ภาคที่ 6 บทที่ 66 พลังสูญ (3)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 66 พลังสูญ (3)

เช่นนั้นโลหะดาราสูญก็ถูกสร้างขึ้น หลังจากที่สิ่งมีชีวิตทรงพลังสักตัวหนึ่งได้ถูกสังหารโดยพลังสูญ

ซูเฉินไม่อาจรู้ได้ว่าสิ่งมีชีวิตนั้นจะต้องแข็งแกร่งเพียงไร ที่เศษซากของมันจะสามารถก่อขึ้นเป็นโลหะดาราสูญได้ แต่เขาก็มั่นใจไม่น้อยว่า ไม่ใช่ทุกสิ่งมีชีวิตที่จะสามารถกลายเป็นโลหะประหลาดนี้ได้ โลหะนี้คงจะอยู่ระหว่างการผสมกันของแก่นของสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่ง และพลังที่ไร้เทียมทานของพลังสูญ ซึ่งส่งผลออกมาเป็นองค์กระกอบที่แปลกประหลาดของโลหะนี้

หลังจากที่ดาบไร้แสงได้ดูดซับโลหะดาราสูญของฉลามหลังแหลมเข้าไป ซูเฉินก็สามารถสัมผัสได้ว่า ผิวดาบไร้แสงในตอนนี้ได้ผสานกับกฎแห่งพลังสูญแล้ว

แต่พลังสูญนี้ก็ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างมากนัก มันจำเป็นจะต้องถูกชี้นำโดยจิตใจของซูเฉินก่อนที่มันจะทำสิ่งใดได้จริง ๆ

โชคดีที่ความหยั่งรู้ในกฎแห่งพลังสูญของซูเฉินใกล้จะไปถึงจุดสูงสุดแล้ว การควบคุมการไหลเวียนของพลังงานสูญจึงไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาแม้แต่น้อย

หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็พยายามรวบรวมพลังนี้ไว้ที่คมดาบ

การย้อมคมดาบด้วยพลังสูญจะส่งผลให้เกิดการโจมตีที่ทรงพลังอย่างถึงที่สุด ซึ่งก็เป็นเหตุเป็นผลกัน อย่างไรแล้วดาบไร้แสงก็คืออาวุธ ไม่เช่นนั้น หากเขาต้องการเคลื่อนกายไปรอบ ๆ แทน เขาจะใช้ดาบไปทำไมเล่า ?

ภายใต้การบังคับควบคุมของซูเฉิน พลังสูญเริ่มรวมตัวเข้าด้วยกันอย่างช้า ๆ

เมื่อมันได้ที่แล้ว ซูเฉินก็กวัดแกว่งดาบไร้แสง ขณะที่มันส่งเสียงหวีดหวิวเมื่อฟาดผ่านอากาศไป พลังงานสูญทำลายล้างล่องหน ก็ฉีกพื้นที่ว่างตรงหน้าออกราวกับจะล้างผลาญสิ่งใดก็ตามที่เข้ามาขวาง

โชคไม่ดีนักที่การใช้วิชานี้จะเปล่าประโยชน์ ขณะที่เขายังอยู่ในแดนพลังสูญ

แต่ถึงอย่างนั้น ซูเฉินก็พึงพอใจในผลลัพธ์ไม่น้อย

ด้วยความสามารถแปลกใหม่นี้ประกอบกับการปลดปล่อยการโจมตีพลังสูญ ดาบไร้แสงก็เริ่มเข้าใกล้ระดับของเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้น

แต่เครื่องมือศักดิ์สิทธิ์แสนทรงพลังก็มักจะมีทักษะต้นกำเนิดที่พวกมันสามารถปลดปล่อยได้อยู่บ้าง เพียงแค่ดาบพลังสูญนี้ยังไม่เพียงพอที่จะครอบครองชื่อนั้นได้

และซูเฉินก็ไม่มีพลังสำรองมากพอที่จะสร้างเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้งานได้หลากหลาย

