ตอนนี้สายตาที่พวกมันมองดูตู๋กูซิงหลันจึงยิ่งร้อนแรงกว่าเดิม
ใช่แล้ว เจ้าวังของพวกเขา แม้แต่แดนสวรรค์ก็ยังสามารถบุกขึ้นมาได้อย่างสบายๆ แน่นอนว่าย่อมมิใช่เพียงแต่มีพลังสูงส่ง แต่ว่ามันสมองก็ยังยอดเยี่ยม
ท่านเจ้าวังแม้ว่าจะเป็นอิสตรี แต่ว่าความองอาจมิได้เป็นรองบุรุษใดๆเลย!
ต้าซือมิ่งที่เดิมทีตระเตรียมคำพูดเอาไว้มากมาย กะจะโต้เถียงกับตู๋กูซิงหลันให้ถึงที่สุด ตอนนี้กลับต้องหุบปากพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
สตรีผู้นี้ ตระเตรียมทุกอย่างเอาไว้แต่แรกแล้ว
นางปิดทางถอยของเขาเสียมิด ไม่ปล่อยให้เขาเหลือทางเลือกอะไรเลย
ใช่สิ บนแดนสวรรค์แห่งนี้ เขาก็ต่ำต้อยเสมือนเถ้าธุลีอยู่แล้ว ชาวสวรรค์คนใดจะสนใจว่าเขาจะเป็นหรือตายกัน
เกรงว่าจะมีแต่ชิงชังที่ตนทำให้พวกเขาต้องเสียหน้า อยากจะให้เขาดับสูญเป็นเถ้าถ่านไปเท่านั้น
หากติดตามตู๋กูซิงหลันไป แม้ว่าโอกาสที่จะหลบหนีจากแดนสวรรค์จะมีอยู่ไม่มาก แต่ว่าก็ยังคงมีอยู่
แถมสำหรับเขาแล้ว โอกาสที่มีอยู่เพียงเส้นบางๆเส้นนี้ กลับมีแรงดึงดูดที่น่าทดลองอย่างยิ่งอีกด้วย
ต้าซือมิ่งได้แต่หุบปากลงอย่างเงียบงัน ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ตู๋กูซิงหลันเก็บยันต์โลหิตแผ่นนั้นเอาไว้ เยี่ยเฉินและมังกรทั้งเก้าก็พากันพุ่งไปยังทิศทางที่ตั้งของบันไดสวรรค์
บนแดนสวรรค์แห่งนี้ มิว่าจะเป็นทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตกล้วนมีประตูสวรรค์อยู่
และประตูสวรรค์แต่ละแห่งต่างก็มีบันไดเมฆาสวรรค์อยู่สายหนึ่ง
ถัดลงไปจากบันไดเมฆาสวรรค์ ก็คือดินแดนสีขาวกระจ่างที่ตู๋กูซิงหลันผ่านยามขึ้นมา หากจะกลับลงไปยังโลกเบื้องล่าง ย่อมต้องผ่านบันไดเมฆาสวรรค์ลงไป จากนั้นก็ผ่าน ‘อุโมงค์หนอน’มากมาย จึงจะกลับไปยังที่ๆนางจากมาได้
เส้นทางนี้ย่อมยากลำบากอย่างยิ่ง
ว่ากันตามจริงแล้ว แม้แต่เยี่ยเฉินก็ยังรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ในใจ
หากเป็นยามปกติ เมื่อเหล่าเทพจะลงไปยังโลกเบื้องล่าง ย่อมต้องตระเตรียมตัวให้พร้อม เมื่อได้รับอนุญาตจึงจะสามารถเบิกป้ายหยกสำหรับผ่านเข้าออกได้ อาศัยการคุ้มครองของสายฟ้าจากแดนสวรรค์ จึงจะสามารถไปยังโลกเบื้องบ่างได้อย่างปลอดภัย
แต่ว่าตอนนี้พวกเขากำลังหลบหนีออกจากแดนสวรรค์
ต่อให้สามารถหลบหนีไปจนถึงโลกที่มีแต่สีขาวและความว่างเปล่านั่น แต่ต่อจากนั้นจะผ่านหมู่ดาวนับพันนับหมื่นไปได้อย่างไร
ตอนครั้งแรกที่เขาขึ้นมาบนแดนสวรรค์ ก็ได้เห็นแล้วว่า ในจักรวาลเต็มไปด้วย ซากศพของเหล่าผู้ที่ ‘โบยบินขึ้นฟ้าไปเป็นเทพเซียน’ ล่องลอยอยู่เต็มไปหมด
พวกเขาล้วนตกตายอยู่ในช่องว่างของจักรวาล อย่างไม่มีหนทางได้หลบหนี
