ภาคที่ 6 บทที่ 68 ปรุงยา (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 68 ปรุงยา (1)

“งั้นก็มีจักรพรรดิอสูรที่อาศัยอยู่ในแดนพลังสูญ และกำลังขวางทางออกไว้สินะ ?” ถีเข่อซือถามเมื่อกลับมาที่เกาะอีกครั้ง

“นั่นคงจะเป็นเหตุผลที่กู่ชิงลั่วและคนอื่น ๆ ยังไม่สามารถช่วยเหลือข้าได้” ซูเฉินพึมพำกับตัวเอง

มนุษย์ที่อาศัยอยู่บนทวีปต้นกำเนิดไม่ได้ไร้ซึ่งการเปิดเผยต่อแดนพลังสูญเสียทีเดียว อย่างไรแล้ว แดนพลังสูญก็ได้เป็นตัวทดลองของงานวิจัยมาในอดีต ถึงแม้ว่าทุกการพยายามในการสำรวจจะต้องใช้ผู้คนที่ทรงพลัง ในการใช้ทรัพยากรปริมาณมหาศาล มันก็เป็นไปไม่ได้

ซูเฉินรู้สึกกังวลเล็กน้อย เนื่องจากไม่มีสัญญาณว่านิกายไร้ขอบเขต ได้พยายามให้ความช่วยเหลือมาเลยแม้แต่น้อย

ชายหนุ่มไม่ใคร่จะเชื่อว่านิกายไร้ขอบเขตและกู่ชิงลั่วจะยอมละทิ้งเขา แต่ความจริงที่ว่าเวลาได้ผ่านไปนานโดยไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวก็ทำให้ซูเฉินนั้นอยู่ไม่ติด

จนถึงตอนนี้ เมื่อชายหนุ่มเห็นจักรพรรดิอสูรที่ทางออก ในที่สุดก็ได้รู้สึกถึงความสงบสุขอยู่บ้าง

ด้วยการมีอยู่ของจักรพรรดิอสูร นิกายไร้ขอบเขตก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ ข้อความหรือกำลังเสริมทางกายภาพใดก็ตามที่พวกเขาพยายามส่งผ่านทางออกมา จะถูกจักรพรรดิอสูรตัวนั้นหยุดยั้งไว้

ดังนั้นแล้ว ความรู้สึกแรกของชายหนุ่มจึงเป็นความโล่งใจและดีใจอย่างอัศจรรย์

อย่างที่สองคือ เขาจะจัดการไอ้ตัวบ้านี่ได้อย่างไรกัน ?

“แปลกนัก การครอบครองความเกี่ยวพันแต่กำเนิดกับพลังสูญนั้น ไม่เพียงพอที่จะมีชีวิตรอดอยู่ในแดนพลังสูญได้ จำเป็นต้องอาศัยอยู่ในแดนพลังสูญอยู่อีกนาน เพราะว่านั่นคือพื้นฐานสำหรับการหยั่งรู้กฎแห่งพลัง จักรพรรดิอสูรส่วนมากที่ได้รับผลกระทบจากท้องสมุทรโศกาควรจะไร้ซึ่งอัจฉริยภาพ แล้วจะมีตัวหนึ่งที่คุ้นชินกับการอาศัยอยู่ในแดนพลังสูญได้อย่างไร ?” ถีเข่อซือไม่อาจเข้าใจได้

อย่างไรแล้ว ม้าน้ำพลังสูญก็คือสิ่งมีชีวิตพลังสูญเช่นกัน แต่มันก็ไม่สามารถเอาชีวิตรอดอยู่ในแดนพลังสูญด้วยตัวเองได้

“หุบเหวนรกก็มีผู้เยี่ยมเยียนที่มาจากข้างนอกเหมือนกัน อสูรทะเลตัวนี้คงจะเป็นหนึ่งในพวกที่โตแล้ว และถูกท้องสมุทรโศกาเรียกตัวให้เข้ามาในหุบเหวนรก”

