บทที่ 64 พลังสูญ (1)
อสูรทะเลตัวที่พยายามจะบุกเข้ามาในเกาะของซูเฉินคือม้าน้ำ
ม้าน้ำพลังสูญเป็นอสูรทะเลหายาก แม้จะเป็นราชันจักรพรรดิอสูร แต่ก็เกิดที่ใต้น้ำเท่านั้น พอโตมาก็ใช้ชีวิตอยู่บนท้องฟ้า เมื่อแก่ชราอาศัยอยู่บนพื้นดิน หรือก็คือมีสถานที่อยู่อาศัยถึงสามแห่ง แต่เพราะท้องสมุทรโศกา ม้าน้ำพลังสูญตัวนี้จึงต้องอาศัยอยู่ในทะเล
ม้าน้ำพลังสูญมีความสามารถสัมผัสถึงพลังสูญได้แต่กำเนิด
และในฐานะราชันจักรพรรดิอสูร ม้าน้ำพลังสูญจึงสามารถระบุตำแหน่งปลอดภัยเพียงจุดเดียวภายในแดนได้ มันจึงปรากฏตัวขึ้นและพยายามบุกเข้าเกาะปลอดภัยแห่งนี้มา
แท้จริงแล้วม้าน้ำพลังสูญแข็งแกร่งมากพอจะหาทางออกไปได้แม้ว่าดินแดนพลังสูญรอบกายจะพังทลายไปแล้วก็ตาม เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตไม่กี่อย่างที่สามารถเอาชีวิตรอดในดินแดนพลังที่ล่มสลายได้
แต่มันก็ต้องใช้ทั้งประสบการณ์ในการเดินทางผ่านแดนพลังสูญ และต้องเคยใช้ชีวิตอยู่ในนั้นมาก่อน
แม้ม้าน้ำพลังสูญตัวนี้จะแข็งแกร่งพอ แต่ยังขาดประสบการณ์ ดังนั้นถึงจะอาศัยอยู่ในแดนพลังสูญได้ แต่ก็ยังจะพยายามจะเข้ามาในเกาะของซูเฉิน เพราะมันอาศัยอยู่ด้วยตัวมันลำพังไม่ได้
มันจึงดึงดันจะเข้ามาอย่างเอาเป็นเอาตาย
หลังจากเข้ามาได้แล้ว มันยังรู้จักหันกลับไปซ่อมรอยแตกให้เสียด้วย ก่อนจะทรุดลงกับพื้นดูโล่งใจ
ดูเหมือนว่ามันจะตกใจไม่ใช่น้อย
และแล้วมันก็เหมือนจะสัมผัสบางอย่างได้ จึงเงยหน้าขึ้นมา สายตาสบกับซูเฉินที่จ้องมันกลับมาพอดิบพอดี
ม้าน้ำพลังสูญตัวพองขึ้นมาทันที
จากนั้นก็เห็นหุ่นเชิดยักษ์และแมลงภัยพิบัติของชายหนุ่มที่ปล่อยออกมา เจ้าม้าน้ำจึงเริ่มสั่นกลัว
ซูเฉินหัวเราะเย็นชา หากเป็นพวกมันกลุ่มใหญ่เขาคงรับมือไม่ไหว แต่ถ้าเป็นตัวเดียวเขาก็ไม่เกรงกลัว
แต่ครู่ต่อมา กลับเป็นซูเฉินที่ต้องตกใจไปเสียเอง
นั่นเพราะม้าน้ำพลังสูญเหลือบมองกำแพงด้านหลัง ก่อนทำท่าเป็นเชิงจะฟันมันทิ้ง
แม้มันจะพูดไม่ได้ แต่ท่าทางข่มขู่นั่นก็เข้าใจได้ชัดเจน
ข้าอาจจะเอาชนะเจ้าไม่ได้ แต่ผลของการต่อสู้นั้น… หึ ๆ
“เวรเอ๊ย ! ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะถูกสัตว์อสูรข่มขู่เอาเช่นนี้” ซูเฉินสบถออกมา
แม้ชายหนุ่มจะไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
พื้นที่เกาะนั้นก็ใหญ่มาก หากทั้งสองต่อสู้กันจริง แค่แรงผันผวนพลังก็คงทำลายความมั่นคงภายในเกาะได้แล้ว แม้ม้าน้ำพลังสูญจะไม่ลงมืออะไรก็ตามที
ดังนั้นสงบศึกกันไว้จะดีกว่า
“ก็ได้ เจ้าอยู่ตรงนั้น ข้าอยู่ตรงนี้” ซูเฉินใช้มือวาดเส้นแบ่งเขตเกาะ
ม้าน้ำพลังสูญไม่โง่ พยักหน้ารับก่อนจะเอนร่างลง ดูไม่กลัวว่าจะถูกลอบโจมตีแม้สักนิด
