บทที่ 65 พลังสูญ (2)
การได้สัมผัสกับพลังสูญเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการทำความเข้าใจกฎแห่งพลังสูญ !
อย่างไรพลังสูญก็มีอยู่ทั่วทุกแห่งในแดนพลังสูญอยู่แล้ว และทุกเส้นสายแห่งพลังสูญก็เต็มไปด้วยกฎแห่งพลังสูญจำนวนมาก
ซูเฉินเป็นเหมือนเด็กในร้านของเล่น สอดสายตาดูรอบ ๆ ข้างอย่างคึกคะนอง ใช้เนตรมองโลกจุลภาคและสมองผลึกแก้วจนขีดสุด ความสนใจจนถึงขั้นคลั่งนี้ ทำให้พลังจิตเขาเพิ่มสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ
กระทั่งถีเข่อซือยังประหลาดใจกับความดื้อดึงนี้
เผ่าวิญญาณเป็นเผ่าพันธุ์ช่างเรียนรู้ ใช้เวลาในชีวิตส่วนมากหมดไปกับการวิจัย แต่เผ่าวิญญาณมักศึกษาด้านชีวภาพและพลังจิต ความรู้เรื่องกฎแห่งพลังและคุณสมบัติทางกายภาพนั้นยังด้อยกว่านัก
กระนั้นก็มีความมานะพยายามเหมือนกัน ดังนั้นถีเข่อซือมองซูเฉินแล้วก็ทำให้นึกถึงตนเองเมื่อก่อนขึ้นมา
ในวันนี้ ซูเฉินก็ยังทำความเข้าใจกฎแห่งพลังสูญอยู่เหมือนเคย
ตอนนี้ เขาสามารถขยับตัวกว่าครึ่งร่างออกไปในแดนพลังสูญได้ เพื่อรับและสัมผัสพลัง
น่าเสียดายที่ทำได้เช่นนั้นเพียงครู่เดียวก็ต้องขยับกลับเข้ามา
หลังกลับเข้ามาในพื้นที่ปกติแล้ว ร่างกายส่วนที่ถูกทำลายด้วยพลังสูญก็จะค่อย ๆ ฟื้นฟู
ถีเข่อซือเอ่ย “เจ้ารุดหน้าเร็วมาก น่าประหลาดใจที่สามารถปรับตัวกับพลังสูญได้แล้ว”
แต่ซูเฉินกลับส่ายหน้า “ยังเร็วไม่พอ ถีเข่อซือ ท่านคิดว่าสิ่งมีชีวิตพลังสูญเอาชีวิตรอดอยู่ในแดนนี้ได้อย่างไร ?”
“เดิมทีมันก็เป็นส่วนหนึ่งของพลังสูญอยู่แล้ว” ถีเข่อซือพูดตามตรง “เมื่อเลือดและเนื้อผสมเข้ากับพลังสูญ มันก็จะได้รับการ ‘ยอมรับ’ อย่างเป็นทางการจากพลังสูญ พวกมันจึงไม่ถูกพลังนี้ทำลาย แต่เจ้าไม่ใช่สิ่งมีชีวิตพลังสูญ ดังนั้นแดนพลังสูญถึงไม่รู้จักเจ้า เป็นเหตุให้พื้นที่พลังสูญกัดกินร่างกายของเจ้าจนกว่าจะเหลือเพียงชิ้นส่วนไร้ชีพที่สามารถคงอยู่ในแดนพลังสูญได้”
ซูเฉินพยักหน้าเห็นด้วย “ข้าก็คิดเห็นเช่นนั้น มองอีกมุมนึงก็คือจะต้องมีสสารต้นกำเนิดพิเศษบางอย่างที่ทำให้สิ่งมีชีวิตพลังสูญ ได้รับการยอมรับจากแดนพลังสูญเช่นนั้นกระมัง ?”
