ตอนที่ 649 เป็นเพราะทรงรักใคร่เทียนโฮว่ ถึงได้ให้ทางรอดแก่นางสายหนึ่ง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ก่อนหน้านี้ตู๋กูซิงหลันขึ้นมาทางประตูตะวันออก นางจำได้อย่างแม่นยำว่า เหนือป้ายของประตูตะวันออกเป็นมังกรครามขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง 

 

 

คิดๆดูแล้ว ดูท่าแดนสวรรค์แห่งนี้ช่างมีรายละเอียดที่ประณีตอยู่เหมือนกัน 

 

 

เช่นนี้ประตูสวรรค์ทิศตะวันตกและทิศเหนือก็คงจะมีรูปปั้นของพยัคฆ์ขาวและเต่าดำอยู่ด้วยสินะ 

 

 

ท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรี หงส์แดงขนาดใหญ่ตัวนั้นยังคงมองขึ้นไปยังหมู่ดาวที่ส่องประกายระยิบระยับ 

 

 

ฝีมือของผู้สร้างช่างยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง แม้แต่เส้นขนทุกเส้นก็ยังปั้นขึ้นมาอย่างละเอียดละออ ดูไปแล้วราวกับว่าเป็นของจริง 

 

 

ขณะที่ท้องฟ้ามีแต่หมู่ดาวอันงดงาม มังกรยักษ์ทั้งเก้าต่างก็พาตู๋กูซิงหลันเหาะตรงไปอย่างไม่ครุ่นคิดใดๆอีกแล้วทั้งสิ้น 

 

 

ขอเพียงสามารถผ่านประตูทิศใต้ออกไปได้ ก็นับว่าสำเร็จก้าวแรกของหลบหนีแล้ว 

 

 

ก้าวแรกแห่งการเริ่มต้น ย่อมเป็นสิ่งที่ยากที่สุด 

 

 

ขาดอีกเพียงนิดเดียว อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น 

 

 

แม้ว่าทุกสิ่งจะเป็นไปตามที่มังกรยักษ์ทั้งเก้าบอกเอาไว้ ประตูทิศใต้มีเวรยามไม่มาก แต่จะอย่างไรก็ไม่สมควรจะเงียบเชียบถึงเพียงนี้ ดังนั้นตู๋กูซิงหลันจึงมิได้คลายความระมัดระวังแม้แต่น้อย  

 

 

พอกวาดตามองไป ก็เห็นแต่เพียงซุ้มประตูขนาดใหญ่ และรูปปั้นของหงส์แดงที่ยืนตระหง่านอยู่เพียงลำพังเท่านั้น ไม่เห็นเวรยามใดๆเลยแม้แต่ครึ่งคน 

 

 

ยามนี้ระยะห่างระหว่างพวกนางและประตูทิศใต้เหลือเพียงไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น 

 

 

ในมือของตู๋กูซิงหลันปรากฏยันต์โลหิตขึ้นมาเก้าใบ เพียงพริบตาเดียวยันต์ทั้งเก้าใบก็กลายเป็นร่างแบ่งภาคทั้งเก้าของนาง 

 

 

ร่างแบ่งภาคทั้งเก้าเหาะนำพวกนางไปก่อนก้าวหนึ่ง 

 

 

เพียงแต่ว่าครั้งนี้ ตู๋กูซิงหลันมิได้ใช้พลังทั้งหมดแบ่งออกไปให้กับร่างแบ่งภาคทั้งเก้า 

 

 

พอเห็นนางทำเช่นนั้น ทั้งเยี่ยเฉินและมังกรยักษ์ทั้งเก้าต่างก็ตื่นตัวขึ้นมา 

 

 

พวกมันย่อมไม่มีทางคิดว่าตู๋กูซิงหลันระมัดระวังตัวจนตื่นตูมเกินไป ที่นี่จะอย่างไรก็คือแดนสวรรค์ ไหนเลยจะยอมให้พวกมันหลบหนีไปได้ง่ายๆ? 