“ตอนนี้ทุกสิ่งกำลังเริ่มปะติดปะต่อกัน ดูเหมือนว่าดวงของเจ้าจะน่าอนาถเสียจริงนะ” ถีเจ่อซือขำคิกคัก

ด้วยจักรพรรดิอสูรที่เฝ้าอารักขาทางไว้ คงเป็นเรื่องยากทีเดียวหากซูเฉินต้องการกลับไป

แม้ว่าชายหนุ่มจะมีหุ่นเชิดยักษ์อยู่ด้วย แต่พวกเขาก็ไม่อาจต้านทานพลังทำลายล้างของแดนพลังสูญได้เช่นกัน หากทั้งหมดถูกพาออกไปจากแดนพลังสูญ พวกเขาก็จะถูกเผาจนเป็นเถ้าถ่านทันที และเพราะความซับซ้อนของหุ่นเชิดพวกนี้ ก็สามารถพูดได้ว่าพวกมันคือสุดยอดงานประดิษฐ์ ซูเฉินไม่อาจย้อมมันด้วยกฎแห่งพลังได้ แม้ว่าชายหนุ่มจะต้องการก็ตาม

แมลงภัยพิบัติทั้งหมดได้ตายไปนานแล้ว

ดังนั้นจึงมีเพียงแค่ซูเฉินเท่านั้น ที่จะสามารถจัดการกับจักรพรรดิอสูรได้

แม้ว่าในตอนนี้ซูเฉินจะครอบครองเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์พลังสูญถึงสองชิ้น คมดาบฝ่ามิติของดาบไร้แสงนั้นไร้ผลต่อสิ่งมีชีวิตพลังสูญอื่น ๆ อย่างไรแล้ว กฎแห่งพลังสูญก็คือกฎแห่งพลังสูญ ไม่ว่าชายหนุ่มจะมองมันอย่างไร โดยธรรมชาติแล้ว รองเท้าแดนเดียวก็ไร้ประโยชน์ไปด้วยเช่นกัน

ระดับพลังด่านผลาญจิตวิญญาณของซูเฉินนั้นไม่เพียงพอที่จะจัดการกับจักรพรรดิอสูร

แต่หากเขาไม่ผ่านการทดสอบนี้ เขาก็ไม่อาจกลับไปได้

ซูเฉินจ่อมจมในห้วงความคิดอยู่พักใหญ่

หลังจากผ่านไปสักพัก ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้น “ดูเหมือนว่า… ข้าจะไม่มีทางเลือก”

“โอ้ ? เจ้าคิดอะไรได้หรือ ?” ถีเข่อซือถามด้วยความสนใจอย่างยิ่ง เขาอยากรู้ว่าชายหนุ่มกำลังวางแผนที่จะหลบหลีกอุปสรรค อย่างจักรพรรดิอสูรไปอย่างไร

“เลื่อนขึ้นไปสู่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน” ซูเฉินตอบ

เลื่อนขึ้นไปสู่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินหรือ ?

ถีเข่อซือตกตะลึง

วิญญาณชราไม่คาดคิดว่าซูเฉินจะพูดคำตอบเช่นนี้ออกมา

แต่เมื่อคิดดูอีกครั้ง เขาก็นึกได้ว่านั่นสมเหตุสมผลทีเดียว

หากชายหนุ่มไปถึงด่านหยั่งรู้ฟ้าดินจริง ๆ เขาก็จะมีความแข็งแกร่งห่างจากจักรพรรดิอสูรไปอีกเพียงด่านเดียวเท่านั้น รวมถึงวิญญาณชราเองก็ยังเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 10 เมื่อทั้งสองจับมือกัน ก็จะทำให้ชายหนุ่มมีโอกาสที่จะจัดการกับจักรพรรดิอสูรได้สูงยิ่งขึ้น

“แต่หากไร้ซึ่งสายเลือดแล้วเจ้าจะไปถึงยังด่านหยั่งรู้ฟ้าดินได้อย่างไรล่ะ ? วิชาบ่มเพาะไร้สายเลือดของเจ้าเพื่อการไปถึงด่านหยั่งรู้ฟ้าดินยังไม่สมบูรณ์อีกหรือ ?”