ตอนนี้ ท้องฟ้าเหนือเกาะก็แตกสลายไปจนหมดแล้ว
น้ำในบริเวณนี้ทั้งหมดถูกดูดขึ้นสู่ท้องฟ้าผ่านรูช่องทั้งหลาย มุ่งหน้าไปทิศใดไม่อาจรู้ และเมื่อเริ่มเกิดรอยแตกมากขึ้น สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในนี้จึงตายลง
สองชั่วยามต่อมา ทั่วทั้งแดนก็เหลือเพียงความว่างเปล่า มีเพียงเกาะน้อยที่ไม่ได้รับผลกระทบอะไร
มันเป็นผืนดินผืนเดียวที่ล่องลอยอยู่ในความว่างเปล่า สายน้ำที่ไหลวนอยู่รอบเกาะไหลวนไปไม่มีวันจบ เป็นความเคลื่อนไหวเดียวในดินแดนพลังสูญอันเวิ้งว้าง
ซูเฉินและม้าน้ำพลังสูญนั่งจ้องหน้ากันอยู่ด้านใน
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูเฉินก็หัวเราะขึ้นมา “อย่างไรเราก็ต้องอยู่ที่นี่กันสักพัก เจ้าเตรียมตัวไว้หรือยัง ?”
ม้าน้ำพลังสูญส่งเสียงเยาะ ซูเฉินไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร
“ดีจริง สหายเพียงหนึ่งเดียวของข้ากลับพูดไม่เป็นเสียอย่างนั้น” ซูเฉินพึมพำกับตนเอง
“นี่เจ้าหนู เจ้าหมายความว่าอย่างไร ? ลืมข้าไปแล้วอย่างนั้นหรือ ?” เสียงถีเข่อซือพลันเอ่ย
ซูเฉินว่า “อย่างน้อยมันก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่ท่านน่ะไม่ ท่านก็เป็นแค่ผีที่มีปากไว้พูดเท่านั้น”
ถีเข่อซือไม่พอใจ “หุบปาก ! เผ่าวิญญาณไม่ใช่ !”
“ก็ไม่ต่างกันมากนักหรอก”
ถีเข่อซือหัวเราะ “เด็กน้อยเอ๋ย ข้าถูกกักขังไว้สองหมื่นปี สภาพในปัจจุบันเช่นนี้ข้าก็พอใจแล้ว เพราะแค่เปลี่ยนที่ถูกขังเท่านั้น แต่กับเจ้าที่คุมสถานการณ์ไม่ได้…”
ฟ้าว !
ซูเฉินหยิบเอาทรัพยากรมากมายออกจากแหวนพลัง จึงให้ถีเข่อซือต้องเงียบไป วิญญาณชราเสียงตะกุกตะกักในพลัน “เจ้า… เจ้า… ทำไมถึงมีเสบียงติดตัวมากมายเช่นนี้ ?”
“ข้าเคยถูกขังเช่นนี้มาก่อน ครั้งนี้จึงเตรียมตัวไว้” ซูเฉินตอบ
ตอนที่ชายหนุ่มติดอยู่ในเขาพันพิษ ก็รอดมาได้จากเสบียงในแหวนพลัง
หลังจากนั้น ซูเฉินก็ยิ่งระแวงว่าจะต้องเจอกับสถานการณ์เช่นนั้นอีก และเพราะมีเงินอยู่มากมาย จึงพกแหวนพลังไว้หลายวงเช่นกัน
น่าตกใจที่เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับเขาอีกครั้ง ดูจากที่ถีเข่อซือเห็นแล้ว เป็นไปได้สูงว่าซูเฉินคงอยู่รอดไปได้อีก 7-8 ปีเลยทีเดียว
ไอ้เด็กนี่… ข้าไม่เข้าใจเขาเลย เรื่องเช่นนี้ก็เตรียมตัวมาด้วยหรือ ? วิญญาณอาวุโสประหลาดใจนัก
“ดูแล้วเจ้าจะเตรียมตัวมาอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็ตั้งความหวังไว้เถอะว่าสตรีของเจ้าจะหาทางช่วยเจ้าออกมาให้ได้ แต่การช่วยคนจากพลังสูญไม่ใช่เรื่องง่าย จะต้องแข็งแกร่งพอ แล้วยังต้องเข้าใจกฎทฤษฎีพลังสูญในระดับหนึ่งอีกด้วย” ถีเข่อซือหัวเราะ
