ตอนที่ 1051 ไปก่อนก้าวหนึ่ง

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “พวกเจ้ายังอยากได้ศิลาวิญญาณเพลิงของข้าหรือไม่?”

พวกเขาล้วนแต่ถูกกระทำเสียจนมึนงงไปหมดแล้ว ไฉนเลยที่จะกล้า? พวกเขาจึงทำได้เพียงแต่ส่ายหน้า

“พวกเจ้าอยากจะซัดข้าเสียจนให้ไม่สามารถเข้าร่วมการทดสอบได้ใช่หรือไม่?”

พวกเขาทั้งหลายยังคงส่ายหน้าต่อไป

“ไม่อยาก! แต่เกรงว่าพวกเจ้าคงจะไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมการทดสอบครั้งต่อไปเสียแล้ว”

ทันทีที่มู่เฉียนซีลงมือ พวกเขาก็ได้ถูกฟาดจนสลบไป และคาดว่าจะคงหลับใหลไปอีกนานนัก

หลังจากที่นายท่านจัดการกับพวกคนเหล่านี้เสร็จสิ้นแล้ว เสี่ยวหงก็ได้ชิงศิลาวิญญาณเพลิงที่อยู่บนตัวพวกเขาไปอย่างไม่เหลือไว้แม้แต่เพียงชิ้นเดียว

ส่วนสิ่งของอื่น ๆ บนตัวพวกเขานั้น มันมิได้รู้สึกนึกเสียดายแต่อย่างใด

เสี่ยวหงที่ปล้นชิงผู้คนจนหมดตัวได้กลับไปยังอ้อมกอดของมู่เฉียนซีอย่างเชื่อฟัง

มู่เฉียนซีกล่าว “ไปต่อ!”

เสี่ยวหงกล่าว “นายท่าน ถึงแม้ว่าสิ่งล้ำค่าของโบราณสถานแห่งเพลิง

นี้จะช่วยในการเพิ่มระดับขั้นของข้า แต่ว่าที่ข้าต้องการนั้นมันก็ไม่น้อยเลย พวกเรามากวาดศิลาวิญญาณเพลิงในที่แห่งนี้ไปทั้งหมดให้สะอาดเอี่ยมกันเถอะ!”

“เจ้าไม่กลัวที่จะกินอิ่มเกินไปหรือ?”

“เจ้าแมวโง่นั่นกินแก่นวิญญาณยังมิเห็นจะกินจนแน่นท้องเลย แล้วข้าจะไปแน่นท้องได้อย่างไรเล่า! ในครั้งนี้ข้าจะต้องเพิ่มระดับขั้นให้ไวกว่ามัน เพิ่มระดับให้ไว!”

ทุกครั้งที่มีการเพิ่มระดับขึ้นล้วนแต่มักจะช้ากว่าอู๋ตี้ นั่นจึงทำให้เสี่ยวหงมีความไม่พอใจเป็นอย่างมาก

จากนั้นมู่เฉียนซีก็ได้อุ้มเจ้าหมูน้อยสีแดงตัวนี้แล้วเริ่มเก็บกวาดไปทั้วทั้งโบราณสถานแห่งเพลิงนี้ และแน่นอนว่าก็ยากที่จะหลีกเลี่ยง ในที่สุดนางก็ได้พบกับกลุ่มคนที่มีตาแต่หามีแววไม่เข้าอีกแล้ว

พวกเขามีจำนวนไม่น้อยและได้ให้ผู้บำเพ็ญภูตธาตุไฟผู้หนึ่งเป็นศูนย์กลาง

“นั่นไม่ใช่มู่หรงเฉียนเยี่ยหรอกหรือ?”

“มู่หรงเฉียนเยี่ยที่ได้รับการยกเว้นในการทดสอบสองครั้งแรกไป”

“……”

“พวกข้าอยากจะเห็นนักว่าเจ้ามีดีอะไรกัน?”