เมื่อม้าน้ำพลังสูญที่อยู่ห่างออกไปได้ยินซูเฉิน มันก็ชูคอขึ้นด้วยความสงสัย
หลังถีเข่อซือสอนให้มันพูด มันจึงเข้าใจบทสนทนาด้วยเช่นกัน
ถีเข่อซือพยักหน้า “แต่เจ้าจะค้นพบมันได้ก็ต่อเมื่อ… อ้อใช่ ลืมไปว่าเจ้ามีเนตรอาร์คาน่า”
“ข้ายังพกของวิจัยติดตัวไว้ด้วย” ซูเฉินหันไปมองม้าน้ำพลังสูญ “มาตกลงกันหน่อยเป็นไร ? ขอยืมเลือดเจ้าสักหน่อย”
ม้าน้ำพลังสูญสะบัดหน้ากลับไปทันที ไม่สนใจข้อเสนอของชายหนุ่ม
เกาะนี้มีขนาดเล็กเกินไป หากต่อสู้กันย่อมถูกทำลายเป็นแน่ ในเมื่อซูเฉินโจมตีมันไม่ได้ ก็ได้แต่ต้องแก้ปัญหาอย่างสงบ
เขาเหลือบมองถีเข่อซือ “ท่านช่วยโน้มน้าวมันให้หน่อย”
ซูเฉินเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการวิจัย ทำให้ไม่ได้สนใจม้าน้ำพลังสูญเลย แต่ถีเข่อซือนับว่ากลายเป็นอาจารย์ของมันไปแล้ว ดังนั้นจึงมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
ถีเข่อซือหัวเราะ “ทำไมข้าต้องช่วย ?”
“อย่างไรท่านก็อยากกลับไปโลกจริงโดยเร็วใช่ไหมเล่า ?”
“หากข้าเป็นอิสระ” ถีเข่อซือว่า
“เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้” ซูเฉินปฏิเสธทันควัน “ท่านช่วยทำให้งานวิจัยข้ารุดหน้าได้รวดเร็ว แต่ก็ใช่ว่าจะหาคนมาแทนไม่ได้ ไม่มีท่านแล้ว ก็แค่ต้องเสียเวลาขึ้นหน่อยเท่านั้น แต่หากท่านช่วยข้า ข้าสัญญาว่าจะนำท่านไปปลูกไว้บนยอดเขาที่สวยที่สุดของเขาหมื่นดาบ ไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบในเขตภูเขา แต่จะออกไปไหนไม่ได้”
“งั้น… ก็ได้ ข้าตกลง” ถีเข่อซือไม่คิดต่อรองอีก เขารู้ว่าซูเฉินกล่าวไว้ไม่ผิด
วิญญาณชราจึงเดินเข้าไปโน้มน้าวม้าน้ำพลังสูญ
ผ่านไปไม่เท่าไหร่ ม้าน้ำพลังสูญก็ตกลงจะมอบเลือดให้ซูเฉินขวดหนึ่ง
เมื่อมีเลือดของมันแล้ว ความเข้าใจเรื่องกฎแห่งพลังสูญของเขาก็สูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ความแข็งแกร่งก็เช่นกัน ไม่นานเขาก็สามารถแช่ตัวเองค้างไว้ในพลังสูญได้
แม้จะไม่สามารถรั้งอยู่ได้นาน แต่ก็แข็งแกร่งมากพอจะออกไปจากเกาะน้อย และเคลื่อนไหวรอบเกาะได้สักครั้งหนึ่งโดยไม่ได้รับอันตรายใด
สถานการณ์ของเขาก็เหมือนติดอยู่บนเกาะร้าง พยายามเรียนรู้วิธีการว่ายน้ำ จะได้สามารถว่ายข้ามมหาสมุทรเพื่อหาทางกลับบ้านได้
แต่การเรียนรู้วิธีเคลื่อนไหวผ่านพลังสูญ ยากกว่าการเรียนว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรมากกว่าหลายเท่า
วันนี้ซูเฉินบินวนรอบเกาะน้อยราวสองรอบ ก่อนจะกลับเข้ามา
กลับเข้ามาแล้วก็ถามว่า “นานเท่าไร ?”