“ข้าจึงไม่ได้ฝากความหวังทั้งหมดไว้กับพวกเขาอย่างไรเล่า” ซูเฉินเก็บเสบียงกลับแล้วลุกขึ้น จากนั้นเดินไปยังชายขอบเกาะแล้วลองสังเกตการณ์
“นั่นมัน… เนตรอาร์คาน่า?” ถีเข่อซือตาดีไม่เบา รู้ทันทีว่าชายหนุ่มกำลังทำอะไร
แต่ครู่ต่อมาก็ส่ายหัว “ไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าไปเอามันมาจากไหน แต่กฎแห่งพลังสูญไม่ใช่สิ่งที่เนตรอาร์คาน่าจะมอบให้ได้”
ซูเฉินว่า “แล้วถ้าหากข้ามีความเข้าใจเกี่ยวกับกฎแห่งพลังสูญบ้างแล้วเล่า”
“อะไรนะ ?” วิญญาณชราชะงัก “เป็นไปไม่ได้ เจ้าแข็งแกร่งไม่พอ…”
พูดยังไม่ทันจบประโยค ซูเฉินก็ยื่นมือออกไปนอกเขตปลอดภัย
แล้วก็เกิดภาพน่าตกตะลึงขึ้น
ขอบเขตนี้ควรจะมีเขตแดนมั่นคง หากซูเฉินอยากยืดแขนผ่านแดนออกไป ก็ต้องทำลายเกราะป้องกันเสียก่อน แต่มือเขากลับเอื้อมผ่านมันไปได้ราวกับไม่มีอะไรขวางอยู่
ซูเฉินยื่นมือออกไปยังแดนสูญ และเพราะมีพลังสูญรุนแรงไหลเวียนอยู่ภายนอก มือข้างนั้นจึงสลายกลายเป็นเถ้าอย่างรวดเร็ว
ซูเฉินดึงมือตนกลับมาก่อนเคาะมันดู เกิดเสียงเปรี๊ยะดังขึ้น ก่อนที่มือขวาจะร่วงลงพื้น
เป็นผลมาจากพลังทำลายล้างของพลังสูญนั่นเอง สิ่งมีชีวิตใด ๆ ก็ตาม หากอยู่ในพลังสูญแล้วก็จะสลายไป เหลือเพียงของไร้ชีวิตเช่นหินเท่านั้น
ที่ภายนอกนั่น ยังมีหินใหญ่หลายก้อนและของอื่น ๆ ลอยไปมาอย่างไร้จุดหมาย ด้านนอกอาจจะเคยมีน้ำทะเล มีอสูรทะเล หรือสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ อยู่ แต่เมื่อแดนพลังสูญล่มสลายลงแล้ว ก็เหลือไว้เพียงก้อนหิน
แม้ซูเฉินจะเสียมือไปแต่ก็ไม่สนใจอะไร
มีพลังมาจนถึงจุดนี้แล้ว เสียแขนขาไปก็สามารถงอกขึ้นมาใหม่ได้
แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงความผันผวนพลังสูญ ที่ยังหลงเหลืออยู่ในข้อมือข้างนั้นอยู่ ทำให้เขาไม่อาจงอกมือออกมาใหม่ได้
เป็นสิ่งที่เขาต้องการพอดี
เขาจ้องข้อมือตนเองเขม็ง
กฎแห่งพลังใช้การสังเกตไม่ได้ แต่ใช้การรับรู้สัมผัสถึงมันได้
แต่แม้เนตรมองโลกจุลภาคจะไม่สามารถมองเห็นกฎแห่งพลังได้ แต่ก็สามารถเห็นผลกระทบที่กฎแห่งพลังมีต่อวัตถุรอบกายได้ ซึ่งจะทำให้เขาเข้าใจกฎแห่งพลังมากยิ่งขึ้น
เขานั่งตกอยู่ในภวังค์ความคิด จ้องมองมือตนเองอย่างละเอียด
ถีเข่อซือเห็นดังนั้นจึงเข้าใจเช่นกัน
“ใช้ร่างกายตนเองเพื่อสัมผัสกฎแห่งพลัง ทั้งยังมีปฏิสัมพันธ์กับพลังสูญโดยตรง… เจ้าก็เข้าใจกฎแห่งพลังสูญอยู่บ้างสินะ แต่… มันเป็นไปได้อย่างไรกัน ?”
ถีเข่อซือไม่เข้าใจว่าซูเฉินที่ยังหนุ่มอยู่ และมีด่านพลังต่ำต้อยเช่นนี้ จะไปทำความเข้าใจกฎแห่งพลังได้อย่างไร
เพราะขนาดคนที่มีด่านพลังสูงสุดยังทำไม่ได้เลย !