เพราะว่าการชักจูงให้เริ่มเกิดความเกลียดชังครั้งหนึ่งของไป๋เหยียนเอ๋อร์ เมื่อคนเหล่านี้ได้พบมู่เฉียนซีเข้าก็ขบฟันกัดกรามราวกับว่ามู่เฉียนซีนั้นได้ไปแหย่ภรรยาของพวกเขามาก็มิปาน

ดังนั้นแล้วมู่เฉียนซีในตอนนี้จึงได้ถูกล้อมเอาไว้

“พี่หง พวกเราควรจะจัดการกับเจ้าหนูนี่อย่างไรดี?”

ผู้บำเพ็ญภูตธาตุไฟที่พวกเขายกย่องนั้นเป็นบุรุษขนแดงผู้หนึ่ง เขามองไปทางมู่เฉียนซีอย่างชั่วร้ายแล้วกล่าว “เพราะเจ้าเด็กนี่ ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์เลยต้องมาเข้าร่วมการทดสอบนี้ด้วยตนเอง ข้าจะทำให้มันพิการเสีย”

ไม่ต้องคาดเดาก็รู้ว่าเจ้าหมอนี่ต้องเป็นผู้ที่เคารพเชิดชูไป๋เหยียนเอ๋อร์อย่างบ้าคลั่งอย่างแน่นอน

“หากพี่หงลงมือจะต้องทำให้เจ้าเด็กนี่พิการไปในกระบวนท่าเดียวเป็นแน่”

“นั่นยังต้องสงสัยอีกหรือ?”

“……”

มู่เฉียนซียิ้มตาหยีแล้วกล่าว “เจ้าหนูขนแดง ข้าขอแนะนำเจ้าอย่างหนึ่งว่า ให้พวกเจ้าเข้ามาพร้อม ๆ กันจะดีกว่า มิเช่นเมื่อถึงเวลาแล้วจะพ่ายแพ้รวดเร็วไปนัก หน้าของผู้เป็นลูกพี่เช่นเจ้าก็จะขายหน้าจนสิ้น”

เด็กหนุ่มตรงหน้าผู้นี้กล้าที่จะดูแคลนเขา ซึ่งมันก็ทำให้บุรุษผมแดงโกรธเกรี้ยวในทันที

หงเหมาเป็นนักบำเพ็ญภูตธาตุไฟ แน่นอนว่าทันทีที่เขาเริ่มลงมือก็ได้ระเบิดพลังการโจมตีอันน่าหวั่นพรึงของธาตุไฟออกมา

สำหรับนายน้อยของสำนักนิกายระดับสองที่ขึ้นต่อตำหนักตงจี๋ที่เป็นสำนักนิกายระดับสามแล้ว การมีทรัพยากรในการฝึกบำเพ็ญที่ดีก็ทำให้พลังความสามารถของเขาก็เลยไปถึงขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่หนึ่งได้ และเขาก็คิดว่าการที่จะทำให้เจ้าเด็กนี่ตายนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายนัก

หลังจากที่เปลวเพลิงนั้นได้พุ่งออกไป มู่เฉียนซีก็สามารถหลบจากมันได้พ้น

“ไร้ซึ่งแรงกระเพื่อมจากพลังวิญญาณธาตุใด ๆ”

“จักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่ห้า”

“ชิ! ยโสโอหังเช่นนั้น ข้ายังหลงคิดว่าคงจะร้ายกาจพอ ๆ กับนายน้อยอวิ๋นซิว! นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีความสามารถเพียงเท่านี้”

“ทั่วทั้งแดนตะวันออกยังจะมีผู้ใดสามารถเทียบกับนายน้อยอวิ๋นซิวได้หรือ?”

“หลบอีกสิ ข้าจะดูว่าเจ้าจะหลบไปที่ไหนได้!”

เมื่อถูกผู้ที่อ่อนแอกว่าเขาหลบการโจมตีของเขาได้ หงเหมาก็โกรธเกรี้ยวเข้าแล้ว

การโจมตีนั้นดุเดือดขึ้นไปเรื่อย ๆ อีกทั้งมู่เฉียนซีทำได้เพียงแต่นำกระบี่ของนางขึ้นมาและทำได้เพียงวาดฟันกระบี่ออกไปอย่างเบาบางเท่านั้น

“เงาจันทราคู่!”