 

 

ร่างแบ่งภาคทั้งเก้าเหาะเรียงกันพุ่งไปทางประตูสวรรค์ทิศใต้ ที่ดูเหมือนจะผ่านไปได้อย่างราบลื่น หนึ่งคน สองคน เหาะไล่เรียงกันอย่างไม่มีปัญหาใดๆ 

 

 

ต้าซือมิ่งที่เก็บตัวเงียบอยู่ในยันต์โลหิตพลันเอ่ยออกมาว่า “หรือจะเป็นเพราะเทียนตี้ทรงเห็นว่าเจ้ามีดวงตาแบบเดียวกับเทียนโฮว่ จึงจงใจเหลือทางรอดสายหนึ่งให้กับเจ้า….” 

 

 

ครั้งแรกที่ได้พบกับตู๋กูซิงหลัน นางแต่งกายและแปลงโฉมเป็นบุรุษ ต่อมาพอได้พบกันอีกครั้ง ต้าซือมิ่งก็รู้สึกว่านางดูคุ้นตามาก 

 

 

เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า ผู้ที่นางคล้ายคลึงจะเป็น……เทียนโฮว่ 

 

 

เพราะแม้จะอยู่ในแดนสวรรค์ ก็มีอยู่น้อยครั้งมากที่เทียนโฮว่จะทรงเผยโฉมต่อผู้คนทั้งหลาย เขาเองก็เคยมีวาสนาได้เห็นเทียนโฮว่จากที่ไกลๆในวันฉลองปีใหม่เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น 

 

 

แต่ว่าวันนี้ เมื่อตู๋กูซิงหลันก่อเรื่องอึกทึกคึกโครมขนาดนี้ขึ้นมา เหล่าเทพทั้งหลายย่อมต้องส่งข่าวเรื่องรูปโฉมของนางต่อๆกันไป 

 

 

ต่างก็บอกกันว่า นางมีดวงตาที่คล้ายคลึงกับเทียนโฮว่ 

 

 

ข่าวนี้ แม้แต่ตัวเขาที่อยู่ในตำหนักซือมิ่งกงก็ยังได้ยินมา 

 

 

ตอนนี้พอเห็นว่าทั้งหมดสามารถหลบหนีมาถึงที่นี่ได้อย่างสะดวกราบลื่นถึงเพียงนี้ ต้าซือมิ่งก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่า เทียนตี้คงจะมีพระทัยเมตตาจงใจปล่อยคนไป 

 

 

เพราะพระองค์ทรงโปรดปรานเทียนโฮว่อย่างลึกล้ำ แล้วจะไม่มีพระทัยสงสารต่อตู๋กูซิงหลันที่ดูคล้ายคลึงกับเทียนโฮว่ถึงเพียงนี้ได้อย่างไร? 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น….บางทีเทียนตี้ก็อาจจะทรงมีพระประสงค์อื่นในพระทัย อย่างเช่น เกรงว่าเรื่องรูปโฉมของตู๋กูซิงหลันจะเกิดจากแผนการอื่นที่ซับซ้อน หากจับตัวกลับมาสอบสวนเอาความ ก็อาจจะเป็นการเปิดเผยเรื่องราวที่ไม่สมควรบางประการออกมา ทำให้เดือดร้อนไปถึงเทียนโฮว่ได้ ดังนั้นจึงได้ตัดสินพระทัยอย่างรวบรัด หลับหูหลับตาไปข้างหนึ่ง ปล่อยให้คนได้หลบหนีไป 

 

 

ไม่ว่าจะคิดทางใด ก็ล้วนเกี่ยวข้องกับเทียนโฮว่ทั้งสิ้น 

 

 

พอเห็นอยู่กับตาว่า ร่างแบ่งภาคลำดับที่แปดของตู๋กูซิงหลันสามารถผ่านออกไปได้อย่างปลอดภัย พวกเขาก็พากันถอนหายใจออกมาอย่างผ่อนคลายเฮือกหนึ่ง 

 

 

ในเมื่อร่างแบ่งเหล่านั้นสามารถเหาะผ่านไปได้สำเร็จ ก็เท่ากับว่าประตูทิศใต้แห่งนี้ไม่มีหลุมพราง สามารถผ่านได้อย่างปลอดภัย 

 

 

คำพูดนี้ของต้าซือมิ่งมิใช่ว่าไร้เหตุผล เพราะเรื่องที่เทียนตี้ทรงโปรดปรานเทียนโฮว่เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างก็รู้กันดี 

 

 

มีแต่มังกรทั้งเก้าที่มีความเห็นเรื่อง ‘ตู๋กูซิงหลันมีรูปโฉมคล้ายเทียนโฮว่’ แตกต่างออกไป 