แต่ไม่จำเป็นว่าเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ทุกชิ้นจะสามารถใช้งานทักษะต้นกำเนิดได้มากมายเสมอไป หากเครื่องมือชิ้นหนึ่งมีพลังเพียงแค่ประเภทเดียว แต่กลับทรงพลังอย่างถึงที่สุด มันก็ถูกนับว่าเป็นเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ได้เช่นกัน

หลังจากที่ดูดซับโลหะดาราสูญของจักรพรรดิอสูรนั่นเข้าไปแล้ว คุณสมบัติพลังสูญของดาบไร้แสงก็กลับกลายเป็นแข็งแกร่งไม่น้อยเลย ณ จุดนี้ ซูเฉินสามารถใช้มันเพื่อปลดปล่อยหลากหลายการโจมตีพลังสูญออกมาติดต่อกันได้ แต่เขาก็ยังไม่พึงพอใจ

ชายหนุ่มต้องการพัฒนาพลังสูญของดาบไร้แสงไปจนถึงขีดจำกัดสูงสุด เพื่อให้มันสามารถกลายเป็นเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจเทียบเคียงได้อย่างแท้จริง

ดังนั้นแล้ว ซูเฉินจึงออกล่าต่อไป

เขายังไม่ลืมว่าแดนพลังสูญแห่งนี้เคยเต็มไปด้วยจักรพรรดิอสูรหลายร้อยตัว

พวกมันบางส่วนได้หลบหนีไปยังหุบเหวนรก แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ไม่ได้ไปอย่างแน่นอน

พูดอีกอย่างคือ ยังคงมีโลหะดาราสูญปริมาณมากล่องลอยอยู่ข้างนอกนั่น ซึ่งกำลังรอคอยให้ถูกค้นพบ

แล้วชายหนุ่มจะปล่อยให้สมบัติทั้งหมดทั้งมวลนี่หลุดมือตนไปได้อย่างไร ?

เขาจึงเริ่มค้นหารูปปั้นจักรพรรดิอสูรเพิ่มเติมไปโดยปริยาย

ขณะที่ซูเฉินพเนจรไปในแดนพลังสูญและทบทวนตนเอง เขาก็จะค้นพบสมบัติชิ้นใหม่อยู่เสมอ ตอนนี้เมื่อชายหนุ่มมีเป้าหมายใหม่แล้ว ชีวิตประจำวันก็ดูจะน่าเบื่อหน่ายน้อยลงมาก

ระหว่างการค้นหา ซูเฉินก็ค้นพบรูปปั้นจักรพรรดิอสูรจำนวนหนึ่ง

พวกมันล้วนบรรจุโลหะดาราสูญไว้ภายใน ช่วยยืนยันความสงสัยของชายหนุ่มว่ามันถูกสร้างขึ้นได้อย่างไร

หลังจากที่ดูดซับโลหะดาราสูญมาจากจักรพรรดิอสูรอีก 2 ตัว ดาบไร้แสงก็แปรเปลี่ยนคุณภาพอีกหนึ่งครั้ง

ดาบไร้แสงธรรมดาดั้งเดิมอันถ่อมตัวในตอนนี้กำลังเรืองแสงสีประหลาด มองตาเปล่าแล้ว มันดูราวกับว่าดาบเล่มนี้ได้รับคุณสมบัติไร้ตัวตนและลวงตามาเล็กน้อย แก่นของมันรับรู้ได้ยากทีเดียว

ดาบไร้แสงที่ทั้งดูลวงตาและมีรูปร่างแบบแปลก ๆ ได้รับองค์ประกอบประหลาดบางอย่างมา หลังจากที่ดูดซับโลหะดาราสูญมาเพียงพอ มันไม่ได้มีรูปร่างสมบูรณ์อีกต่อไป แต่มันกลับดูลื่นไหลไปมาระหว่างความเป็นจริงและภาพลวงตา การโจมตีของมันแต่ละครั้งดูพร่ามัวแทนที่จะเฉียบคมและแม่นยำ หากซูเฉินโยนดาบนี้ขึ้นไปในอากาศ มันก็จะอันตรธานไปและปรากฏขึ้นใหม่อยู่เรื่อย ๆ ราวกับว่ามันกำลังเคลื่อนย้ายตัวไปตามทิศทางที่เขาโยนแทนที่จะบินขึ้นไป

