ภาคที่ 6 บทที่ 69 ปรุงยา (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 69 ปรุงยา (2)

ซูเฉินรับรู้ได้ทันทีว่าแดนชีวาแห่งนี้ได้เปิดอยู่ตรงหน้าเขา

รัศมีแห่งความมีชีวิตชีวาที่เข้มข้นและหนาแน่นนี้ ไม่อาจเป็นของปลอมไปได้ จะต้องมีแดนชีวาอยู่ที่อีกฝั่งของอุโมงค์อย่างแน่นอน

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถเข้าไปได้เสมอไป อย่างไรแล้วแดนที่ต่างกันก็มีสิ่งแวดล้อมที่ต่างออกไปด้วย หลายครั้งอาจไม่เหมาะต่อการอยู่อาศัยของมนุษย์ มีเพียงมนุษย์ที่มีระดับพลังที่แข็งแกร่งพอเท่านั้นที่สามารถเอาชีวิตรอดในสิ่งแวดล้อมต่างแดนของศัตรูได้

ซูเฉินไม่รู้ว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นผ่านเกณฑ์หรือยัง แต่เขาก็สามารถสัมผัสได้ว่าอีกแดนหนึ่งนี้ไม่ได้อันตรายมากนัก

นอกจากนั้น เพราะว่าชายหนุ่มได้เปิดอุโมงค์ขึ้นแล้ว จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องไป

เขาต้องการทรัพยากรดิบ

ดังนั้นแล้ว ซูเฉินจึงตัดสินใจแทบจะในทันที

แทนที่จะใช้วิชาภูติลั่นแสงและหนีไป ซูเฉินกลับก้าวเข้าไปในอุโมงค์ที่เชื่อมต่อแดนพลังสูญและแดนชีวานั่น อุโมงได้ปิดลงทันทีหลังจากที่ได้เข้าไป และจักรพรรดิอสูรก็คว้าน้ำเหลวอีกครั้ง มันได้แต่คำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวอยู่ในแดนพลังสูญเบื้องหลัง

ที่อีกฝั่งของอุโมงค์ ซูเฉินรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างกำลังสร้างความแสบระคายต่อร่างกายตน ทำให้ทั้งตัวของเขาคันคะเยออย่างไม่อาจห้าม

ซูเฉินรีบใช้เกราะป้องกันพลังต้นกำเนิดกับตัวเอง ผนึกตัวเขาเองไว้อย่างแน่นหนา และตัดการติดต่อใดก็ตามจากบรรยากาศภายนอก นี่คือทักษะที่สำคัญอย่างแน่นอน หากใครก็ตามต้องการเข้าไปในต่างแดน อย่างไรแล้ว มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ว่าสิ่งใดนั้นอันตรายบ้าง ศัตรูที่มองเห็นได้นั้นมักจะไม่ใช่ปัญหา แต่นักฆ่าที่เงียบเชียบผู้สามารถแฝงตัวได้นั้น เป็นภัยคุกคามที่ใหญ่หลวงที่สุด

ทันทีที่ซูเฉินก้าวเท้าเข้าไปในโลกนี้ ก็มองเห็นด้วยเนตรมองโลกจุลภาคได้ว่าอากาศที่นี่นั้น เปี่ยมไปด้วยสิ่งมีชีวิตระดับจุลภาคนับไม่ถ้วน ที่มีความสามารถกลุ่มที่ทรงพลังและรุนแรงเหลือเชื่อ ความคันคะเยอสุดแสนน่ารำคาญที่เขารู้สึกเมื่อครู่นี้ มาจากพวกมันนั่นเอง

ซูเฉินไม่ได้ชำนาญการสำรวจแดนใหม่นัก ดังนั้นแล้ว ชายหนุ่มจึงถูกลอบโจมตีทันทีเมื่เข้าไป และแม้ว่าเขาจะใช้เกราะป้องกันพลังต้นกำเนิดอย่างรวดเร็ว ร่างทั้งร่างก็ยังปกคลุมไปด้วยสิ่งมีชีวิตระดับจุลภาคพวกนี้อยู่ดี

แต่ไม่นานนัก คลื่นเปลวไฟอันทรงพลังก็ปะทุออกมาจากร่างชายหนุ่ม มันเข้าแผดเผาสิ่งมีชีวิตตัวเล็กเสียยิ่งกว่าละอองฝุ่นทั้งหมดรอบตัวเขา น่าสังเกตว่า ที่เสื้อผ้าของเขาไม่มีรอยขีดข่วนแม้แต่น้อยนั้น ชี้ชัดว่าการหยั่งรู้ในกฎแห่งพลังไฟของชายหนุ่มได้เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน

หลังจากการชะล้างแห่งไฟนี้ ซูเฉินก็พอได้พักหายใจหายคอ และสำรวจบริเวณโดยรอบอย่างระมัดระวัง

ชายหนุ่มถูกรายล้อมไปด้วยต้นไม้ที่สูงเหลือเชื่อ แต่ละต้นดูเหมือนจะสูงลิ่วขึ้นไปจนถึงสวรรค์

จากระบบนิเวศแสนซับซ้อนที่ซูเฉินสังเกตการมา เห็นได้ชัดทีเดียวว่ามีทรัพยากรมีค่าอยู่ที่นี่จำนวนไม่น้อย

และในเมื่อเป็นเช่นนั้น ซูเฉินก็จำเป็นต้องรีบหาตำแหน่งของทรัพยากรที่เขาต้องการมากที่สุดพวกนั้น

ดังนั้นแล้ว ชายหนุ่มจึงเมินเฉยต่อสถานการณ์โดยรอบ และเริ่มรีบลงมือค้นหาบริเวณรอบนั้น

ด้วยเนตรมองโลกจุลภาค ซูเฉินสามารถทดลองพืชหลายร้อยชนิดรอบกายได้โดยไม่ต้องกลัว ไม่นานต่อมา เขาก็เริ่มเก็บเกี่ยวพวกมันทีละต้น ๆ ด้วยผลึกวิญญาณที่มี ซึ่งทำงานไปจนถึงขึดจำกัด ชายหนุ่มก็จดจำทุกต้นสมุนไพรที่เป็นประโยชน์ได้เองโดยปริยาย เพื่อให้ตนเองสามารถเลือกสรรพวกมันได้ หากเผลอไปเจอพวกมันอีกในภายภาคหน้า นี่จะเพิ่มอัตราการเก็บเกี่ยวของเขาได้มากทีเดียว

ขณะที่ซูเฉินโบยบินอยู่ในแดนชีวา ชายหนุ่มก็เริ่มสะสมกองสมุนไพรที่มีประโยชน์ขนาดใหญ่ขึ้นมา

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ซูเฉินก็สัมผัสได้ถึงความไม่สบายใจที่ค่อย ๆ แทรกเข้า

ชายหนุ่มรู้ว่านี่คือสัญญาณที่ด่างแดนกำลังปฏิเสธเขา

นอกจากว่าสองแดนจะคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก สิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่ข้ามจากแดนหนึ่งเข้าไปสู่อีกแดนหนึ่ง จะเผชิญกับความไม่เสถียรปริมาณมาก ความไม่เสถียรนี้นั้นไม่ใช่สิ่งที่เพียงแค่พลังต้นกำเนิดจะสามารถรับมือได้ เพราะสิ่งมีชีวิตต่างแดนไม่ได้มาจากแดนนั้นตั้งแต่แรก ทุกสิ่งในสิ่งแวดล้อมของแดนนั้นก็จะส่งผลร้ายต่อมัน

ยิ่งแตกต่างกันมากเท่าไร ผลนั้นก็จะยิ่งมากตามไปด้วย สิ่งเดียวกันเกิดขึ้นกับระยะเวลาที่สิ่งมีชีวิตต่างแดนนั้นอยู่ในแดนใหม่เช่นกัน

ข้อแตกต่างระหว่างแดนนี้และทวีปต้นกำเนิดไม่ได้มีมากนัก ซึ่งเป็นเหตุผลที่ซูเฉินสามารถอยู่ที่นี่ได้สักพัก หากชายหนุ่มพบว่าตนเองอยู่ในแดนเพลิงหรือแดนเยือกแข็ง การเดินทางของเขาก็คงจะสั้นกว่านี้มาก สถานที่อย่างแดนเงาซึ่งชั่วร้ายอย่างเหลือเชื่อนั้น ก็ไม่ได้ต่างออกไปมากจนกระทั่งมันไม่ยอมให้เขาเข้าไปได้

เมื่อนึกขึ้นได้ว่าสถานการณ์ของตัวเองกำลังย่ำแย่ลง ซูเฉินก็คิดได้ว่าคงเป็นเวลาที่จะต้องจากไปแล้ว

อย่างไรก็ดี เขาได้บันทึกตำแหน่งพลังสูญของแดนนี้ไว้แล้ว ชายหนุ่มจึงสามารถกลับมาได้เสมอหลังจากที่ฟื้นฟูตนเองแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องฝืนมากเกินไป

