ภาคที่ 6 บทที่ 67 สุสาน

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 67 สุสาน

ทันทีที่มันปรากฏกายขึ้น ซูเฉินก็มองเห็นร่างสลัว ๆ ได้อย่างชัดเจน

มันเป็นแค่เงา ๆ หนึ่งจริง ๆ

เงาอันไร้ซึ่งร่างกาย

มันลอยเข้ามาหาซูเฉินอย่างว่องไว

แม้ว่าเงานั้นจะไม่ได้ทำสิ่งใดไปมากกว่าลอยตัว ซูเฉินก็ไม่กล้าปล่อยให้มันเข้ามาใกล้เขา

เขารีบถอยหลังออกมาพลางยื่นมือออกไปเล็กน้อย ดอกบัวสีแดง 5 ดอกก็ปรากฏขึ้นในมือ และพุ่งตรงไปยังเงานั้น

แม้ว่าดอกบัวเหล่านั้นจะมีขนาดเล็ก แต่พวกมันก็โหมไฟเผาอย่างเดือดพล่าน หลังจากที่หล่นลงไปบนเงามืด

“ฟ่อ!” เงานั้นส่งเสียงหวีดร้อง เสียงคร่ำครวญแหลมบาดหูทำให้ชายหนุ่มขนลุกซู่

เงาสลัวหันหลังกลับและเริ่มบินหนีไป

เมื่อซูเฉินเห็นว่ามันกำลังพยายามหลบหนี เขาก็ใช้สุเมรุสูญ

ในตอนนั้น เขาเชี่ยวชาญในกฎแห่งพลังสูญอย่างถึงที่สุด และสุเมรุสูญในมือก็มีประสิทธิภาพอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซูเฉินยื่นมือออกไปและทำท่าทางคว้าจับไว้ แล้วพื้นที่ที่ได้รับผลของสุเมรุสูญก็ดูจะแข็งตัวขึ้นอย่างฉับพลัน และควบแน่นจนกระทั่งมันเป็นพลังสูญลูกเล็ก ๆ

เงามืดยังคงบินไปข้างหน้าภายในโลกสุเมรุสูญเล็ก ๆ แต่มันก็ไม่เคยไปถึงจุดสิ้นสุด

มันไม่รู้ตัวว่าได้ถูกขังอยู่ในลูกบอลเล็ก ๆ ลูกนี้ด้วยซ้ำ

จนกระทั่งมันสังเกตเห็นดวงตาขนาดยักษ์ กำลังจ้องมองมาจากข้างนอก ถึงได้กรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว

แล้วร่างกายของมันก็เริ่มปล่อยควันสีน้ำเงินออกมา ขณะที่มันกำลังถูกย่างเกรียมทั้งเป็น

“มันคือสิ่งมีชีวิตเงา !” ถีเข่อซือร้องลั่น

สิ่งมีชีวิตเงาอาศัยอยู่เฉพาะแดนเงาเท่านั้น ทำไมถึงมีตัวหนึ่งอยู่ที่นี่เล่า ?

กำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?

ถีเข่อซือตะลึงงัน

ในทางกลับกัน ซูเฉินเหมือนจะเข้าใจบางสิ่งแล้ว

“งั้นรองเท้าของข้าก็เปิดทางเชื่อมระหว่างสองแดนหรือ ?” ซูเฉินพึมพำกับตัวเอง

แม้ว่ากฎแห่งพลังในรองเท้าจะติดตั้งค่ายกลขึ้นด้วยตัวของมันเอง แต่ซูเฉินก็ยังคงชี้นำบางสิ่งให้ด้วย

การชี้นำนี้เกี่ยวข้องกับความสามารถในการเคลื่อนกายของเขา

อย่างไรแล้ว ซูเฉินก็จำเป็นต้องเพิ่มความปราดเปรียวของตัวเองขึ้นอีกมาก

แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะบังเอิญเชื่อมต่อสองแดนเข้าด้วยกัน

นี่ไม่ใช่ทักษะทั่วไป มันก้าวข้ามขีดจำกัดที่ทักษะต้นกำเนิด หรือวิชาอาร์คาน่าโบราณจะสามารถบรรลุได้

งั้นมันก็สมเหตุสมผล อย่างไรเสีย กฎแห่งพลังก็แทนที่ทักษะต้นกำเนิดและวิชาอาร์คาน่าโบราณตั้งแต่แรกอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ?

มันเป็นเรื่องธรรมดาทีเดียว ที่กฎแห่งพลังจะสามารถทำบางสิ่ง อย่างเชื่อมต่อสองแดนที่แตกต่างกันเข้าด้วยได้กันไม่ใช่หรือ ?