ถีเข่อซือชี้ไปยังนาฬิกาทราย “พลิกหนึ่ง”
นาฬิกาทรายนี้ถูกสร้างขึ้นบนเกาะน้อย เวลาไม่ตรงสักเท่าใด แต่หนึ่งพลิกก็แทนเวลาได้ประมาณหนึ่งเค่อ
ซูเฉินระบายยิ้มพึงพอใจ
“พรุ่งนี้ข้าจะลองไปให้ไกลกว่าเดิม” คำว่า “พรุ่งนี้” หมายถึงนาฬิกาทรายพลิกไป 100 ครั้ง
ถีเข่อซือไม่แปลกใจ
ที่ซูเฉินสามารถวนรอบเกาะได้อย่างสบาย ๆ เช่นนี้ ก็หมายความว่าสามารถออกสำรวจได้ไกลกว่าเดิมแล้ว
ทว่าถีเข่อซือก็ยังเตือนซูเฉิน “ระวังด้วย อย่าเข้าใกล้พลังงานสูญที่ปั่นป่วนจนเกินไป เจ้ายังรับมือมันไม่ไหว”
“ข้ารู้แล้ว”
วันต่อมา
ซูเฉินก็ออกจากเกาะไปอย่างปลอดภัย มุ่งหน้าสู่ดินแดนพลังสูญ
พลังงานสูญกระจายไปทั่วร่าง ทำให้มันสั่นไหวเบา ๆ
กฎแห่งพลังสูญพี่เขาทำความเข้าใจได้แล้ว กำลังปกป้องร่างกายของเขา ไม่ให้ถูกพลังในแดนพลังสูญทำลาย อีกทั้งการวิจัยของชายหนุ่มก็มาถึงขั้นที่ตอนนี้เขาสามารถผลิตสสารต้นกำเนิดพลังสูญ ที่สามารถขัดขวางการทำงานของความผันผวนพลังสูญที่ยังรับมือไม่ได้ มันเป็นสสารที่ชายหนุ่มดึงออกมาจากเลือดม้าน้ำพลังสูญ มันช่วยกระจายพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวของแดนพลังสูญออกไปได้ แต่เพราะยังไม่อาจดึงสายเลือดออกมาได้ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถผลิตสสารตัวนี้ออกมาได้เอง แต่ด้วยม้าน้ำพลังสูญก็ติดอยู่บนเกาะเช่นกัน ซูเฉินจึงมีสสารต้นกำเนิดพลังสูญให้ใช้ จากการนำเลือดของมันมากลั่นเรื่อย ๆ
ทว่าสสารตัวนี้ก็ยังไม่สามารถสลายพลังสูญได้ทั้งหมด ชายหนุ่มยังต้องรับมือกับพลังที่เหลือเองอยู่ดี
พลังทำลายล้างของมันพุ่งเข้าทำลายพลังชีวิต ทำให้ผิวหนังเริ่มเปลี่ยนสีคล้ายขี้เถ้า จังหวะเต้นของหัวใจเริ่มเหนื่อยล้า
แต่หากกลับไปในเกาะน้อยได้ทันเวลาก่อนที่ร่างจะสลายไป เขาก็ยังสามารถใช้พลังต้นกำเนิดเติมพลังชีวิตที่สูญเสียไปได้
ด้วยเพราะนี่เป็น “การออกเดินทาง” ในขั้นต้น ซูเฉินจึงไม่กล้าออกห่างจากเกาะน้อยมากนัก
อันที่จริงเขาบินออกมารอบนอกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ดังนั้นก็ยังนับว่าเคลื่อนไหวอยู่แถวเกาะน้อย ยามมองก็ยังเห็นเกาะอยู่ในสายตา
แต่หลังจากนั้นมา ซูเฉินก็เดินทางออกไปได้ไกลขึ้น ใช้เวลาอยู่ในพลังสูญนานขึ้นกว่าเดิมเรื่อย ๆ
วันหนึ่ง ในขณะที่ซูเฉินกำลังบินอยู่นั้น ก็พลันเห็นหินขนาดใหญ่ลอยลิ่วเข้ามา
บางครั้งก็จะมีหินรูปร่างประหลาดปรากฏอยู่รอบเกาะน้อย ซูเฉินเคยเห็นพวกมันอยู่หลายก้อน
แต่เจ้าก้อนนี้ดูแตกต่างออกไป แม้มันจะเป็นหินก้อนหนึ่ง แต่ก็มีรูปร่างเหมือนฉลามยักษ์ ปากที่อ้ากว้างเต็มไปด้วยเขี้ยวแหลมคม บนหลังมีแท่งแหลมหลายแท่งประดับอยู่ หน้าตาเหมือนกับฉลามหลังแหลมมาก มันเป็นอสูรทะเลที่ดุร้ายมากตัวหนึ่ง จึงไม่แปลกที่เขาจะจำมันได้
แต่ทำไมถึงมีหินรูปฉลามหลังแหลมลอยอยู่ในดินแดนพลังสูญได้ล่ะ ?
ซูเฉินอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะเข้าใจบางอย่าง
มันไม่ใช่รูปปั้น แต่เป็นตัวจริงเลยต่างหาก !
เพราะดินแดนแห่งนี้เคยอยู่ในท้องสมุทรโศกา ในอดีตเคยเป็นบ้านให้กับอสูรทะเลทรงพลังเหล่านี้
และพวกมันทั้งหมดก็กลายเป็นรูปปั้นหินเพราะพลังสูญ
รูปปั้นจักรพรรดิอสุรกายงั้นหรือ ?
จะเอามาใช้ประโยชน์อะไรได้บ้างหรือไม่ ?
ซูเฉินคิดได้ดังนั้นก็รีบพุ่งไปยังหินก้อนใหญ่
เมื่อมาถึง เขาก็ลองใช้หลังมือเคาะดู ก็เหมือนจะเป็นรูปปั้นปกติธรรมดาทั่วไป
แต่มันเคยเป็นจักรพรรดิอสุรกายมาก่อน ตายไปแล้วจะไร้ประโยชน์ได้ขนาดนี้เชียวหรือ?
ซูเฉินจึงลองต่อยมันสักหมัด
รูปปั้นนี้แข็งแกร่งเหลือเชื่อ หมัดของเขาเหมือนจะไร้ผล
กระทั่งซูเฉินยังตกใจ มือพลันพยิบมีดไร้แสงขึ้นมา
มีดไร้แสงผ่าหินชั้นนอกออกได้อย่างง่ายดาย จังหวะนั้นชายหนุ่มก็รู้สึกสนอกสนใจขึ้นมา
เขาสัมผัสได้ว่ามีดไร้แสงนั้นสื่อว่ามันกำลังหิวโหย
ซูเฉินคุ้นเคยกับความรู้สึกนี้เป็นอย่างดี
นี่คือคุณสมบัติพิเศษของมีดไร้แสง นับตั้งแต่มันหลอมรวมเข้ากับดาบศิราทองคำ มันก็จะมีการตอบสนองเช่นนี้ หากสัมผัสได้ว่ามีสิ่งที่มันต้องการอยู่ใกล้ ๆ
และสิ่งเดียวที่มันต้องการก็คือโลหะ
ดังนั้นในหินนี้ต้องมีโลหะอยู่แน่ !
ซูเฉินเข้าใจทันที
เขาเปิดใช้พลังดูดซับของดาบศิราทองคำ โลหะทั้งหมดภายในหินเริ่มไหลเข้ามาในมีดไร้แสง
ไม่นาน มีดไร้แสงก็ส่องแสงเรืองขึ้น พร้อมกับยืดขยายออกอีกครั้งหนึ่ง
มีดไร้แสงนี้ เดิมทีก็มีขนาดใหญ่พอสมควรอยู่แล้ว ก่อนที่จะดูดซับโลหะในรูปปั้นไป มันมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับเครื่องมือต้นกำเนิดระดับ 1 แต่หลังจากดูดซับโลหะ มันก็ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของเครื่องมือต้นกำเนิดระดับ 1 รู้สึกว่าใกล้จะทะลวงผ่านไปอีกขั้นเต็มที แต่ยังขาดพลังอยู่อีกเล็กน้อยเท่านั้น จึงยังไม่สามารถทำได้
“ทรงพลังขนาดนั้นเชียวหรือ ?” กระทั่งซูเฉินเห็นผลลัพธ์แล้วยังประหลาดใจ
แสงที่เรืองออกจากมีดไร้แสงเริ่มเลือนหาย หลังจากดูดซับโลหะทั้งหมดไปแล้ว พลังทำลายล้างของดินแดนพลังสูญไม่มีผลกับมัน และด้ามดูหนักขึ้นกว่าปกติ
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งซูเฉินก็ฟันมันใส่รูปปั้นหินอีกที
รูปปั้นฉลามหลังแหลมแยกออกเป็นสองท่อนในคราวเดียว