 

 

สำหรับพวกมัน นอกจากดวงตาคู่นั้นแล้ว อื่นๆล้วนไม่เหมือนกันเลยสักนิดเดียว 

 

 

ต่อให้บอกว่ามีส่วนคล้าย ก็ต้องบอกว่าเทียนโฮว่ดูคล้ายกับท่านเจ้าวังของพวกมันต่างหาก 

 

 

มังกรยักษ์ทั้งเก้าถูกทรมานมานานปี พวกมันย่อมเกลียดชังฮว๋ายยู่เข้ากระดูกดำ แน่นอนว่าย่อมเห็นว่าตู๋กูซิงหลันทำอะไรก็ดีไปหมด และเห็นว่าฮว๋ายยู่นั้นไม่ดีในทุกทางอยู่แล้ว 

 

 

เพียงแต่ว่าการจะมานั่งถกเถียงเรื่องนี้กันในตอนนี้ มันไม่มีประโยชน์  

 

 

พวกมันเพียงต้องการเพิ่มความเร็วให้มากขึ้น คิดจะเหาะผ่านประตูสวรรค์ทิศใต้ออกไปพร้อมๆกับร่างแบ่งภาคของตู๋กูซิงหลัน 

 

 

เพราะตอนนี้เหลือระยะห่างเพียงนิดเดียว แค่ไม่กี่สิบเมตรเท่านั้น 

 

 

แม้แต่ร่างแบ่งภาคที่เก้าของตู๋กูซิงหลันก็ยังผ่านเข้าไปแล้วครึ่งหนึ่ง 

 

 

แต่ทันใดนั้น สายตาของตู๋กูซิงหลันก็พลันเบิกโพลงขึ้นมา 

 

 

“อย่าได้เข้าไป!” จู่ๆนางก็ร้องตะโกนออกมา ทั้งยังรั้งเยี่ยเฉินและมังกรทั้งเก้าเอาไว้ไม่ให้หลุดเข้าไป 

 

 

ทันทีที่สิ้นเสียง ก็มีมีดเล่มหนึ่งตวัดผ่านซุ้มประตูสวรรค์ทิศใต้ลงมา 

 

 

ร่างแบ่งภาคที่มีรูปลักษณ์เช่นเดียวกับตู๋กูซิงหลันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนถูกสิ่งที่คมประดุจใบมีดผ่าลงไปจากศีรษะจรดปลายเท้า จนแบะออกเป็นสองส่วนในทันที! 

 

 

ภาพตรงหน้าสมจริงราวกับว่าพวกมันได้เห็นตู๋กูซิงหลันถูกสับอยู่ตรงหน้า ทำเอามังกรทั้งหมดตระหนกจนหัวใจกระตุก อย่างไม่อาจรับได้ 

 

 

พอร่างแบ่งภาคถูกสับ ก็ร่วงหล่นลงไปและกลายเป็นยันต์โลหิตครึ่งใบ บนยันต์โลหิต ยังมีประกายแสงสีทองและเสียงระเบิดออกมา จากนั้นก็ถูกเผาไหม้จนกลายเป็นควันสีดำ 

 

 

ชัดเจนเลยว่า หากพวกมันผ่านเข้าไปในประตูสวรรค์ทิศใต้ ก็คงจะต้องถูกประกายแสงนั้นสับเป็นสองท่อน ตายไม่เหลือซาก 

 

 

แถมแสงสว่างนั่นยังแผดเผาร่างกายมอดไหม้จนหมดสิ้น…… 

 

 

หากว่าเทพสวรรค์เหล่านั้นยอมต่อสู้กับพวกมันอย่างองอาจและเปิดเผย ก็ไม่แน่ว่าพวกมันจะต้องเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ต่อเทพสวรรค์ทั้งหลาย 

 

 

แต่ว่าวิธีการเช่นนี้ช่างชั่วร้ายอย่างที่สุด 

 

 

หากมิใช่เพราะว่าท่านเจ้าวังร้องเตือนได้ทัน พวกมันก็คงจะต้องจบสิ้นไปนานแล้ว 

 

 

บนประตูสวรรค์ทิศใต้ แสงสว่างนั้นยังคงฟาดฟันลงมาอย่างต่อเนื่องไม่ยอมหยุด เท่ากับว่าปิดตายเส้นทางหลบหนีของพวกมันไปแล้ว 

 

 

“ฉับ ฉับ ฉับ….” 

