฮ้อ… ! ”

หวางซู่บ่าวรับใช้คนสนิทของเขานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมือข้างหนึ่งออกแรงพัดอย่างรุนแรงเพื่อให้เจ้านายอารมณ์เย็นลง มืออีกข้างจัดอาภรณ์ที่มีเหงื่อไหลท่วมกาย เขาเอ่ยอย่างมิใส่ใจว่า “นายท่าน…ดูจากสถานการณ์ในปีนี้ เกรงว่าคงจะมิดีนัก นายอำเภอเฉียนพยายามใช้ประโยชน์ตอนที่จ่งตูหนิงยังมิได้ควบคุม เขามิอยากเป็นนายอำเภอแล้วหรือเยี่ยงไร…”

หวางซู่เหลือบมองนายอำเภอซุน จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “นี่เปรียบกับน้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา นายท่านเขตเหอเย่ของเราเป็นหมู่บ้านที่ยากจนที่สุด ครานี้จะต้องเรียกเก็บภาษีล่วงหน้า… นายท่านจะต้องปล่อยวาง ยอมเสียรายได้สักเล็กน้อย”

“ข้าน้อยขอเอ่ยบางคำที่มิค่อยเหมาะสม นายท่านยังคิดจะเป็นขุนนางอยู่อีกหรือ ? ”

“หลายปีที่ผ่านมาก็น่าจะเพียงพอแล้ว หรือว่า…หรือว่าจะแอบอ้างการกุศลเพื่อขอรับเงินบริจาคเป็นคราสุดท้าย แล้วพวกเราก็ย้ายไปอยู่ที่ใดสักแห่งและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับสมบัติในจวน”

นายอำเภอซุนรู้สึกลังเลใจ

เมื่อมิกี่วันก่อนเดิมทีเขาคิดว่าจะไปเยี่ยมไช่หยางซื่อหลางแห่งกรมขุนนางผู้มีพระคุณ เขาจึงส่งหวางซู่ไปที่เมืองต้าติ้ง แล้วถือโอกาศนำของขวัญไปมอบให้ผู้อาวุโสสักเล็กน้อย เพื่อไถ่ถามเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงที่หยวนเป่ยเต้า

ของกำนัลเขาได้ส่งไปให้ทุกปีและไช่หยางก็น้อมรับไว้ทุกครา ทั้งยังเอ่ยให้กำลังใจเขามิกี่ประโยคด้วยว่า ตัวเขานั้นรู้จักหน้าที่ของตนเองดี หากมีตำแหน่งว่างคนแรกที่เขาจะสนับสนุนก็คือข้า

ทว่าครานี้…ครานี้เขากลับปิดประตูมิต้อนรับแขก !

หวางซู่เคาะจนบานประตูเปิดออก ทว่าเขากลับมิได้ก้าวเข้าไปในจวนแม้แต่ครึ่งก้าว

เขามิเพียงจะมิได้พบกับไช่หยางชื่อหลางเท่านั้น หวางซู่ยังถูกยามเฝ้าประตูทุบตีอย่างรุนแรงแล้วถูกขับไล่ออกมาอีกด้วย มิหนำซ้ำยังเอ่ยทิ้งท้ายเอาไว้ว่า “ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ยังจะกล้านำสินบนมาให้อยู่อีกหรือ ? นายท่านกังวลจนแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว แล้วเจ้ายังจะมาเพิ่มความมิสบายใจให้แก่นายท่านอยู่อีกหรือ ! ”

ประโยคนี้มีความหมายที่ลึกซึ้ง

คำเอ่ยนี้ยืนยันได้แล้วว่าความเป็นอยู่ของไช่หยางชื่อหลางก็คงจะมิดีมากนัก อยู่ ๆ เขาก็มิชอบเงินขึ้นมาเสียอย่างนั้น !

นี่ก็สามารถยืนยันได้แล้วว่านโยบายและกฎหมายของจ่งตูคนใหม่นั่นเป็นเรื่องจริง !

ยกเว้นภาษีให้กับเกษตรกรทุกคน… หากยกเว้นภาษีเกษตรกร แล้วพวกเราจะไปขูดรีดเอาเงินจากที่ใดได้อีกกัน ?

นี่มันตั้งใจตัดช่องทางการหาเงินของขุนนางเยี่ยงพวกข้าเลยนี่ !

บัดนี้ช่องทางหาเงินยังสำคัญอยู่ ตราบใดที่ยังอยู่ในตำแหน่งขุนนางก็มิจำเป็นต้องกังวลเรื่องการหาเงินมิใช่หรือ ?

ทว่าปัญหาในตอนนี้คือไช่หยางชื่อหลางแห่งกรมขุนนางก็มิอาจรับประกันชีวิตตนเองได้ !