เศษหินกระจายไปทั่ว ซูเฉินทำเพียงยื่นแขนออกไป กำมือบดขยี้มัน จากนั้นก็ใช้เนตรมองโลกจุลภาควิเคราะห์องค์ประกอบ ยังมีเศษโลหะที่มีดไร้แสงไม่ได้ดูดซับไปอยู่ ภายใต้ดวงตาคู่นี้พวกมันไม่อาจเล็ดรอดไปได้
ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่ามันคือโลหะอะไร
“โลหะดาราสูญ ? เป็นโลหะดาราสูญจริงด้วย !” ซูเฉินตกตะลึง
ในใต้หล้านี้มีโลหะแปลกประหลาดอยู่มากมาย หนึ่งในนั้นมี 4 ประเภทที่เป็นที่รู้จักแพร่หลาย อันดับแรกคือโลหะกลั่นเทพดารา ซึ่งถูกกลั่นจนบริสุทธิ์มากเสียจนเกือบจะกลายเป็นแร่ศักดิ์สิทธิ์ น่าเสียดายที่มันทรงพลังเกินกว่าใครจะนำไปใช้อะไรได้ จนกระทั่งตอนนี้ ก้อนที่ซูเฉินได้มาก็ยังนอนอยู่ในคลังเก็บของ อันดับที่สองคือ โลหะปราการมืด ซึ่งได้มาจากต่างแดน หาได้ยากมาก โลหะชนิดนี้ใช้สร้างหุ่นเชิดยักษ์ อันดับที่สี่คือแก่นโลหะมาตฤเมฆา แข็งแกร่งกว่าโลหะปราการมืดเสียอีก หรือก็คือเป็นรองเพียงโลหะกลั่นเทพดาราเท่านั้น ทว่าการนำพลังมันต่ำมาก แก่นโลหะมาตฤเมฆาสามารถสร้างขึ้นบนทวีปต้นกำเนิดได้ แม้จะได้น้อยมาก แต่อย่างน้อยก็ยังพอหาได้ ตอนที่ยังไม่ได้มันมาจากหยงเยี่ยหลิวกวง เขายังคิดว่าจะใช้แก่นโลหะมาตฤเมฆากลั่นหุ่นเชิดยักษ์แทนอยู่เลย
แน่นอนว่าโลหะดาราสูญเป็นอันดับที่สาม
บางคนยังเชื่อว่าโลหะดาราสูญควรได้อันดับที่สองด้วยซ้ำ เพราะมันมีประโยชน์มากกว่าโลหะปราการมืด
โลหะดาราสูญไม่ได้แข็งแกร่งกว่าโลหะปราการมืดแต่อย่างใด การทำพลังของมันยังด้อยกว่าด้วยซ้ำ อยู่ในขั้นเดียวกับแก่นโลหะมาตฤเมฆา
ดังนั้นการตัดวิชาต้นกำเนิดด้วยเครื่องมือต้นกำเนิดที่ทำมาจากโลหะประเภทนี้ ก็จะไม่ช่วยเสริมพลังให้สูงขึ้นมากเท่าไร เป็นเหตุผลที่ทำให้คนมองมันด้อยกว่าโลหะปราการมืด
แต่โลหะดาราสูญก็ยังมีคุณสมบัติเฉพาะอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือมันมีคุณสมบัติเชิงพื้นที่
พลังเชิงพื้นที่ของโลหะดาราสูญนั้นทรงพลังมาก แหวนกักเก็บที่สร้างขึ้นจากโลหะนี้จะมีพื้นที่มากกว่า
แต่จะใช้มันเพื่อสร้างแหวนกักเก็บเพียงอย่างเดียวก็น่าเสียดาย ยังมีอีกหลายอย่างที่สามารถใช้คุณสมบัติเฉพาะนี้เสริมประโยชน์ได้ เช่นอุปกรณ์เสริมวิชาเคลื่อนกาย การสะท้อนพลังสูญในชุดเกราะ หรือจะเป็นการเสริมพลังสูญในมีดดาบ ไม่ว่าจะนำไปใช้กับอะไรก็นับว่ามีประโยชน์เป็นอย่างสูง
แต่ทวีปต้นกำเนิดไม่สามารถผลิตโลหะดาราสูญได้ จะหามันได้ก็มีแต่ในแดนพลังสูญเท่านั้น ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร
จนกระทั่งตอนนี้ที่ซูเฉินได้รู้วิธีนั้น