“ข้าไม่จำเป็นต้องใช้มัน” ซูเฉินส่ายหน้า “ข้าแค่ต้องการเจ้า”

“ข้า ?” ถีเข่อซือตะลึงงันอีกครั้ง

ซูเฉินเอ่ย “ใช่ เจ้า ! ช่วงนี้ข้าไม่มีเวลาคิดถึงวิชาการฝึกสู่อมตะมากนัก แต่เมื่อไม่นานมานี้ ข้าก็ได้ศึกษาสสารต้นกำเนิดที่ท้องสมุทรโศกาผลิตขึ้น ด้วยสิ่งนั้น ข้าควรจะไปถึงด่านหยั่งรู้ฟ้าดินได้”

หากอสูรทะเลทั่วไปสามารถเลื่อนขั้นได้เพราะสสารต้นกำเนิดพวกนั้น ทำไมซูเฉินจะใช้กับตัวเองไม่ได้บ้างเล่า ?

แต่ก็จะต้องมีผลข้างเคียงของการใช้สสารต้นกำเนิดประเภทเร่งความเร็วอยู่ด้วยเช่นกัน รวมถึงลดความฉลาดลงหลายขุม อายุขัยสั้นลง กัดกินศักยภาพแฝง ฯลฯ ซูเฉินได้ค้นคว้าวิธีการหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงพวกนี้มาตั้งแต่แรก ซึ่งเป็นเหตุผลที่ชายหนุ่มไม่เคยใช้มัน เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเองมาก่อน

และมันคือความจริงที่เขาได้พบความก้าวหน้าบางส่วน หลังจากที่ใช้เวลาทำการวิจัยมาหลายต่อหลายปี

“ข้าสามารถใช้น้ำจากบ่อเพื่อสกัดยา ที่จะช่วยให้ข้าเปิดหยินและหยางของข้า และพาข้าไปสู่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน” ซูเฉินพูดต่อ

“แต่สิ่งที่เจ้าต้องการคือวิชาบ่มเพาะไร้สายเลือดนะ ถ้าเจ้าใช้ยานี้แทนที่สายเลือด นั่นจะไม่ฝ่าฝืนหลักการที่เจ้ายึดถือเสมอมาหรอกหรือ ?”

ระหว่างช่วงเวลานี้ ถีเข่อซือก็รู้จักซูเฉินประมาณหนึ่ง รวมถึงประสบการณ์และความฝันของชายหนุ่มด้วย วิญญาณชราประทับใจยิ่งนัก ที่ซูเฉินได้ผลักดันเผ่าพันธุ์มนุษย์มาจนถึงจุดที่พวกเขาล้วนสามารถฝึกตนไปจนถึงด่านผลาญจิตวิญญาณได้

และในตอนนี้ ซูเฉินก็กำลังวางแผนใช้ยาในการเลื่อนขั้น ซึ่งทำให้ถีเข่อซือประหลาดใจไม่น้อย

แต่ซูเฉินก็ไม่ท้อถอย “เป้าหมายของข้าคือหลบหนีออกจากข้อจำกัดของสายเลือด เพื่อที่มนุษย์ทุกคนจะสามารถเติบโตได้ด้วยความพยายามของตัวเอง ถ้าข้าทำสิ่งนี้ได้สำเร็จด้วยพละกำลังของข้าเอง นั่นก็จะดีที่สุด แต่การพึ่งพาความช่วยเหลือภายนอกบางอย่างนั้นไม่อาจยอมรับได้ ตราบใดที่ความช่วยเหลือภายนอกไม่ได้สืบทอดมาจากตระกูลเท่านั้น นั่นก็เพียงพอสำหรับข้าแล้ว”