ขนาดไช่หยางชื่อหลางยังมิอาจรับประกันชีวิตของตนเองได้ นี่ก็ยืนยันได้แล้วว่าเขามิสามารถทำให้จ่งตูคนใหม่นั่นพอใจได้ และมีแนวโน้มว่าจะถูกจ่งตูหนิงปลดออกจากตำแหน่ง !

จ่งตูหนิงท่านนั้นได้รับการแต่งตั้งจากจักพรรดิองค์ปัจจุบัน และเขายังถือกระบี่อาญาสิทธิ์ที่สามารถฆ่าผู้คนได้ตามความต้องการอีกด้วย !

ดูเหมือนทิศทางลมจะเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ นับแต่นี้สืบไป…ตำแหน่งขุนนางดูเหมือนจะมิใช่ตำแหน่งที่น่าครอบครองอีกต่อไปแล้ว

มิแปลกใจเลยที่นายอำเภอเฉียนได้ออกคำสั่งอย่างลุกลี้ลุกลน และนี่คงจะเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่จะได้รับ

“ที่เจ้าเอ่ยมาก็ถูก” นายอำเภอซุนหยุดพัดในมือลง ดวงตาเล็ก ๆ กลิ้งกลอกไปมาแล้วเอ่ยว่า “ประเดี๋ยวพวกเราไปที่หมู่บ้านฮวงหลินกัน หากชาวบ้านมิมีเงินจ่ายภาษีก็ให้ปล้นไก่กับแกะมาแทนโดยใช้วิธีการใดก็ได้ พวกเราจะมิกลับไปโดยมือเปล่าเป็นอันขาด ! ”

“เมื่อจัดการเรื่องนี้เสร็จสิ้นแล้ว เจ้ากลับไปบอกให้ฮูหยินรีบเก็บของ แล้วพาบุตรชายกับบุตรีและอนุของข้าอีกสามคนเดินทางไปยังเจียงหนานเต้า ! ”

หวางซู่ตื่นตกใจขึ้นมาทันใด จากนั้นก็ยกยิ้มขึ้น “แล้วนายท่านเล่า ? ”

“ยังมีหมู่บ้านอีกหลายแห่ง นายท่านอย่างข้าหลังจากไปรีดทรัพย์สินจากชาวบ้านได้แล้ว ข้าจะตามพวกเจ้าไปทีหลัง ! ”

“นายท่านอย่างข้ากังวลว่าเหตุการณ์นี้จะทำให้เกิดเรื่องมิดีขึ้นอย่างกระทันหัน ดังนั้นพวกเจ้าจำเป็นจะต้องล่วงหน้าไปก่อน หากรอให้จ่งตูหนิงลงมือ เขาจะต้องปรับปรุงระบบขุนนางอย่างแน่นอน… ที่ราชวงศ์เหลียวอันกว้างใหญ่นี้ หากมีขุนนางที่ซื่อสัตย์สุจริตสักหนึ่งในสิบคนก็คงจะดี ! ”

หวางซู่พยักหน้าเห็นด้วย เพราะในด้านมืดของแวดวงขุนนางของราชวงศ์เหลียวนี่ถือเป็นเรื่องปกติมิได้แปลกใหม่อันใด

“นายท่านเอ่ยว่าสิ่งแรกที่จ่งตูทำเมื่อเข้ารับตำแหน่งก็คือการยกเลิกภาษีเกษตรกร ข้าน้อยขอเอ่ยคำที่มิเหมาะสมอีกสักคำ ภาษีการค้าของราชวงศ์เหลียวมิได้รับเงินแม้แต่อีแปะเดียว เงินทั้งหมดมาจากการเก็บภาษีเกษตรกรมาประทังชีวิต ทว่าเขากลับยกเลิก…หากมิมีเงินจากหยวนเป่ยเต้าแล้ว เช่นนั้นจะดำเนินการต่อไปเยี่ยงไรเล่า ? ”

นายอำเภอซุนดื่มน้ำเย็นจากกาต้มน้ำพลางเช็ดคราบน้ำที่มุมปากออกอย่างลวก ๆ “เจ้าคงยังมิรู้ว่าต้าเซี่ยเป็นสถานที่ที่ร่ำรวยมากยิ่งนัก เมื่อเจ้าไปถึงเจียงหนานเต้าเจ้าก็จะรู้เอง สถานที่แห่งนั้นยิ่งกว่าสวรรค์เสียอีก ! ”

“จริงหรือขอรับ ? ” หวางซู่เอ่ยถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“จริงยิ่งกว่าจริงเสียอีก เฮ้อ…เอ่ยแล้วก็เจ็บใจ สภาพอากาศที่นี่ร้อนมากยิ่งนัก หากมิเห็นแก่เงินล่ะก็ ข้าจะมิก้าวเท้าออกจากประตูจวนเป็นอันขาด ต้องใช้เวลาอีกนานเพียงใดกว่าจะถึงหมู่บ้านฮวงหลิน ? ”