หากมันทำบางสิ่งที่ทักษะต้นกำเนิดใดก็สามารถทำได้ นั่นก็จะผิดธรรมชาติเลยทีเดียวไม่ใช่หรืออย่างไร ?

เรียกได้ว่าประสิทธิภาพของมันนั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก แต่มันยังไม่ใช่สิ่งที่ซูเฉินต้องการ

“งั้นการปล่อยให้มัน ‘เติบโต’ โดยไร้ซึ่งการกำกับดูแลก็มีผลพวงของมันสินะ” ชายหนุ่มพึมพำ

รองเท้าคู่นี้เป็นรองเท้าที่ดีทีเดียว แต่พวกมันอาจไม่ได้เป็นประโยชน์เมื่ออยู่ที่นี่มากนัก

“เครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ ! มันคือเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ ด้วย !” ถีเข่อซืออุทานด้วยความตกตะลึง

ไม่มีเครื่องมือต้นกำเนิดธรรมดาชิ้นใดจะสามารถเชื่อมต่อสองแดนเข้าด้วยกันได้เช่นนี้ แต่รองเท้าคู่นี้ทำได้ นั่นคือเหตุผลที่ถีเข่อซือเรียกมันว่าเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์

แต่ซูเฉินก็สายหัว “มันยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ถีเข่อซือก็ดูจะคิดได้ขึ้นมา “ใช่ เจ้าพูดถูก พวกเราอยู่ในแดนพลังสูญ ที่ชายแดนระหว่างพื้นที่นั้นอ่อนแอกว่ามาก รองเท้าเหล่านี้คงจะมีประสิทธิภาพสูงแค่ในสถานที่เช่นนี้เท่านั้น มันไม่ใช่การเชื่อมต่อระหว่างสองแดน แต่เป็นอุโมงค์ไปสู่แดนหนึ่งต่างหาก แต่นั่นก็คงจะไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเจ้าหรอก”

ทุกแดนจะมีเกราะป้องกันของมันเอง การเปิดอุโมงค์เชื่อมระหว่างสองแดนจึงจำเป็นต้องทำลายเกราะป้องกันทั้งสองลงก่อน ไม่ใช่แค่เพียงหนึ่ง

แต่จริง ๆ แล้วรองเท้าพวกนี้ก็ไม่ได้ทรงพลังมากนัก พวกมันเพียงแค่สามารถเปิดทางได้หนึ่งด้านเท่านั้น ทำให้มันเป็นอุโมงค์ทางเดียว เพราะซูเฉินกำลังอยู่ในแดนพลังสูญ รองเท้าคู่นี้จึงจำเป็นต้องทำลายเกราะป้องกันอีกหนึ่งชั้นของแดนนั้น เพื่อเชื่อมต่อซูเฉินเข้ากับมัน

ดังนั้นแล้ว มันจะเหมือนกับเครื่องมือต้นกำเนิดที่ไม่สมบูรณ์เสียมากกว่า

สำหรับคนส่วนมาก เครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่สมบูรณ์นั้น ไม่ได้มีประโยชน์มากนัก ถึงอย่างนั้น สำหรับซูเฉินแล้ว ไม่มีข้อแตกต่างระหว่างรองเท้าที่พลังไม่สมบูรณ์ดีคู่นี้ และเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ที่สมบูรณ์แม้แต่น้อย

อย่างไรแล้ว เขาก็สามารถอาศัยอยู่ในแดนพลังสูญได้ในปัจจุบัน เขาจะสามารถใช้รองเท้าคู่นี้ในการเข้าไปในแดนพลังสูญได้ตามใจชอบ แล้วจึงใช้รองเท้าในการเดินทางไปสู่แดนอื่นใดก็ตามที่ต้องการได้

สำหรับเขา นี่แทบจะเทียบเท่ากับการเปิดอุโมงค์ที่เชื่อมต่อสองแดนเข้าด้วยกันเลยทีเดียว

แต่เพียงเพราะเขาสามารถไปได้นั้น ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไป

แดนอื่น ๆ ไม่ใช่ที่ที่น่าอยู่นัก ส่วนมากแล้ว สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นชินกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอีกด้านหนึ่ง ระดับความเสี่ยงนั้นอาจถึงตายได้เลยทีเดียว