ปราณกระบี่สีเงินพุ่งไปทางหงเหมาด้วยความรวดเร็วปานสายฟ้าฟาดอย่างฉับพลัน ไม่ทันให้ได้อุดหูป้องกันเสียงเลยแม้แต่น้อย

ส่วนเจ้าขนแดงก็ได้ก้มตัวหลบพร้อมกับกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถหลบได้แล้วข้าจะหลบไม่ได้…”

ยังไม่ทันที่เขาจะกล่าวจบ ลูกน้องของหงเหมาก็ตะโกนขึ้น “พี่ใหญ่หงระวัง!”

กระบวนท่าที่มู่เฉียนซีใช้ก็คือเงาจันทราคู่ วงเดือนนั้นจึงมิได้มีแค่เพียงวงเดียว

วงเดือนสีเงินอีกวงหนึ่งได้หมุนอ้อมมาจากทางด้านหลังของเขา

“พรวด!” โลหิตสีสดได้พุ่งออกมาจากตรงหน้าของเขา

ทุกคนล้วนแต่มาเพื่อเข้าร่วมการทดสอบจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสู้กันให้ตายตกกันไปข้าง เช่นนั้นแล้วมู่เฉียนซีจึงทำการอย่างเหมาะสมพอดี

แม้ว่ากระบวนท่ากระบี่นี้จะเจ็บปวดนัก แต่ก็ไม่ถึงกับที่จะฆ่าสังหารจนถึงแก่ชีวิต!

“ลูกพี่!”

“ล้างแค้นให้ข้า!”

ก่อนที่หงเหมาจะหมดสติไป เขาก็ยังคงจ้องมองมู่เฉียนซีด้วยความไม่ยินยอมและหวังว่าลูกน้องของเขาผู้นั้นจะล้างแค้นมู่เฉียนซีให้

มู่เฉียนซีส่ายหัวแล้วกล่าว “บอกกับเจ้าแต่แรกแล้วว่าให้สู้แบบรถศึกเวียนรุม และนี่จึงทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส มาเสียใจภายหลังก็ไม่ทันเสียแล้ว!”

“ไอ้หนู เจ้าตายแน่”

“แก้แค้นให้พี่หงเหมา!”

“……”

ปัก ปัก ปัก! จำนวนคนมากสู้แบบรถศึกวนเวียนไปก็ไร้ประโยชน์

ถึงแม้ว่าระดับของพวกเขาจะไม่ต่ำ แต่มู่เฉียนซีมองว่าประสบการณ์ในการต่อสู้สนามจริงของพวกเขานั้นแทบจะเป็นศูนย์

“ปัง ปัง ปัง!” จากนั้นคนเหล่านี้ก็ได้ร่วงลงไปบนพื้นทีละคน ๆ หลังจากที่พวกเขาลุกไม่ขึ้นแล้วเสี่ยวหงก็ได้ฉวยโอกาสนี้ทำการปล้นชิง

นี่เป็นของดีที่สามารถจะทำให้มันกลายเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าได้เร็วกว่าเจ้าแมวโง่นั้นไปก้าวหนึ่ง มีมากมันไม่กลัวหากแต่กลัวจะมีน้อย

มู่เฉียนซีกล่าว “ไปต่อ!”

มีเสี่ยวหงอยู่ มู่เฉียนซีก็เก็บเกี่ยวอย่างสมบูรณ์ไปตลอดทาง

เหล่าผู้ที่เข้ามาหาเรื่องนางได้ล้มกันไปทีละกลุ่ม ๆ นั่นทำให้เสี่ยวหงได้กำไรไปไม่น้อย

สิ่งที่ทำให้มู่เฉียนซีประหลาดใจก็คือ นางได้ก่อให้เกิดความวุ่นวายในการทดสอบนี้ไปไม่น้อย แต่ทางด้านไป๋เหยียนเอ๋อร์นั้นกลับเงียบเชียบไร้วี่แวว

เมื่อพวกไป๋เหยียนเอ๋อร์และข่งชัวเข้ามาในที่แห่งนี้ก็ได้หายไปในทันที สำหรับผู้ที่เป็นผู้คุมสอบแล้วมันค่อนข้างที่จะเป็นการละทิ้งหน้าที่อยู่บ้าง

หรือการที่พวกเขาเข้ามาในโบราณสถานแห่งเพลิงนี้ยังมีแผนการอื่นอยู่อีก?