“ดูจากระยะทางแล้ว ต้องเดินทางต่ออีกประมาณ 1 ชั่วยามขอรับ”

“บัดซบ ! ไกลยิ่งนัก… สถานที่รกร้างเยี่ยงนี้…จงเก็บเงินมาให้ได้มากที่สุด เพราะหลังจากนี้จะมิมีสถานที่ให้เก็บอีกต่อไปแล้ว”

……

……

หลี่ซิ่วไฉจ้องมองไปยังชายหนุ่มที่สวมอาภรณ์สีขาวผ่านช่องหน้าต่าง

ดูเหมือนว่าคุณชายผู้นี้ จะเป็นหัวหน้าคณะเดินทางนี้ คาดว่าคงจะเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่องค์จักรพรรดิส่งมาตรวจการเป็นแน่

อากาศร้อนอบอ้าวเช่นนี้ เหตุใดเขามิไปรับลมในร่มเล่า ทว่าเขากลับเดินไปที่ทุ่งนา…นี่เขากำลังทำอันใดอยู่กัน ?

ฟู่เสี่ยวกวนเดินอยู่บนคันนา ด้วยสีหน้าท่าทีที่จริงจัง เขานั่งลงไปที่ริมทุ่งเป็นครั้งคราเพื่อสังเกต และบางทีก็จะหยิบต้นกล้าขึ้นมาดูบ้าง

เขายืนอยู่ข้าง ๆ ทุ่งนา จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นไปมองท้องนภาสีคราม “ไปกันเถิด”

เขานำหลิวจิ่นเดินกลับมาที่ใต้ต้นหยางเพื่อดื่มน้ำ “หลิวจิ่น เจ้าจงไปนำหมึกกับพู่กันมา”

หลิวจิ่นรีบสั่งให้คนไปยกโต๊ะตัวเล็ก ๆ มา จากนั้นเขาก็ฝนหมึกให้กับฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนหยิบพู่กันจุ่มลงไปในหมึกแล้วเขียนลงบนกระดาษอย่างรวดเร็วว่า

เกิดภัยแล้งที่หยวนเป่ยเต้า จำต้องบรรเทาภัยพิบัติโดยด่วน

ขอความช่วยเหลือจากเสนาบดีทั้งสามท่าน ให้กรมคลังซื้อเสบียงอาหารแล้วขนส่งมายังหยวนเป่ยเต้าโดยด่วน ให้ฝ่ายตรวจการส่งขุนนางกรมคลังมายังหยวนเป่ยเต้าทันทีเพื่อสำรวจผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ จะได้ให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยเร็วที่สุด

นอกจากนี้สั่งให้กรมอุตสาหกรรมส่งคนมายังหยวนเป่ยเต้า เพื่อสำรวจเส้นทางจากหยวนเป่ยเต้าไปยังซีเซี่ยและชื่อเล่อชวน และส่วนที่เหลือให้ปฏิบัติตามนโยบายเดิมโดยใช้วิธีการก่อสร้างถนนและโรงงานเพื่อให้ราษฎรมีรายได้

เรื่องนี้จำต้องจัดการโดยด่วน ! ฟู่เสี่ยวกวน !

……

“ร้ายแรงถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? ”สวี่หยุนชิงเอ่ยถามออกมาหนึ่งประโยค

“เกรงว่าจะรุนแรงเกินกว่าที่พวกเราจะคาดเดาได้”

“…ฟู่ต้ากวนไปแล้ว”

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้ยินดังนั้น จึงตื่นตกใจขึ้นมาทันใด “เขาไปที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เขาเอ่ยว่าจะไปอีกฝั่งของทะเล”

ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ เขามิได้เอ่ยถามอันใดอีก “หลิวจิ่น…ส่งจดหมายฉบับนี้ไปยังเมืองกวนหยุนโดยใช้นกพิราบ”

“ข้าจะเข้าไปในหมู่บ้านสักหน่อย”

“จะให้ข้าไปกับเจ้าด้วยหรือไม่ ? ”

“พวกเจ้าพักอยู่ที่นี่เถิด ข้าจะไปเอง”

ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไปในหมู่บ้านฮวงหลิน มีคนชราสามคนเดินตามอยู่ด้านหลังของเขา

ฉินปิ่งจงยกยิ้มแล้วเอ่ยว่า “นายน้อยจะออกสำรวจด้วยตนเอง พวกเราทั้งสามจะติดตามนายน้อยไปเองขอรับ”

ซูซูเองก็เดินตามมาด้านหลัง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ในเมื่อนายน้อยออกเดินทางแน่นนอนว่าจะต้องมีสาวใช้คอยติดตามไปด้วย”