ย้อนกลับไปเมื่อครั้งซูเฉินกำลังพยายามที่จะทะลวงสู่ด่านสู่พิสดาร เขาได้ยืมค่ายกลต้นกำเนิดที่ฉือไคฮวงสร้างขึ้นในการฝ่าสภาวะคอขวดนั้น กระทั่งตอนนี้ การทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารก็ยังต้องใช้ค่ายกลต้นกำเนิด ที่ถูกนับเป็นเครื่องช่วยเหลือภายนอกเช่นกัน

ที่จริงแล้ว ซูเฉินไม่ได้ใส่ใจกับการรับความช่วยเหลือจากสิ่งของภายนอก ตราบใดที่พวกมันไม่ใช่สายเลือดหรือสิ่งที่ไม่อาจทำซ้ำได้

ท้องสมุทรโศกาเป็นต้นไม้ ตราบใดที่ชายหนุ่มปลูกมัน บ่ออมตะก็จะไหลหลั่งตลอดไป นี่จะทำให้ซูเฉินสามารถผลิตยา ที่จำเป็นต่อการทะลวงสู่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินได้อย่างต่อเนื่อง และสมเหตุสมผลมากกว่าระบบการถ่ายทอดโดยกำเนิดในปัจจุบัน

และแม้ว่านี่จะไม่เพียงพอ ซูเฉินก็สามารถพัฒนาวิธีการใหม่ ในการทะลวงสู่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินต่อไปในภายหลัง เพื่อทดแทนสิ่งที่ขาดไปก็ย่อมได้

แต่หากชายหนุ่มต้องการสร้างยานั่น ก็จำเป็นจะต้องสร้างการปรับเปลี่ยนและพัฒนาไม่น้อยเลยทีเดียว นี่จะต้องได้รับการช่วยเหลือจากถีเข่อซือด้วย

เมื่อวิญญาณชรานึกสิ่งนี้ขึ้นได้ ก็ได้แต่ตอบตกลงเท่านั้น

ในไม่กี่วันต่อมา ซูเฉินและถีเข่อซือก็เริ่มค้นหาวิธีการใหม่ในการปรุงยาพวกนี้ขึ้น

ถีเข่อซือไม่เคยเห็นวิธีการปรุงยาของซูเฉินมาก่อน และได้แต่เดาะลิ้นด้วยความตื่นตาตื่นใจ ขณะที่ชายหนุ่มอธิบายกระบวนการคิดของตนให้ฟัง

ด้วยการช่วยเหลือของถีเข่อซือ ซูเฉินสามารถควบคุมบ่ออมตะ และสกัดยาที่จำเป็นได้ดียิ่งขึ้น

ในขณะที่บ่ออมตะนั้นจำเป็นต่อการปรุงยาใหม่พวกนี้ ซูเฉินก็พบว่ากำลังขาดแคลนวัสดุส่วนอื่น ๆ

แม้ว่าซูเฉินจะนำวัตถุดิบหายากบางส่วนมาด้วย แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้มีความจุที่ไร้ขีดจำกัด รวมกระทั่งมีบางส่วนที่ถูกใช้หมดไปอย่างรวดเร็ว

ดังนั้นแล้ว เขาจึงต้องผลัดเปลี่ยนวัตถุดิบตามสิ่งที่นำมาด้วย และชายหนุ่มก็มีพวกมันในปริมาณที่จำกัด ทุกครั้งที่ใช้บางส่วนไป คลังสิ่งของของเขาก็จะลดลง และหากซูเฉินไม่อาจปรุงยาได้ก่อนที่จะใช้วัตถุดิบจนหมด ทุกสิ่งก็จะจบสิ้น

ซูเฉินจึงระมัดระวังเป็นอย่างมากกับการวิจัยของตน เพื่อรักษาวัตถุดิบเท่าที่จะทำได้ เพื่อไม่ให้เผลอใช้วัตถุดิบชิ้นใดหมดไป เผื่อว่าเขาจำเป็นจะต้องใช้อีกในอนาคต