คุณสมบัติผันผวนของพลังสูญนี้ ทำให้คาดเดาหรือทำนายการโจมตีของมันได้ยากอย่างเหลือเชื่อ

นอกจากนี้ ดาบไร้แสงดั้งเดิมนั้นคือเครื่องทำลายล้างที่พร้อมเสื่อมโทรมลงทุกสนามรบ เมื่อเกิดการผสมผสานระหว่างวิชาอาร์คาน่าและตัวดาบไร้แสงเอง ดาบไร้แสงก็จะต้องใช้โลหะปริมาณมากเพื่อลบล้างพลังของวิชาอาร์คาน่า และตอนนี้ หลังจากที่ถูกย้อมไปด้วยพลังสูญ ดาบไร้แสงก็สามารถทำลายพลังต้นกำเนิดได้แล้ว

เมื่อดาบไร้แสงปะทะเข้ากับการโจมตีที่ทรงพลัง มันจะทำลายทักษะต้นกำเนิดหรือวิชาอาร์คาน่าจากการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามโดยตรง ที่จริงแล้ว ส่วนหนึ่งของการโจมตีจากฝ่ายตรงข้ามจะถูกเบี่ยงไปสู่พื้นที่ลวงตา ทำให้พลังของมันลดลงอย่างมหาศาล ดังนั้นแล้ว ความสามารถในการป้องกันของดาบไร้แสงจึงถูกเพิ่มขึ้นสูงมาก ด้วยความสามารถในการทำลายล้างที่แท้จริงของมันอีกด้วย

ในที่สุด ซูเฉินก็มอบชื่อให้กับการโจมตีพลังสูญนี้ คมดาบฝ่ามิติ

การโจมตีที่ดูเหมือนจะทำลายทุกสิ่งที่ขวางทางนั้นแทบไม่อาจหลบหลีกได้ พูดอีกอย่างคือ คมดาบนี้อาจเป็นดาบที่ทรงพลังที่สุดที่มีอยู่จริงก็เป็นได้

ชุดเกราะเวหานั้นครอบครองผลเพียงแค่ 3 แบบ แต่ทั้ง 3 แบบนั้นล้วนทรงพลังเหนือธรรมชาติ นั่นทำให้มันยิ่งกว่าเหมาะสมกับชื่อเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์เสียอีก

และเพราะซูเฉินได้ประกอบดาบไร้แสงขึ้นด้วยตัวเอง จึงเป็นเพียงธรรมชาติที่เขาจะคุ้นเคยกับมันอย่างเหลือเชื่อ

ซูเฉินไม่ได้ปล่อยให้โลหะดาราสูญที่เหลืออยู่สูญเปล่าหลังจากที่ดาบนั้นพัฒนาขึ้นแล้วเช่นกัน

นอกจากจะสามารถต้านทานต่อพลังทำลายล้างของแดนพลังสูญได้แล้ว ซูเฉินยังจำเป็นจะต้องเคลื่อนที่ผ่านแดนพลังสูญนี้ไปอย่างรวดเร็วอีกด้วย

ดังนั้นแล้ว ซูเฉินจึงตัดสินใจที่จะใช้โลหะเงินดาราสูญเพื่อประกอบรองเท้าพลังสูญขึ้นมาสวมใส่

รองเท้าพลังสูญคู่นี้ถูกสร้างขึ้นจากหนังสัตว์อสูร ผ้าไหมสวรรค์ และโลหะเงินดาราสูญ ผ้าไหมสวรรค์คือสิ่งที่ชายหนุ่มพกมาเพื่อการเดินทางตามหาท้องสมุทรโศกา ส่วนหนังสัตว์อสูรนั้นถูกรวบรวมมาจากม้าน้ำพลังสูญในพื้นที่ แต่เดิมแล้วม้าน้ำพลังสูญนั้นไม่ยอมให้ความร่วมมือด้วย แต่ซูเฉินก็ได้หลอกล่อมันด้วยการแสดงความหยั่งรู้ในพลังสูญใหม่ล่าสุดของตน แล้วจึงโกหกว่าตัวเองนั้น มั่นใจว่าจะสามารถรักษาเกาะไว้ให้ไร้รอยขีดข่วนได้ หากทั้งคู่จะต่อสู้กันจริง ๆ ด้วยการข่มขู่นี้เท่านั้น ม้าน้ำพลังสูญก็ก้มหัวลงด้วยความเคารพเชื่อฟัง