อย่างน้อยที่สุด ซูเฉินก็จะไม่ไปยังพื้นที่อย่างแดนเงาอย่างแน่นอน เพราะสิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่เข้าไปในที่แห่งนั้นจะถูกกลืนกินและเปลี่ยนเป็นเงามืด มีความคล้ายคลึงกับวิธีการที่แดนพลังสูญจะถดถอยสิ่งมีชีวิตทุกชนิด กลับไปสู่สถานะพื้นฐานที่สุดของพวกมัน

นอกจากว่าจะมีพื้นที่อย่างเกาะที่เขาอยู่ในปัจจุบันที่จะทำให้เขาสามารถศึกษากฎแห่งพลังเงาและปรับใช้มันได้ ซูเฉินก็จะต้องเสี่ยงตายหากเขาพยายามไปที่นั่น

“มันพาพวกเรากลับไปที่ทวีปต้นกำเนิดได้ไหม ?” ถีเข่อซือถาม

ซูเฉินส่ายหัว “คงยากทีเดียวหากไม่มีพิกัดที่แน่นอน”

การสร้างอุโมงค์พลังสูญเหล่านี้จำเป็นต้องมีตำแหน่งที่แน่นอนในการค้นหา เช่นเดียวกันกับการเคลื่อนกายไปยังตำแหน่งต่าง ๆ บนแผนที่

เพื่อจะทำเช่นนั้นได้ เจ้าจำเป็นต้องรู้ตำแหน่งบนแผนที่นั้นเสียก่อน

หากเจ้าไม่เคยเห็นแผนที่มาก่อน แล้วเจ้าจะรู้พื้นที่ที่ต้องการไปบนแผนที่ได้อย่างไร ?

โดยเฉพาะหากแผนที่นั้นซับซ้อนและกว้างใหญ่อย่างถึงที่สุด

เครื่องมือศักดิ์สิทธิ์นี้เพิ่งจะเสร็จสมบูรณ์เท่านั้น การเปิดการเชื่อมต่อสู่แดนเงาของซูเฉินจึงเป็นความบังเอิญล้วน ๆ เมื่อซูเฉินกลับไปยังทวีปต้นกำเนิดแล้วเท่านั้น เขาจึงจะสามารถบันทึกพิกัดของทวีปต้นกำเนิดได้ ไม่เช่นนั้น รองเท้าคู่นี้ก็จะไม่สามารถช่วยให้ชายหนุ่มกลับไปได้

ดังนั้นแล้ว วิธีที่ดีที่สุดสำหรับซูเฉินในการกลับไปจึงเป็นการคิดค้นวิธีตามหาทางเข้าแรกนั่นเอง

ทางเข้าแรกคืออุโมงค์ไปสู่แดนพลังสูญเอง แต่มันก็มีพิกัดเฉพาะบนทวีปต้นกำเนิดที่มันพาไปอยู่แล้ว

“ทำไมเราไม่ทดสอบดวงสักหน่อยล่ะ ? ใครจะรู้ เราอาจโชคดีก็ได้” ถีเข่อซือเอ่ย

“มีลางว่าจะเป็นการเรียกความสนใจจากสิ่งมีชีวิตบางตัว ที่เราไม่อาจรับมือได้เข้ามาอีก” ซูเฉินไม่สนใจที่จะงับเหยื่อของถีเข่อซือ การเปิดอุโมงค์ไปสู่แดนอื่นนั้นอันตรายเป็นอย่างมาก เนื่องจากมันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำนายถึงปัญหาที่พวกเขาจะต้องเผชิญ หากพวกเขาปล่อยให้สิ่งมีชีวิตที่ร้อยเล่ห์และทรงพลังเข้ามาได้ เกาะนี้ก็คงจะได้รับความเสียหายอย่างหนัก แม้ว่าจะไม่ได้ถูกมันสังหารก็ตาม

“งั้นก็เปิดอุโมงค์ข้างนอกในแดนพลังสูญสิ” ถีเข่อซือกล่าว

นี่เป็นความคิดที่ดีทีเดียว

พลังทำลายล้างของแดนพลังสูญนั้นมีประสิทธิภาพต่อแทบจะทุกสิ่งมีชีวิตไม่ว่าพวกมันจะมาจากแดนใด ไม่เช่นนั้น แดนพลังสูญคงจะไม่เปล่าเปลี่ยวมากถึงเพียงนี้

สิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่สามารถอาศัยอยู่ในแดนพลังสูญได้ นอกจากสิ่งมีชีวิตที่กำเนิดขึ้นในแดนพลังสูญ จำเป็นจะต้องเชี่ยวชาญในกฎแห่งพลังสูญด้วย

“ลองดูก็ได้ แม้ว่าเราจะไม่สามารถกลับไปยังทวีปต้นกำเนิดได้ แต่มันก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่ หากเราสามารถระบุตัวส่งสัญญาณของแดนอื่น ๆ ได้”