ชายหนุ่มยังคงปรุงยาต่อไปอย่างเชื่องช้าทว่ามั่นใจ

ภายในกระท่อมหลังเล็กของเขา ซูเฉินควบคุมเปลวไฟในมืออย่างระมัดระวัง ผนวกและคนส่วนผสมยาภายในหม้อน้ำอย่างต่อเนื่อง เนตรมองโลกจุลภาคของเขาถูกใช้งานจนถึงขีดจำกัดเพื่อให้สามารถสังเกตุได้อย่างชัดเจน ว่าสิ่งใดกำลังเกิดขึ้นในส่วนผสมนั้น ขณะที่หม้อน้ำเริ่มเดือดปุด ๆ ทันใดนั้นเอง ก็มีก้อนควันสลัวสีเขียวก็ระเบิดออกมา

ซูเฉินตระหนักได้ว่าตนนั้น… ได้ล้มเหลวลงอีกครั้ง

เมื่อหมอกควันจางหายไป สิ่งที่เหลืออยู่ในหม้อก็มีเพียงยาสีดำ ๆ

ซูเฉินตรวจดูยาเหล่านี้และดมอย่างระมัดระวัง ก่อนที่จะจดบันทึก “ถ้วยทองและรากก่อมังกรเมื่อผสมกันนั้นอ่อนแอกว่าที่คิด และไม่อาจรักษาส่วนผสมไว้ด้วยกันได้ พลังของยานั้นถูกดูดซึมเร็วเกินไป อีกอย่าง… ข้ามีรากก่อมังกรเหลืออยู่แค่ 3 ชิ้นเท่านั้น”

หลังจากที่จดบันทึกประโยคสุดท้ายลงไป ซูเฉินก็ถอนหายใจ

“ล้มเหลวอีกแล้วหรือ ?” ผีถีเข่อซือถาม

“ใช่ ข้าไม่อาจทำให้ส่วนผสมนั้นเสถียรพอได้ ถ้าส่วนผสมไม่เสถียร พลังของยาก็จะขัดแย้งกัน” ซูเฉินตอบ

ถีเข่อซือเอียงตัวเข้าไปดูใกล้ ๆ ก่อนจะกล่าว “วัตถุดิบยังไม่ถูกต้อง”

“ข้าลองทุกส่วนผสมแล้ว”

“งั้นเราต้องคิดหาวิธีอื่นมาผสมเจ้าพวกนี้”

“ปัญหาคือข้าได้ลองวัตถุดิบทั้งหมดที่มีแล้ว” ซูเฉินส่ายหัวของเขาอย่างสิ้นหวัง

ไม่ใช่ว่าชายหนุ่มพยายามไม่มากพอ แต่ความเฉลียวฉลาดของเขานั้นไม่อาจทดแทนวัสดุที่ขาดแคลนได้

“อย่ายอมแพ้” น่าปละหลาดใจที่ถีเข่อซือคือผู้ที่กำลังปลอบโยนเขาในตอนนี้

ซูเฉินยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าไม่อยากยอมแพ้ แต่ข้าเจอกับทางตันแล้ว หากไร้ซึ่งวัตถุดิบข้าก็ไม่อาจปรุงยาได้ หากข้าไม่มียา ข้าก็ไม่อาจเลื่อนขั้นได้ หากข้าไม่อาจเลื่อนขั้นได้ ข้าก็ไม่สามรถเอาชนะจักรพรรดิอสูรได้ หากข้าไม่สามารถสังหารจักรพรรดิอสูรได้ ข้าก็ไม่สามารถกลับไปได้ หากข้าไม่สามารถกลับไปได้ ข้าก็จะมีวัตถุดิบไม่พอ… ช่างเป็นวัฏจักรที่เลวร้ายยิ่งนัก”

“เจ้ากล่าวเช่นนั้น แต่นั่นก็ไม่จำเป็นต้องเป็นจริง ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่เจ้ายังหาวัตถุดิบมาเพิ่มได้ แต่เจ้าต้องพึ่งโชคหน่อยนะ” ถีเข่อซือกล่าว

ซูเฉินผงะไปแวบหนึ่ง “เจ้าคงไม่ได้หมายถึง… การเปิดอุโมงค์ระหว่างสองแดนนะ ?”