อย่างไรก็ตาม ปริมาณหนังที่จำเป็นต้องใช้ในการประกอบรองเท้าสองข้างขึ้นนั้นก็ไม่ได้มากอะไร

แต่มีขั้นตอนหนึ่งในการประกอบสร้างที่สร้างปัญหาให้แก่ซูเฉินไม่น้อย เพื่อที่จะมอบคุณสมบัติแปลกประหลาดของมันให้แก่เครื่องมือต้นกำเนิดนี้ เขาก็จะเป็นต้องจารึกค่ายกลต้นกำเนิดไว้ในนั้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เขาเชี่ยวชาญนัก สถานการณ์ของดาบไร้แสงนั้นต่างออกไปเพราะมันเป็นเครื่องมือที่สมบูรณ์อยู่แล้วด้วยค่ายกลต้นกำเนิดของตัวเองข้างใน ดาบสายทองเพียงแค่สนองความหิวกระหายโลหะของดาบไร้แสงก็เท่านั้น

แต่รองเท้าคู่นี้จะต้องถูกสร้างขึ้นจากจุดเริ่มต้นทั้งหมด ซูเฉินจึงต้องจารึกค่ายกลต้นกำเนิดให้พวกมันด้วยตัวเอง

หลังจากพินิจพิเคราะห์อยู่หลายวัน เขาก็ตัดสินใจเลือกเส้นทาง ที่ค่อนข้างสุ่มเสี่ยงต่อการแก้ไขปัญหาอันยุ่งยากนี้ในที่สุด

เขาจะไม่จารึกค่ายกลต้นกำเนิด

เขาจะประทับกฎแห่งพลัง !

ด้วยระดับความเข้าใจในกฎแห่งพลังสูญของเขาแล้ว หากเขาสามารถประทับสิ่งนั้นลงไปในเครื่องมือได้ มันก็จะยิ่งกว่าสามารถแทนที่ค่ายกลต้นกำเนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพเสียอีก !

นี่คงจะเป็นครั้งแรกที่กฎแห่งพลังจะถูกใช้เป็นส่วนประกอบหลักของเครื่องมือสักชิ้นหนึ่ง

ซูเฉินไม่รู้เลยว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร แต่เนื่องจากมีโลหะดาราสูญและหนังสัตว์อสูรอยู่เหลือใช้ มันจึงคุ้มค่าที่จะลอง

ซูเฉินเริ่มประทับความหยั่งรู้ในกฎแห่งพลังของตัวเองอย่างเป็นจริงเป็นจัง รวมถึงวิธีการใช้งานลงบนรองเท้าคู่นั้น

มันแตกต่างไปจากค่ายกลต้นกำเนิดโดยสิ้นเชิง

ค่ายกลต้นกำเนิดนั้นถูกออกแบบมาให้ทำงานโดยกฎเกณฑ์ชุดหนึ่ง เมื่อค่ายกลถูกจารึกแล้ว ผลที่ตอบรับต่อกฎเหล่านี้ก็จะสามารถถูกปลดปล่อยออกมาได้

ส่วนกฎแห่งพลังนั้นเกี่ยวข้องกับหลักการซึ่งถูกควบคุมโดยการทำงานของโลกใบนี้ มันคือรากฐานของทุกสิ่ง ดังนั้น โดยทฤษฎีแล้ว มันสามารถปรับตัวได้อย่างไร้ขีดจำกัด

ค่ายกลต้นกำเนิดทำงานในระดับมหัพภาค ในขณะที่กฎแห่งพลังนั้นอยู่ในระดับจุลภาค ซึ่งสามารถเข้าใจและไขว่คว้าได้อย่างยากลำบากยิ่งนัก

ในแง่หนึ่ง การย้อมชิ้นส่วนเครื่องมือด้วยหลักการของกฎแห่งพลังจะมอบความเป็นไปได้ไร้ขอบเขตแก่มัน