หลังจากอยู่ที่โบราณสถานแห่งเพลิงมาเป็นระยะเวลายาวนาน เสี่ยวหงก็พลันบอกกับนางขึ้นมาว่ามีสถานที่แห่งหนึ่งที่มีพลังวิญญาณของธาตุไฟอย่างเข้มข้นอยู่

“ทางนั้นจะต้องมีศิลาวิญญาณเพลิงอยู่มากมายเป็นแน่ พวกเรารีบไปกันเถอะนายท่าน!” เสี่ยวหงกล่าวอย่างไม่สามารถที่จะอดทนรอได้แล้ว

ในที่สุดมู่เฉียนซีก็ได้เข้าใจถึงคำว่าอยู่ใกล้สีแดงตัวแดง อยู่ใกล้หมึกตัวดำเสียแล้ว เสี่ยวหงได้ถูกอู๋ตี้พาให้เสียคนแล้วจริง ๆ

แม้ว่าจำนวนของศิลาวิญญาณเพลิงในตอนนี้ก็เกรงว่าจะไม่มีผู้ใดมีมากไปกว่านางแล้ว แต่ทว่าของดีเช่นนี้นางไม่รังเกียจที่จะมีเอาไว้เป็นจำนวนมาก

มู่เฉียนซีกล่าว “เช่นนั้นพวกเราไปกันเถอะ!”

ติดตามความรู้สึกของเสี่ยวหงเข้าไปใกล้สถานที่แห่งนั้น มู่เฉียนซีก็พบเข้ากับป้อมปราการที่ดูราวกับคบเพลิงเข้าแห่งหนึ่ง

“โบราณสถานแห่งเพลิงกลับมีของเช่นนี้อยู่ด้วย?” มู่เฉียนซีตะลึงค้าง

เสี่ยวหงซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของมู่เฉียนซีแล้วกล่าว “นายท่าน ศิลาวิญญาณเพลิงมีเพียงพอแล้ว พวกเราอย่าเข้าไปกันเลย สถานที่แห่งนี้ให้ความรู้สึกหนึ่งที่ไม่ดีเป็นอย่างมากกับข้า”

เมื่อมันเกี่ยวข้องกับเรื่องของความปลอดภัยของคน เสี่ยวหงเองก็ไม่ละโมบโลภมากแล้ว

มู่เฉียนซีกล่าว “มาก็มาแล้ว บุกเข้าไปดูสักหน่อยเถอะ!”

เสี่ยวหงกล่าว “เช่นนั้นข้าจะปกป้องนายท่านให้ดีอย่างแน่นอน”

มู่เฉียนซีพุ่งไปยังป้อมปราการทรงคบเพลิงแห่งนั้น แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะบังเอิญยิ่งนัก หนทางที่คับแคบนั้นทำให้นางได้พบกับผู้คนกลุ่มหนึ่งเข้า

คนกลุ่มนี้ก็คือพวกไป๋เหยียนเอ๋อร์ที่ได้หายตัวไปเป็นเวลานาน

สีหน้าของข่งชัวที่มองเห็นมู่เฉียนซีนั้นไม่เป็นมิตรเป็นอย่างมาก “พวกเราหามาอย่างยาวนานถึงพบกับสถานที่แห่งนี้ แต่เจ้าเด็กนี่กลับหาได้พบไวกว่า รึว่าเฟิงอวิ๋นซิวให้เบาะแสอะไรกับเจ้า?”

ไป๋เหยียนเอ๋อร์กล่าว “ข่งชัว ถ้าหากว่านายน้อยอวิ๋นซิวรู้ละก็ คงจะไม่ปล่อยเขามาคนเดียวหรอก คงเป็นเพราะคุณชายมู่หรงบังเอิญมาพบสถานที่แห่งนี้เข้าเป็นแน่ ใช่หรือไม่?”

เป้าหมายของพวกเขากลับเป็นป้อมปราการแห่งนี้

มู่เฉียนซีกล่าวด้วยสีหน้าที่จะยิ้มก็ไม่ยิ้ม “บังเอิญจังเลยนะท่านผู้คุมสอบทุกท่าน!”