แล้วช่วงเวลาถัดจากนี้ ซูเฉินก็ยังคงจะไล่ล่าหาโลหะดาราสูญต่อไป และพยายามเปิดอุโมงค์ไปสู่แดนอื่น ๆ ด้วยรองเท้าของเขาอยู่เป็นระยะ ๆ

แต่เขาก็ค้นพบอย่างรวดเร็วว่าการใช้รองเท้าเพื่อตามหาแดนอื่น ๆ นั้นยากลำบากเหลือเกิน

อย่างไรแล้ว เขาก็พยายามตามหาเป้าหมายบนแผนที่ที่กว้างใหญ่ และซับซ้อนเกินจะพรรณนา ซึ่งยังเต็มไปด้วยพื้นที่ว่างจำนวนมากอีกด้วย

หากซูเฉินจะเลือกจุดหนึ่งบนแผนที่ขณะที่ปิดตาไว้ ก็มีโอกาสที่เขาจะคว้าน้ำเหลวกลับมาอยู่

ที่จริงแล้ว โอกาสนั่นดูจะเกิดขึ้นได้มากกว่าที่เขาจะพบกับทางเชื่อมต่อสู่แดนอื่นเสียอีก

และแม้ว่าเขาจะสามารถเปิดการเชื่อมต่อสู่แดนอื่นได้ แดนเหล่านั้นก็มักจะว่างเปล่าทั้งสิ้น

อย่างไรแล้ว ไม่ใช่ทุกแดนที่จะน่าสนใจขนาดนั้น

ซูเฉินใช้งานแทบเป็นยี่สิบอุโมงค์ แต่ก็ไม่อาจค้นพบแดนอื่น ๆ ได้แม้แต่แห่งเดียว

ทว่าชายหนุ่มก็พบศพของจักรพรรดิอสูรอีกเป็นจำนวนไม่น้อย ไม่นานนักเขาก็จะมีวัตถุดิบเพียงพอสำหรับสร้างเครื่องมือขึ้นมาอีกสักชิ้น

แต่คราวนี้ซูเฉินได้รับบทเรียนแล้ว และไม่ได้จะพยายามสร้างเครื่องมือขึ้นมาอีกชิ้นหนึ่ง หากชายหนุ่มปล่อยให้กฎแห่งพลังทำตามใจชอบอีกครั้ง ใครจะรู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร ? มันคงดีกว่าหากรอคอบให้เจียงหานเฟิงและคนอื่น ๆ มาช่วยเหลือเขา

เวลาผ่านพ้นไปอีก ไม่อาจรู้ได้ว่านานเท่าไร แต่ก็รู้สึกได้ว่าเป็นเวลาอย่างน้อยสองถึงสามเดือนอย่างแน่นอน

ความเชี่ยวชาญในกฎแห่งพลังสูญของซูเฉินยังคงก้าวหน้าต่อไป และพื้นที่ที่เขาสามารถเดินทางได้ ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ชายหนุ่มก็ไม่อาจหาทางออกไปสู่หุบเหวนรกได้เสียที

ซูเฉินรู้ว่าทุกสิ่งภายในหุบเหวนรกได้เปลี่ยนแปลงไปหลังจากได้ล่มสลายลง เส้นทางที่ดูเรียบง่ายเมื่อก่อนหน้า ได้แผ่ขยายออกเนื่องจากแดนพลังสูญ และโดยไร้ซึ่งจุดสังเกตมานำทาง ชายหนุ่มจึงไม่อาจรู้ได้เลยว่าทิศทางใดที่มีทางออกอยู่ ทำให้เขาตามหาทางออกได้อย่างยากเย็นยิ่งนัก

แต่ขณะเวลาผ่านไป และความเชี่ยวชาญในกฎแห่งพลังของเขาได้พัฒนาขึ้น ซูเฉินก็เชื่อมั่นว่าเขาจะสามารถเจอทางออกได้ไม่ช้าก็เร็ว

วันหนึ่ง เขาก็มองเห็นกลุ่มเงาพร่ามัวขนาดใหญ่เบื้องหน้าตัวเอง ขณะทำการค้นหาโดยไม่ทันตั้งตัว

ซูเฉินคุ้นเคยกับเงาเหล่านี้ไม่น้อย

พวกมันถูกรูปปั้นของเหล่าจักรพรรดิอสูรทิ้งไว้

แต่ทำไมถึงมีพวกมันอยู่เยอะนักล่ะ ?

