ตอนที่ 1052 เป็นห่วงชีวิตตนเอง

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

ตั้งแต่ในตอนแรกที่พบพวกเขา มู่เฉียนซีก็ได้โยนอู๋ตี้เข้าไปในมิติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าไป๋เหยียนเออร์ไม่สามารถที่จะรู้ถึงตัวตนของมู่เฉียนซีได้

ไป๋เหยียนเอ๋อร์กล่าว “บังเอิญยิ่งนัก ที่แห่งนี้อันตรายอย่างที่สุด ถ้าหากพวกเรามาไม่ทันเวลา คุณชายมู่หรงก็อันตรายเสียแล้ว”

“ที่แห่งนี้มันมีอะไรกันแน่? ธิดาศักดิ์สิทธิ์ถึงได้บอกว่าอันตราย?” มู่เฉียนซีถามขึ้น

ข่งชัวกล่าว “เจ้าหนู เจ้าถามมากเกินไปแล้ว เจ้าจงรีบไปหาศิลาวิญญาณเพลิงให้พบแล้วเข้าร่วมการทดสอบเถอะ! ตรงนี้ไม่มีที่ให้เจ้าเข้ามายุ่งย่าม”

“ข้ามาที่นี่มันผิดกฏของการทดสอบรึไง?”

ไป๋เหยียนเอ๋อร์กล่าว “นั่นก็มิใช่หรอก คุณชายมู่หรงสามารถที่จะหาที่แห่งนี้เจอได้ก็นับว่าเป็นบุญของคุณชายแล้ว มิเช่นนั้นคุณชายมู่หรงเข้าไปกับพวกเราเป็นเช่นไร?”

ข่งชัวกล่าวอย่างไม่พอใจ “ธิดาศักดิ์สิทธิ์ จะให้เจ้าเด็กนี่เข้าไปจริง ๆ หรือ? นั่นไม่ค่อยจะเหมาะสมกระมัง!”

เหยียนเอ๋อร์กล่าว “ไม่เป็นไร! ที่นี่มีศิลาวิญญาณเพลิงอยู่ไม่น้อย หากว่าคุณชายมู่หรงสามารถเอาไปได้ละก็ บางทีก็อาจจะได้มาซึ่งคะแนนที่ดี”

ด้วยเมตตาใจดีของไป๋เหยียนเอ๋อร์ มู่เฉียนซีจึงได้เข้าไปในป้อมปราการนี้กับพวกเขา

เมื่อพวกเขาก้าวเข้าไปในป้อมปราการแห่งนี้ เสียงอันแหบแห้งเสียงหนึ่งก็ลอยมา

“หึหึหึ! หลายปีมานี้ ในที่สุดก็มีคนเข้ามาในเมืองเพลิงศักดิ์สิทธิ์ ขอแค่เพียงพวกเจ้าหาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ในเมืองเพลิงศักดิ์สิทธิ์นี้เจอ ขอแค่พวกเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญภูต เพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็จะมอบพลังวิญญาณธาตุไฟให้แก่พวกเจ้า”

ใบหน้าของไป๋เหยียนเอ๋อร์นั้นเผยความประหลาดใจออกมา มันเป็นเรื่องจริงจริง ๆ!

ขอเพียงนางได้พลังวิญญาณธาตุไฟมา เช่นนั้นแล้วความสามารถในการปรุงยาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นไปอีกอย่างแน่นอน มู่เฉียนซีนั้นจะสู้อะไร?

นางสามารถที่จะทิ้งห่างกับนักปรุงยาที่ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญภูตธาตุไฟได้ไกลอย่างสบาย ๆ

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ มู่เฉียนซีกลับรู้สึกแปลกประหลาดใจ นางถามกับเสี่ยวหงว่า “เสี่ยวหง เพลิงศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่นร้ายกาจถึงเพียงนั้นเลยหรือ? ข้าได้ศึกษาข้อมูลมามากมายก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน”

เสี่ยวหงกล่าวตอบ “นายท่าน ข้ารู้สึกว่าเจ้าหมอนี่กำลังพูดเหลวไหล แม้ว่าจะมีของล้ำค่าบางสิ่งที่สามารถทำให้มนุษย์มีพลังวิญญาณธาตุไฟได้ แต่ข้าก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนถึงของเช่นเพลิงศักดิ์สิทธิ์นี้”

“แน่นอนว่านายท่านคู่ควรกับสิ่งที่ดีที่สุด มีเพียงกระบี่มังกรเพลิงเท่านั้นที่ทำให้ท่านมีพลังวิญญาณธาตุไฟ นั่นถึงจะเป็นหนึ่งในใต้หล้า ไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งของเหลวไหลเหล่านั้น”

เพราะครอบครองแหวนมังกรเทพวารีและได้มาซึ่งพลังวิญญาณธาตุน้ำ แน่นอนว่ามู่เฉียนซีรู้ได้ถึงพลังวิญญาณที่มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพนิรันดร์มอบให้นั้นแข็งแกร่งเพียงใด มู่เฉียนซีพยักหน้าแล้วกล่าว “ข้ารู้แล้ว ข้าจะไม่ถูกล่อลวงอย่างแน่นอน”

มู่เฉียนซีมีเสี่ยวหงคอยเตือนไม่ให้ถูกล่อลวง แต่พวกไป๋เหยียนเอ๋อร์นั้นกลับไม่สามารถที่จะควบคุมตนเองเอาไว้ได้อยู่สักเท่าไร

นางกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านผู้อาวุโส พวกเราต้องทำเช่นไรจึงจะหาเพลิงศักดิ์สิทธิ์นั้นพบ?”

“เพลิงศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่กลางเมืองเพลิงศักดิ์สิทธิ์ ใครได้ไปก่อนก็เป็นของคนผู้นั้น”

หลังจากที่กล่าวจบก็มิได้มีเสียงใดอีกเลย

ไป๋เหยียนเอ๋อร์กล่าวอย่างตื่นเต้น “หา จะต้องหาให้พบ!”

ภายใต้การนำของไป๋เหยียนเอ๋อร์ พวกเขาได้ค้นหาในสถานที่ที่ถูกเรียกว่าเมืองเพลิงศักดิ์สิทธิ์

มู่เฉียนซีเดินตามหลังพวกเขาไปอย่างเงียบ ๆ โดยตลอด และรอโอกาสที่จะลงมือกับพวกไป๋เหยียนเอ๋อร์

ครืน!

ประตูใหญ่บานหนึ่งได้เปิดออก แสงเพลิงไหวระริกอยู่บนแท่นกลางตำหนักใหญ่ เปลวเพลิงเปลวหนึ่งได้ปรากฏขึ้น

ทันทีที่เปลวเพลิงนั้นปรากฏขึ้น สายตาของไป๋เหยียนเอ๋อร์ก็เผยแววของความหลงไหลออกมา ราวกับนางได้พบกับบุรุษรูปงามก็มิปาน

“นั่นคือเพลิงศักดิ์สิทธิ์? เพลิงศักดิ์สิทธิ์!” ไป๋เหยียนเอ๋อร์กล่าวอย่างตื่นเต้น

ข่งชัวกล่าวเสียงขรึม “ธิดาศักดิ์สิทธิ์แน่ใจหรือ?”

“ข้าแน่ใจ ข้าสามารถสัมผัสได้ เพลิงศักดิ์สิทธิ์กำลังเรียกหาข้า”

เกิดเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวสมองของนาง

หากต้องการได้เพลิงศักดิ์สิทธิ์ จะต้องใช้เลือดที่สดใหม่ที่สุดราดรดลงไปที่แท่นเพลิงศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นแล้วถึงจะได้มีชีวิตชีวา”

ดวงตาของไป๋เหยียนเอ๋อร์มืดครึ้มลง เลือดสด ๆ

คนรอบข้างล้วนเป็นคนของตนเอง จะมีก็เพียงแต่…

สายตาของนางจับจ้องไปที่ตัวของมู่เฉียนซี นึกไม่ถึงเลยว่าการพาเจ้านี่มาด้วยจะยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง

ธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่เปี่ยมไปด้วยความใจดีและมีเมตตาได้ออกคำสั่งในทันใด “ฆ่ามู่หรงเฉียนเยี่ยซะ”

แน่นอนว่าข่งชัวไม่ได้ปฏิเสธแต่กลับกล่าวอย่างตื่นเต้น “ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์ ข้าได้รอคำสั่งนี้ของท่านมานานแล้ว”

ข่งชัวกล่าว “ข้าเพียงคนเดียวก็เพียงพอที่จะจัดการเจ้าเด็กนี่ได้”

จากนั้นเขาก็หันมากล่าวกับมู่เฉียนซีด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้าหนู เจ้าฉวยโอกาสตอนที่ข้าถูกเฟิงอวิ๋นซิวทำร้ายข้าบาดเจ็บสาหัส ตอนนั้นช่างยิ่งใหญ่ยโสนักนะ! วันนี้เจ้าต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย”

มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “คำพูดเหลวไหลของเจ้ามิได้แค่มากธรรมดา! ถึงต่อให้ข้าไม่ลอบโจมตี เจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าอยู่ดี”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! เจ้านี่กำลังกล่าวเรื่องขบขันเสียจริง ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า เจ้าคิดว่าเป็นไปได้หรือ? พลังความสามารถของข้านั้นไปถึงระดับมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้าแล้ว”

ข่งชัวแผ่แรงกดดันของมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้าออกมา แต่สักครู่ต่อมามหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้าก็ได้กลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่หก

จากนั้นเขาก็ได้กลายเป็นมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่สามไปในทันที

เสียงหัวเราะของข่งชัวหยุดลงอย่างกะทันหัน เขาตะลึงงันไปโดยสิ้นเชิง “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

ไป๋เหยียนเอ๋อร์กล่าวขึ้นว่า “หรือว่า เมืองเพลิงศักดิ์สิทธิ์นี้จะสะกดพลังความสามารถของคนเอาไว้”

ไป๋เหยียนเอ๋อร์เองก็ได้ลองโคจรพลังวิญญาณขึ้นมาและพบว่าพลังความสามารถของนางจากระดับมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เจ็ดได้ดิ่งลงไปอยู่ที่มหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่หนึ่ง

คนอื่น ๆ ก็เป็นเช่นกัน!