นอกจากดวงดาวที่เป็นโลกปัจจุบันแล้ว โลกใบอื่นก็ไม่มีความเข้าใจเรื่อง ‘ชั้นบรรยากาศ’ และ ‘สูญญากาศ’เลยด้วยซ้ำ
ดังนั้นเยี่ยเฉินจึงไม่รู้เลยว่า พลังที่เกิดจาก ‘สภาพไร้แรงดึงดูด’นั้นยิ่งใหญ่ถึงเพียงไร
เขาเหลือบตาขึ้นไปมองดูตู๋กูซิงหลันอีกครั้ง เห็นสีหน้าของนางมีแต่ความสงบนิ่ง ราวกับว่าไม่มีเรื่องใดให้ต้องกังวลใจ
มังกรทั้งเก้าตัวเดิมทีก็ยังมีความวิตกอยู่เช่นกัน แต่พอเห็นท่าทางที่สงบนิ่งของตู๋กูซิงหลัน ในใจก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาอีกไม่น้อย
พวกมันลากพระตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนมานานถึงหมื่นปี ยังจะมีที่ใดในแดนสวรรค์ที่ไม่เคยผ่านไปอีก?
แผนที่ทั้งหมดของแดนสวรรค์จารึกอยู่ในสมองของพวกมังกรทั้งเก้าตนอย่างแม่นยำอยู่แล้ว
พวกมันที่ตู๋กูซิงหลันช่วยออกมานั้น จึงเป็นเสมือนแผนที่AI ที่มีชีวิต
เมื่อเป็นเช่นนี้ มังกรทั้งเก้าจึงเริ่มเสนอคำแนะนำให้กับตู๋กูซิงหลันด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
“ท่านเจ้าวัง ประตูสวรรค์ตะวันออกแม้จะอยู่ใกล้ที่สุด แต่ว่าที่นั่นมีแต่หน่วยรบสวรรค์ที่เก่งกล้าที่สุดของเทพสงครามประจำการอยู่ เวรยามแข็งแกร่งแน่นหนา ไม่อาจผ่านไปได้”
“ประตูสวรรค์ทิศใต้แม้จะไกลออกไป แต่ว่ายามปกติไม่มีเทพใดผ่านเข้าออก เวรยามเปราะบาง พวกเราอาจจะใช้บันไดเมฆาสวรรค์ทิศใต้ผ่านลงไปได้”
“ท่านเจ้าวังโปรดวางใจ พวกเราลากตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนมานานนับหมื่นปี ย่อมรู้จักเส้นทางเป็นอย่างดี รู้ว่าเส้นทางไหนจะสามารถผ่านไปยังประตูสวรรค์ทิศใต้ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยที่สุด”
เดิมทีตู๋กูซิงหลันคิดเอาไว้ว่าจะผ่านประตูสวรรค์ทิศตะวันออกลงไป
เพราะว่าตอนที่นางอาศัยร่างของเยี่นเฉินขึ้นมายังแดนสวรรค์ ก็ใช้ประตูสวรรค์ทิศตะวันออกขึ้นมาเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น นางยังอยากจะเห็นว่านักรบเทพที่อยู่ใต้บัญชาการของซือเป่ยเหล่านั้น แท้จริงแล้วมีจำนวนและความสามารถอยู่สักเท่าไหรกัน ข้อสงสัยเหล่านี้มีความสำคัญต่อนางมากนัก หากสามารถทำความเข้าใจต่อศัตรูได้มากเท่าไหร่ ภายหลังเมื่อต้องเผชิญหน้ากันย่อมมีโอกาสเอาชนะมากขึ้นเท่านั้น
เพียงแต่เกรงว่า ตอนนี้นางคงจะ ‘โด่งดัง’ ไปทั่วทั้งแดนสวรรค์แล้ว มิว่าไปที่ไหนล้วนแล้วแต่มีสายตาคอยจับจ้อง
สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือหาเส้นทางที่ปลอดภัย และรวดเร็วที่สุดหลบหนีออกไป
ดังนั้นตู๋กูซิงหลันจึงตัดสินใจรับฟังข้อเสนอของเหล่ามังกรทั้งเก้า เลือกหนีไปทางประตูสวรรค์ทิศใต้
………………..