“นั่นแหละที่ข้าหมายถึง”

หากทั้งคู่สามารถค้นพบแดนที่มีประโยชน์ พวกเขาก็อาจจะสามารถจัดการเรื่องที่วัตถุดิบขาดแคลนสำเร็จก็ได้

เมื่อคิดได้ดังนั้น ชายหนุ่มก็รู้ว่าจะต้องทำสิ่งใด

“ดูเหมือนว่า ‘อีกครั้ง’ นี่ คือความหวังเพียงหนึ่งเดียวของเรา”

ในวันต่อ ๆ มา ซูเฉินก็เริ่มพเนจรไปทั่วแดนพลังสูญ

เขาตระเวนไปทั่วเพื่อตามหาโลหะดาราสูญและเปิดอุโมงค์เพิ่มเรื่อย ๆ

เพราะชายหนุ่มพบทางออกแล้ว การรวบรวมโลหะดาราสูญจึงไม่ได้เป็นปัญหาอีกต่อไป ทุก ๆ วัน เขาจะไปยังทางออก และขโมยรูปปั้นจักรพรรดิอสูรบางตัวในแถบนั้นมา ณ จุดนี้ ซูเฉินมีโลหะดาราสูญพอที่จะขายส่งได้ด้วยซ้ำ

จักรพรรดิอสูรวาฬขนาดยักษ์ยังคงเฝ้ายามทางออกอย่างใกล้ชิดต่อไป โดยไม่ยอมจากไปไหน ทุกครั้งที่ซูเฉินเข้าไปใกล้ เจ้าวาฬนั่นก็จะโจมตีใส่

แต่มันคงโชคไม่ดีนัก เพราะซูเฉินสามารถใช้ภูติลั่นแสงได้ เขาอาจไม่สามารถเอาชนะจักรพรรดิอสูรได้ แต่ชายหนุ่มก็มั่นใจสุดชีวิตว่าตัวเองสามารถหนีไปรอด

ฉะนั้นแล้ว ทั้งสองคนจึงจมปลักอยู่กับกิจวัตรบางอย่าง ซูเฉินจะคอยเก็บเกี่ยวเหล่ารูปปั้น และหลังจากที่ไปเก็บเกี่ยวมาได้บางส่วน วาฬตัวนั้นก็จะรีบพุ่งเข้ามา แล้วชายหนุ่มก็จะหลบหนีไป โดยที่ระหว่างนั้นเปิดอุโมงค์จำนวนหนึ่งขึ้นข้างหลัง ด้วยวิธีนี้ แม้ว่าซูเฉินจะปล่อยให้สิ่งมีชีวิตอันตรายอันทรงพลังเข้ามา จักรพรรดิอสูรก็จะจัดการกับมันเอง กรณีที่ดีที่สุดคือทั้งสองคนจะบาดเจ็บอย่างแสนสาหัส

วันนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ซูเฉินมาถึงทางออกอีกครั้ง เขานำรูปปั้นมาได้เพียงชิ้นเดียว เมื่อเจ้าวาฬตัวยักษ์ทำท่าจะว่ายเข้ามาหา

ซูเฉินใช้รองเท้าเปิดอุโมงค์ออก และเตรียมตัวจะหนีจากไป

แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องตัวแข็งทื่อไปทันใด

เพราะในคราวนี้ เขาสามารถมองเห็นโลกอันสดใสหลากสีสันได้ที่อีกฝั่งของอุโมงค์

แดนที่มีชีวิต !