มู่เฉียนซีได้ชักกระบี่เล่มยาวเล่มหนึ่งออกมา นางมองไปทางข่งชัวอย่างจะยิ้มก็ไม่ยิ้มแล้วกล่าว “ตอนนี้เจ้ายังคิดว่าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าอยู่อีกหรือไม่?”

เมื่อเข้าสู่เมืองเพลิงศักดิ์สิทธิ์พวกเขาก็คิดแต่ที่จะตามหาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ให้พบและกลับประมาทในตัวนางไป

นางวางยาพิษพวกเขาไปเล็กน้อย แต่พวกเขากลับไม่รู้สึกตัวอีกทั้งยังคิดว่าเป็นเพราะเมืองเพลิงศักดิ์สิทธิ์

ข่งชัวกล่าว “ถึงต่อให้พลังความสามารถจะลดลงไปอยู่ที่มหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่สามก็ยังแข็งแกร่งกว่าเจ้า”

มู่เฉียนซียิ้มอย่างสนุกสนานแล้วกล่าว “จริงเหรอ?”

“เงาเหมันต์จันทรา!” ทันทีที่พลังวิญญาณพุ่งออกไป เขาเองก็ได้เห็นถึงความแข็งแกร่งของกระบี่นี้ของมู่เฉียนซี

เขารับมืออย่างสุดกำลัง แต่สุดท้ายก็ถูกกระบี่นี้โจมตีจนต้องถอยหลังไปหลายก้าว

ไป๋เหยียนเอ๋อร์เองก็นึกไม่ถึงว่ามู่เฉียนซีจะสามารถใช้กระบวนท่ากระบี่ที่ลึกลับเช่นนี้ได้ สีหน้าของนางได้เผยแววของความเคร่งขรึมออกมา

นางเอ่ยปากขึ้น “ข่งชัว ดูท่าแล้วเจ้าคงไม่ไหว! เรามาร่วมกันจัดการกับมู่หรงเฉียนเยี่ยผู้นี้เถอะ”

หลังกล่าวจบไป๋เหยียนเอ๋อร์ก็ได้นำคนล้อมโจมตีเข้าไป

เมื่อเผชิญกับคนเหล่านี้ที่พลังความสามารถกลายเป็นอ่อนแอไป มู่เฉียนซีก็ได้พุ่งเข้าไปรับศึกและกวัดแกว่งกระบี่อย่างไร้ความปราณี

“เงาเหมันต์จันทรา!”

“เงาจันทราคู่!”

“……”

ตอนนี้มู่เฉียนซีใช้เป็นแค่สองกระบวนท่านี้ แต่เห็นได้ชัดเลยว่ามันเป็นกระบวนท่าที่เหมือนกัน แต่พวกเขาก็ยังคงจับทางไม่ได้อยู่เช่นเดิมและหลบไม่พ้น!

“พรวด!” ปราณกระบี่ได้กรีดลงบนร่างของไป๋เหยียนเอ๋อร์เป็นรอยเลือดอยู่หลายรอย

ไป๋เหยียนเอ๋อร์ขมวดคิ้วด้วยความเจ็บ เจ้าเด็กนี่กล้าที่จะทำให้นางบาดเจ็บ…

“ท่านหมิงจี ช่วยข้าด้วย!”

นางขอความช่วยเหลือจากหมิงจี แต่นางไม่คาดคิดว่านางจะถูกหมิงจีตำหนิเข้า

“เจ้ามันคนไร้ประโยชน์ เรื่องแค่นี้ยังจะรบกวนให้ข้าออกโรง ข้าขี้เกียจจะสนใจเจ้าจริง ๆ”

ใบหน้าของไป๋เหยียนเอ่อร์แดงก่ำด้วยความคับข้องใจ ผู้ช่วยที่แข็งแกร่งไม่ยอมที่จะช่วยเหลือนั่นยิ่งทำให้นางโกรธกริ้วเข้าไปอีก

นางไม่อยากที่จะจากไป เพลิงศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ที่นี่

ในตอนนี้เอง เพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังลุกไหม้อยู่นั้นก็ได้หายไปจากบนแท่นสูง

ไป๋เหยียนเอ๋อร์ร้อนรนเข้าแล้ว “เพลิงศักดิ์สิทธิ์หายไปแล้ว!”

“บ้าจริง! ปล่อยให้เพลิงศักดิ์สิทธิ์หนีหายไปได้”

แสงสีเงินได้สาดวาบออกมา มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไป๋เหยียนเอ๋อร์ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมากังวลเรื่องเพลิงศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นเวลาที่ควรห่วงชีวิตของเจ้าเอง”