ภายในตำหนักซือมิ่งกง ซือเป่ยมองดูความว่างเปล่าใต้ฝ่ามือ ดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยไอสังหาร
ยันต์ติดตามของตู๋กูซิงหลันยังถูกทิ้งเอาไว้ในตำหนักซือมิ่งกง
ซือเป่ยยื่นมือออกไป คว้านกกระเรียนยันต์โลหิตตัวนั้นมาไว้ในฝ่ามือ ขับพลังวิญญาณออกมาทำลายมันเป็นผุยผง
จากนั้น สายตาของเขาก็มองออกไปที่นอกหน้าต่าง มองดูเงาหลังของฝูงมังกรที่ลอยไกลออกไป เอ่ยออกมาช้าๆทีละคำ “ตู๋! กู! ซิง! หลัน!”
เขาประมาทนางมากเกินไปแล้วจริงๆ!
นางไปเอาความกล้ามาจากที่ใด ทั้งๆที่อยู่ต่อหน้าเทพสงครามแห่งแดนสวรรค์แท้ๆ แต่ก็ยังกล้าบังอาจเล่นลูกไม้เช่นนี้!
“ท่านแม่ทัพ….” เหล่าลูกน้องที่อยู่ข้างกายต่างก็ถูกเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความแค้นของเขาทำเอาตกใจจนต้องถอยหลังไปอีกหลายก้าว
“พวกเราจะไล่ตามไปหรือไม?”
เหล่าลูกน้องต่างก็ไต่ถามด้วยความระมัดระวัง เพราะว่าพวกเขายังไม่ได้รับบัญชาใดๆจากเทียนตี้ ดังนั้นจึงไม่กล้าไล่ตาม
มิเช่นนั้นก็คงจะไม่มาลอบวางตาข่ายฟ้าดินไว้ที่ตำหนักซือมิ่งกงรอให้สตรีจากโลกเบื้องล่างผู้นั้นกระโดดลงมาในหลุมพราง
น่าเสียดาย…..ที่สตรีผู้นั้นรู้ตัวเสียก่อน ทำให้แผนการของพวกเขาต้องเสียเปล่า
“หากว่านางหนีไปได้….” ซือเป่ยหันกลับมามองพวกเขาอีกครั้งด้วยสายตาเย็นชา “พวกเจ้าก็จงเอาศีรษะมารับโทษ”
หัวใจของทุกคนต่างก็พากันเย็นวาบ
ซือเป่ยก้าวเท้าออกไปด้านนอก ร่างหายวับไปในท้องฟ้ายามราตรี
เขาเหาะขึ้นไปเหนือชั้นเมฆเบื้องบน พึ่งจะเหาะออกไป ก็เห็นร่างในชุดเกราะสีทองทั้งแปดร่างทยอยร่อนลงจากฟากฟ้ามายังเบื้องหน้าเขา
“เทียนตี้ทรงมีพระบัญชา ให้จับกุมนางมารจากโลกเบื้องล่าง พวกเราแม่ทัพทั้งแปดจึงมาขอรับคำสั่งจากเทพสงคราม”
แววตาของซือเป่ยปรากฏคำถามขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่แล้วก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว
“ให้แม่ทัพแต่ละคนนำนักรบเทพหนึ่งพันนาย ไปพิทักษ์ประตูสวรรค์ทั้งสี่เอาไว้ หากพบเจอนางมารผู้นั้น…..สังหารโดยไม่ละเว้น”
ประโยคสุดท้าย ซือเป่ยเค้นเสียงดังออกมากว่าเดิม