ซูเฉินไม่มีเวลามาสนใจความตกตะลึงของถีเข่อซือ เขาทำเพียงนั่งสังเกตและสัมผัสร่องรอยพลังสูญที่ยังคงไหลเวียนอยู่ในมือไปเงียบ ๆ
นี่คือพลังสูญบริสุทธิ์ แข็งแกร่งมากพอจะทำลายไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใด แม้ว่าในเวลาปกติมันจะไม่ปรากฏ ซูเฉินก็ได้ใช้มือแลกพลังนี้มา ทว่าในขณะที่มันไหลผ่านข้อมือซูเฉิน ทำให้บาดแผลเลวร้ายมากขึ้น มันก็กัดกินตัวเองไปด้วยเช่นกัน
ไม่นาน ร่องรอยพลังสูญก็หายไป ซูเฉินสัมผัสถึงมันไม่ได้อีก
โดยปกติแล้ว เรื่องเช่นนี้มักเป็นเรื่องบังเอิญ ไม่ว่าจะได้อะไรจากร่องรอยพลังสูญเช่นนี้ก็ขึ้นก็แล้วแต่บุคคล และถ้าหากมันหายไปแล้วก็จะหายไปตลอดกาล
แต่อาจเป็นเพราะสถานการณ์พิเศษของซูเฉิน รอบข้างเขามีแต่พลังสูญเช่นนั้นอยู่เต็มไปหมด
ยังมีเกราะบาง ๆ ขวางกั้นระหว่างโลกภายนอกกับเกาะน้อยเอาไว้ แต่นั่นก็ทำให้ชายหนุ่มได้มีโอกาสทำการสำรวจดินแดนพลังสูญรอบกายด้วยเช่นกัน
เมื่อพลังสูญหายไปแล้ว มือเขาก็เริ่มงอกกลับมา
ไม่นานก็เกิดเป็นมือใหม่อย่างสมบูรณ์
ซูเฉินลองยื่นมือออกไปอีก สัมผัสได้ถึงพลังสูญที่ทำลายพลังชีวิตทั้งหลายในมือข้างนั้น โอบรับความเจ็บปวดทรมานยามพลังนั้นเสียดลึกเข้าสู่มือ
เมื่อดึงมันกลับเข้ามา ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ว่าพลังสูญกำลังกัดกร่อนแขนข้างนั้น
เขาทำเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก พยายามสัมผัสพลังสูญที่อยู่รอบกาย
มือข้างนั้นถูกทำลายและงอกขึ้นมาใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า
และเมื่อถูกทำลายไปถึงจุดหนึ่ง ซูเฉินก็จำเป็นจะต้องกินอาการเพื่อให้ได้พลังชีวิตกลับคืน จากนั้นก็เดินหน้าทำเช่นนั้นต่อไป
บนเกาะน้อยไร้ตะวันและจันทรา ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร อีกทั้งยังไม่มีอะไรให้ทำนอกจากนั่งรอไปวัน ๆ คนส่วนมากคงเสียสติไปแล้ว เพราะต้องอยู่ลำพังเป็นเวลานาน ในขณะที่ซูเฉินจมอยู่กับการวิจัย ถีเข่อซือก็เบื่อยิ่งนัก ดังนั้นจึงเริ่มสอนวิธีพูดให้ม้าน้ำพลังสูญ
ท้องสมุทรโศกาไม่ได้กดสติปัญญาของม้าน้ำพลังสูญไว้อีกต่อไป เมื่อได้คำสั่งสอนจากวิญญาณชราแล้ว สติปัญญาทั้งหลายของมันก็กลับคืนมา เริ่มพูดได้ขึ้นมา
เวลาผ่านไปเร็วนัก
ไม่มีใครรู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว แต่ก็รู้สึกว่านานจนเกือบชั่วชีวิตทีเดียว
ซูเฉินยังคงหมกมุ่นอยู่กับการวิจัย
ความเข้าใจเชิงพื้นของเขาที่ยิ่งลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆ
ตอนนี้แม้จะยื่นมือออกไปในพลังสูญ มือของเขาก็สามารถคงสภาพไว้ได้นานถึงระยะหนึ่งแล้ว
และเมื่อพลังสูญเสียดแทงเข้ามาในมือ มันก็จะเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย และขยับไหวไปมาราวกับต้องสายลมอ่อนโยน ผิดแต่ไม่ถูกทำลายอีกต่อไป
ถึงตอนนี้ ซูเฉินสามารถยืดแขนออกไปนอกเกราะป้องกันได้แล้ว