ดังนั้นแล้ว ซูเฉินจึงไม่รู้เลยว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น เมื่อเขาประทับกฎแห่งพลังลงในรองเท้าคู่นี้ได้สำเร็จ ชายหนุ่มได้แต่ทำให้ดีที่สุด ในการชี้นำการสร้างสรรค์นี้ไปในทิศทางที่ตนต้องการ

รองเท้าสองข้างใช้ถึง 3 นาฬิกาทรายกว่าจะเสร็จสมบูรณ์

หลังจากที่ประทับรองเท้าด้วยส่วนสุดท้ายของกฎแห่งพลัง ซูเฉินก็ยกพวกมันขึ้นในอากาศ รองเท้าคู่นั้นก็ปลดปล่อยรัศมีลุ่มลึกและเร้นลับแผ่ซ่านออกมา ขณะที่พวกมันทำท่าจะกลายร่างอยู่ในมือของเขา

กฎแห่งพลังซึ่งไม่อาจรับรู้ได้ในสถานการณ์ทั่วไป ดูจะแสดงตัวออกมาในทันที ในตอนนั้นเอง ซูเฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงกฎแห่งพลังบนรองเท้าทั้งสองที่ใช้งานตามใจตัวเอง ซึ่งสร้างเป็นรูปร่างใหม่

ชายหนุ่มไม่รู้ว่ามันจะแปรเป็นสิ่งใด เขาจำกัดกฎแห่งพลังบนรองเท้าให้น้อยที่สุด ทำให้สามารถควบคุมมันได้อย่างอิสระเท่าที่ตัวเองจะทำได้

คำจารึกชุดใหม่ก็พลันปรากฏขึ้นเองบนรองเท้าคู่นั้น

มันคือค่ายกลต้นกำเนิด !

แต่ซูเฉินไม่ใช่ผู้ที่จารึกอักษรเหล่านี้ลงไป มันเกิดขึ้นเองต่างหาก

หลักการของสวรรค์และโลกได้ชี้นำค่ายกลของอักษรนี้ ให้มาปรากฏขึ้นบนรองเท้าพวกนี้

รองเท้าคู่นี้ได้ถูกสร้างขึ้นโดยสรวงสวรรค์นั่นเอง ซูเฉินไม่รู้ว่าเขาเพิ่งจะประสบความสำเร็จในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ถึงอย่างนั้น เขาก็มองไปยังรองเท้าในมือด้วยความตื่นเต้นอย่างหาเปรียบไม่ได้ ด้วยความอยากรู้ว่าผลแบบใดกันที่ถูกมอบให้แก่พวกมัน

จารึกของค่ายกลต้นกำเนิดปรากฏขึ้นอย่างเชื่องช้า ราวกับว่าใครบางคนกำลังวาดพวกมันขึ้นทีละตัวด้วยพู่กันอย่างพิถีพิถัน จนถึงตอนสุดท้าย จารึกก็ปรากฏขึ้นอย่างเชื่องช้าจนแทบจะรู้สึกเสมือนว่าพู่กันนั้นกำลังถูกล้างผ่านบ่อน้ำมันที่หนาหนืด

ถึงกระนั้น ยิ่งจารึกเหล่านั้นปรากฏขึ้นช้าเพียงไร ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่ารองเท้าคู่นี้กำลังถูกอาบด้วยพลังที่น่ามหัศจรรย์

แม้ว่ามันจะยังเป็นพลังสูญ แต่ตอนนี้มันก็มีคุณสมบัติที่สุดจะพรรณนา

กระทั่งซูเฉินก็รู้สึกว่าหัวใจตัวเองสั่นระรัวด้วยความกริ่งเกรงต่อรัศมีของรองเท้าคู่นี้

นี่คืออะไรกัน ?