ทันทีที่เขาออกคำสั่ง แม่ทัพสวรรค์ทั้งแปดก็ประคองหมัดรับ “รับบัญชาเทพสงคราม”
จากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็กลายเป็นกลุ่มแสง หายลับไปในความมืดของราตรี
ที่แม่ทัพสวรรค์ทั้งแปดปรากฏตัวเมื่อครู่นั้น ที่จริงเป็นเพียงร่างแบ่งภาคจากจิตวิญญาณสวนหนึ่งของพวกเขาเท่านั้น ในเมื่อเทียนตี้ทรงมีบัญชาให้พวกเขาติดตามเทพสงครามไปสังหารนางมาร ดังนั้นพวกเขาย่อมต้องแบ่งร่างออกมาเพื่อเชิญเทพสงครามให้กำหนดแผนการก้าวต่อไปเสียก่อน
คิดเอาไว้แล้วเชียว เห็นเทียนตี้ทรงปล่อยนางมารผู้นั้นให้กำเริบเสิบสานมาตั้งนาน ในที่สุดก็คงจะทนทอดพระเนตรไม่ไหวอีกต่อไป คิดจะสังหารนางขึ้นมาแล้ว
เมื่อแม่ทัพสวรรค์ทั้งแปดออกโรง ย่อมไม่มีจิตวิญญาณใดในแดนสวรรค์หลบหนีได้พ้น!
………………
เมื่อมีมังกรยักษ์ทั้งเก้านำทางอยู่ด้านข้าง เยี่ยเฉินก็นำตู๋กูซิงหลันมุ่งไปยังประตูสวรรค์ทิศใต้ด้วยความรวดเร็วกว่าเดิม
พวกเขาเหาะกันด้วยความรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาดผ่านอากาศ
เส้นทางที่เก้ามังกรยักษ์เลือกผ่าน มีตำหนักอยู่เพียงเบาบาง สิ่งกีดขวางก็มีน้อย ภายใต้แสงดาวกระพริบระยิบระยับ จึงดูมืดมิดอยู่บ้าง
ตลอดเส้นทางนี้แทบจะไม่เห็นเงาของเทพองค์ใดทั้งนั้น
ใช้เวลาไม่ถึงต้มชาเดือด ก็มองเห็นแล้วว่าที่ปลายทางด้านหน้า มีซุ้มประตูสูงใหญ่ดุจภูเขาอยู่แห่งหนึ่ง
ซุ้มประตูจัดสร้างขึ้นจากหินหยก รอบข้างเป็นรูปเมฆมงคลขนาดมหึมา
และที่ด้านบนของซุ้มประตู มีรูปปั้นหงส์แดง[1]สูงสิบกว่าเมตรตัวหนึ่งตั้งอยู่
หงส์แดงเพลิงที่แดงดุจเปลวเพลิงเกาะอยู่เหนือคานซุ้มประตู มันกางปีกขนาดยักษ์ทั้งสองออกกว้าง บนศีรษะยังมีมงกุฏหงอนดุจเปลวไฟ เหยียดร่างงามสง่ามองดูสรรพชีวิตทั้งหลาย
ใต้ฝ่าเท้าของมัน มีป้ายชิ้นหนึ่งแขวนเอาไว้ บนป้ายนั้นมีอักษรสีทองสามตัวสลักเป็นคำว่า “ประตูทิศใต้”
………………..
[1] 朱雀: หนึ่งในสี่สัตว์เทพผู้พิทักษ์จตุรทิศของจีน จูเชวี่ย หงส์แดง หรือ วิหคเพลิง เป็นผู้พิทักษ์ประจำทิศใต้ เป็นสัญลักษณ์ของธาตุไฟ และเป็นตัวแทนของจักรพรรดินี เหมือนที่มังกรเป็นตัวแทนของจักรพรรดิ