 

 

และในทันใดนั้นเอง ก็ปรากฏนักรบเทพในชุดเกราะสีทองออกมาจากหมู่เมฆรอบด้าน 

 

 

ทั้งหมดมากันอย่างเนืองแน่น รายล้อมพวกของตู๋กูซิงหลันเอาไว้อย่างแน่นหนา โดยมีประตูสวรรค์ทิศใต้อยู่ด้านหลังพวกนาง 

 

 

“นางมารร้าย เจ้าไม่มีทางหลบหนีได้อีกแล้ว” 

 

 

ผู้นำทัพสองคน คือสองในแปดแม่ทัพสวรรค์ 

 

 

ส่วนแม่ทัพอีกหกคน ล้วนแยกย้ายกันไปพิทักษ์ประตูสวรรค์ที่เหลืออีกสามบาน 

 

 

ต่อให้นางมารผู้นี้จะรวดเร็วเพียงไร ก็ไม่อาจจะเหนือไปกว่ากองทัพนักรบเทพได้หรอก 

 

 

สิ่งที่พวกเขาต้องทำ ก็แค่ต้องวางกำลังปิดล้อมประตูสวรรค์แต่ละแห่งเอาไว้ให้ดี ปล่อยให้นางมุ่งสู่ความตายด้วยตนเอง 

 

 

ขอเพียงนางผ่านเข้าไปในประตูสวรรค์ ย่อมต้องถูกแสงเหมันต์ของประตูสวรรค์สับเป็นครึ่งท่อน! 

 

 

พวกเขาต่างก็คิดว่า ด้วยความโอหังและนิสัยกระทำการอย่างบุ่มบ่ามของนางมารผู้นี้ นางจะต้องบุกฝ่าออกไปด้วยความลำพองเป็นแน่ 

 

 

คิดไม่ถึงว่านางจะระมัดระวังและตื่นตัวถึงเพียงนี้ ถึงกับรู้จักใช้วิธี ‘โยนหินถามทาง’ 

 

 

ทำให้ค่ายกลบนประตูถูกกระตุ้นออกมา 

 

 

เดิมทีคิดว่าเพียงอาศัยใบมีดบนซุ้มประตูสวรรค์ก็สามารถจัดการนางได้แล้ว ตอนนี้กลับทำให้พวกเขาต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงมากกว่าเดิม 

 

 

……………. 

 

 

ภายในตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยน ฮว๋ายยู่ที่กำลังจับตาดูสถานการณ์ผ่านบานกระจก ก็แย้มยิ้มออกมา 

 

 

แปดแม่ทัพสวรรค์กระทำการรวดเร็วฉับไว สร้างความพอใจแก่นางอย่างยิ่ง 

 

 

แม้ว่าการที่ใบมีดบนประตูสวรรค์ไม่อาจสังหารนางมารจากโลกเบื้องล่างได้นั้น ออกจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอยู่บ้าง 

 

 

แต่ว่าตอนนี้นางก็ตกอยู่ในมือของแม่ทัพสวรรค์แล้ว ต่อให้มีปีกก็ไม่มีทางหนีพ้น 

 

 

ริมฝีปากแดงของฮว๋ายยู่ยกยิ้มอย่างสวยงาม หัตถ์ของนางลูบไล้อยู่บนพระครรภ์ที่ยื่นออกมาเล็กน้อยอย่างแผ่วเบา “ลูกเอ๋ย มารดาจะไม่ปล่อยให้มีผู้ใดมาสั่นคลอนพวกเราได้อย่างเด็ดขาด” 

 

 

ว่าแล้ว พระนางก็ตรัสถามออกไปที่ด้านนอกว่า “เชิญเสด็จเทียนตี้มาแล้วหรือยัง?” 

 

 

เรื่องที่นางแอบอ้างพระบัญชานั้น ตอนนี้ไม่อาจให้ตี้เสียทรงทราบชั่วคราว 

 

 

รอให้จัดการนางมารนั่นได้เรียบร้อยเสียก่อน นางค่อยไปสารภาพผิดกับเขาด้วยตนเอง 

 

 

………..