ซูเฉินพบว่ามีพวกมันอยู่หลายร้อยเงาทีเดียว

ชายหนุ่มตะลึงไปชั่วขณะ แต่หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ระเบิดเสียงจะโกนด้วยความปีติยินดีในทันใด

ทางออก !

เขานึกขึ้นได้ในทันทีว่าเขาได้เข้าใกล้ทางออกแล้ว !

เพียงสิ่งนั้นที่จะสามารถอธิบายได้ว่า ทำไมจึงมีรูปปั้นจักรพรรดิอสูรอยู่ใกล้กับทางออกมากนัก

เพราะเมื่อหุบเหวนรกเริ่มล่มสลาย จักรพรรดิอสูรส่วนมากก็รวมตัวกันเข้ามาอยู่โดยรอบทางออกนั่นเอง

พวกมันต่อสู้ที่นี่ หลบหนีจากที่นี่ และตายที่นี่

และเมื่อหุบเหวนรกได้ล่มสลายลงอย่างสมบูรณ์ โดยทำลายล้างทุกสิ่งมีชีวิตข้างใน จักรพรรดิอสูรทุกตัวที่ไม่อาจหลบหนีไปได้ล้วนหมดลมหายใจลงที่นี่ ก่อให้เกิดสุสานจักรพรรดิอสูรขนาดมโหฬารขึ้นในที่แห่งนี้

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ซูเฉินไม่อาจห้ามตัวเองจากการมองไปรอบ ๆ อย่างตื่นตาตื่นใจได้

เขาค้นพบทางกลับบ้านในที่สุด !

เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่ายังคงมีเวลาอยู่ เขาก็บินผ่านรูปปั้นจักรพรรดิอสูรไปตัวแล้วตัวเล่า

รูปปั้นจักรพรรดิอสูรเหล่านี้เต็มไปด้วยเงินดาราสูญ หากซูเฉินเก็บพวกมันทั้งหมดมา เขาก็จะสามารถขายพวกมันได้พอที่จะซื้อทั้งเจ็ดอาณาจักรได้เลยทีเดียว

อย่างไรก็ตามแต่ สิ่งที่ดึงความสนใจของซูเฉินจริง ๆ นั้น คือทางออกที่จะพาเขาไปสู่บ้าน

ขณะที่ชายหนุ่มเนร่างไปข้างหน้า การรับรู้ถึงการแปรผันพลังสูญอันแสนทรงพลังของเขา ก็ทำให้ชายหนุ่มรู้ว่ามีบางสิ่งกำลังมาจากทางด้านขวาเบื้องหน้าตน

นั่นจะต้องเป็นทางออกแน่ ๆ!

ซูเฉินยังคงมุ่งหน้าต่อไปโดยเร็วที่สุดเท่าที่จำทำได้ จนกระทั่งแสงจุดหนึ่งปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้า

แสงจุดนั้นมาจากอีกด้านของอุโมงค์ซึ่งนำไปสู่อีกแดนหนึ่ง มันเป็นแหล่ง ๆ เดียวของแสงสว่างภายในสิ่งแวดล้อมอันมืดมิดเช่นนี้ มันกลายเป็นจุดสังเกตที่ดีทีเดียว

ถึงอย่างนั้นซูเฉินก็มองเห็นเงาขนาดยักษ์อยู่ใกล้กับทางเข้าที่เข้าปกคลุม

ไม่ มันไม่ใช่เงา มันคือสิ่งมีชีวิตคล้ายวาฬขนาดมโหฬาร

มันยังไม่ตาย กลับกัน มันกำลังแหวกว่ายในแดนพลังสูญราวกับปลาในน้ำ

มันว่ายไปข้างหน้าและข้างหลังอย่างเชื่องช้า เฝ้ายามทางออกไว้

แล้วมันก็หยุดลงพร้อมกับหันไปมองที่ซูเฉิน

ดวงตาของมันเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร

จักรพรรดิอสูร !

เมื่อมันมองเห็นซูเฉิน มันก็หยุดนิ่งและค่อย ๆ เปิดปากของมันกว้างออก

แย่แล้ว !

ซูเฉินจำได้โดยสัญชาตญาณว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป ทันทีที่ศัตรูอ้าปาก เขาก็ได้ใช้งานภูติลั่นแสงไปเสียแล้ว

ตู้ม!

คลื่นพลังงานขนาดมโหฬารพุ่งออกมาจากปากของจักรพรรดิอสูรวาฬ กวาดล้างผ่านแดนพลังสูญและกลืนกินตำแหน่งที่ซูเฉินเพิ่งจะจากมาเมื่อครู่