เขาไม่อาจรู้

แต่เนื่องจากสถานการณ์ได้ดำเนินมาจนถึงจุดนี้แล้ว ชายหนุ่มจึงได้แต่รอดูต่อไป

ในที่สุด รองเท้าก็หยุดการเปลี่ยนแปลงไป

แสงทั้งหมดได้หายวับไปขณะที่รองเท้าหยุดนิ่งลง รองเท้ากลับไปยังสถานะปกติของมันอีกครั้งประหนึ่งว่าไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น

แต่ซูเฉินก็สามารถสัมผัสได้ว่าบางสิ่งนั้นแตกต่างออกไปอย่างชัดเจน

ราวกับว่า… บางสิ่งรอบตัวเขากำลังเปลี่ยนไป

ชายหนุ่มหยิบรองเท้าขึ้นมาอย่างระมัดระวังและมองไปรอบกาย

ในตอนนั้น เขายังอยู่บนเกาะ

เกาะนี้ก็ยังคงกระจัดกระจายและเปล่าเปลี่ยวเช่นเคย

นอกจากผีถีเข่อซือ และม้าน้ำพลังสูญผู้ใช้เวลาส่วนมากไปกับการนอนหลับแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดที่น่าใส่ใจมากนัก

ทว่าในตอนนั้นเอง ลางสังหรณ์ถึงอันตรายก็เริ่มคืบคลานเข้ามาหาชายหนุ่ม

ซูเฉินปล่อยหุ่นเชิดออกไป

การกระทำนี้ทำให้ม้าน้ำพลังสูญรู้สึกตึงเครียดขึ้นทันที กระทั่งถีเข่อซือก็รู้สึกได้ว่า การกระทำของซูเฉินนั้นน่าสงสัย

ถีเข่อซือมองไปรอบ ๆ และเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง “ข้าสัญญากับเจ้าได้เลยว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่รอบพวกเราเลยแม้แต่น้อย”

ถีเข่อซือคือชาวเผ่าวิญญาณ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดสามารถเร้นตัวจากประสาทสัมผัสของเขาได้ นอกเสียจากว่ามันจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

ถึงอย่างนั้น ลางบอกเหตุที่ซูเฉินรู้สึกก็เพิ่มไปถึงจุดสูงสุด

เขากระโดดขึ้นไปในอากาศในทันใด

ฟุ่บ!

ความผันผวนของพลังสูญขั้นรุนแรงกระเพื่อมผ่านชายหนุ่มไปอย่างรวดเร็วจนแทบมองไม่เห็น

มีเพียงผู้ที่หยั่งรู้ในกฎแห่งพลังสูญเท่านั้น ที่จะสามารถบอกได้ว่าการโจมตีครั้งนี้ อยู่ในระดับเดียวกับคมดาบฝ่ามิติอย่างแน่นอน หรือไม่ก็สูงยิ่งกว่านั้น

การโจมตี !

การโจมตีจริง ๆ !

ซูเฉินหมุนควงไปรอบ ๆ และฟาดฟันออกไปในทิศทางที่การโจมตีนั้นพุ่งเข้ามา

ไร้ซึ่งการตอบสนอง การโจมตีของซูเฉินไม่ได้สร้างผลตอบกลับแม้แต่น้อย !

ทุกสิ่งรอบกายนั้นว่างเปล่าเช่นเดิม อย่างกับว่าการโจมตีนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“เกิดอะไรขึ้น ! ทำไมเราถึงถูกโจมตีล่ะ ?!” ถีเข่อซือตะโกนออกมาด้วยความกระอักกระอ่วน “ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดอยู่ที่นี่นอกจากเราสามคนนะ !”

ซูเฉินมองไปรอบ ๆ และพึมพำอย่างคลุมเครือ “ผู้ที่โจมตีเราไม่ได้อยู่ที่นี่”

ขณะที่พูด เขาก็จ้วงดาบออกไปข้างหน้าในทันใด

แม้มันจะดูเหมือนว่าการโจมตีดาบของเขาไม่ได้โดนสิ่งใดนอกจากอากาศ ที่จริงแล้วมันได้ส่งลำแสงสีรุ้งออกไปทุกหนทุกแห่ง

และภายในแสงสีรุ้งนี้ ร่างเงามืดสีเทาก็ปรากฏให้เห็น

ร่างนี้มีลักษณะคล้ายมนุษย์ และทันทีที่มันปรากฏขึ้น มันก็ลอยเข้ามาในทิศที่ซูเฉินอยู่