แต่ในขณะที่เขากำลังจะจากไปนั้นเอง ซูเฉินก็ได้ยินเสียงสั่นสะเทือนอันเป็นลางไม่ดีมาจากบริเวณที่ไกลออกไป

ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้น ก็ได้พบกับอสูรขนาดยักษ์พุ่งตรงเข้ามาหา

อสูรตัวนี้ดูคล้ายกับแรด ทว่าเท้าของมันกลับมีถึง 6 กีบ และทุก ๆ ก้าวที่มันเหยียบลงไปนั้น จะทำให้ผืนดินสั่นสะเทือนอย่างมหันต์

ชัดเจนว่ามันไม่ยินดีอย่างยิ่งกับการมาถึงของซูเฉิน ขณะที่มันเข้ามาใกล้ชายหนุ่ม มันก็ก้มหัวลง และพยายามจะใช้นออันมหึมากระซวกใส่

ซูเฉินหัวเราะพลัน “ไม่แย่ !”

ก่อนที่นอนั้นจะเจาะทะลวงร่างซูเฉิน เขาก็กระโดดไปด้านข้างได้อย่างเฉียดฉิว และคว้าหมับหางของอสูรแรดไว้ แล้วจึงยกมันลอยขึ้นกลางอากาศ

แล้วซูเฉินก็ทุ่มร่างของอสูรแรดลงบนพื้นอย่างรุนแรง

ตูม !

แรดยักษ์คำรามด้วยความเจ็บร้าวขณะที่มีผืนดินกระเทือนไหวอยู่ภายใต้ร่าง

แต่เจตต่อสู้ของมันก็ไม่ได้ย่อหย่อนลงแม้แต่น้อย สายฟ้าสีม่วงวิบวับเริ่มกะเทาะประกาย กระจายไปตามร่างของมัน ขณะที่มันรวบรวมความแข็งแกร่งขึ้นมาไว้อีกหนหนึ่งเพื่อโจมตีซูเฉิน

ชายหนุ่มยกมือขึ้นและกำจัดสายฟ้าที่โจมตีเข้ามาอย่างไม่ทุกข์ร้อน

แรดตัวนี้ไม่ได้อ่อนแอเสียทีเดียว ตามมาตรฐานของทวีปต้นกำเนิดแล้ว ก็จัดได้ว่าเป็นเจ้าอสูรกายเลยทีเดียว

โชคไม่ดีนักที่อสูรกายตัวนี้ไม่มีโอกาสที่จะคว่ำซูเฉินได้แม้แต่น้อย

พริบตาต่อมา หมัดของซูเฉินก็พุ่งกระแทกเข้าที่หัวของอสูรแรด ระเบิดมันออกไม่ต่างอะไรกับลูกแตงโม และทำให้แรดตัวนั้นคำรามร้องด้วยความทุรนทุราย

ด้วยอีกสามหมัดรัวกระแทกที่ตามมาติด ๆ กะโหลกของอสูรแรดก็แตกสลาย ซูเฉินยื่นมือเข้าไปข้างในและคว้านอยู่สักพัก ก่อนที่จะดึงเอาวัตถุเหนียวหนืดสีขาวออกมา มันคือไขกระดูกของอสูรแรด ตำแหน่งที่แก่นของมันเองตั้งอยู่

การศึกษาในกายวิภาคศาสตร์ของซูเฉิน ได้ไปถึงจุดที่ชายหนุ่มสามารถระบุส่วนของร่างกาย หรืออวัยวะที่มีค่า ด้วยการมองเพียงครั้งเดียวได้สบาย ๆ

กระทั่งสิ่งมีชีวิตที่ซูเฉินไม่เคยพบมาก่อนก็ไม่มีข้อยกเว้น

ไขกระดูกนั้นคือแก่นของอสูรแรด และจะมีคุณภาพสูงขึ้นตามความสดใหม่ในตอนที่ไปเก็บมา นี่คือเหตุผลที่ซูเฉินเลือกที่จะผ่ามันออกมาจากอสูรแรดขณะที่มันยังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าวิธีการนี้จะป่าเถื่อนไปบ้าง แต่ผลลัพธ์นั้นก็น่าประทับใจทีเดียว หากไม่ใช่เพราะความป่าเถื่อนเช่นนี้ แล้วเผ่าพันธุ์มนุษย์จะเป็นอย่างไรกัน ?

นอกจากนี้ เจ้าแรดตัวนี้ก็ป่าเถื่อนไม่ต่าง ที่พยายามทะลวงร่างของซูเฉินตั้งแต่แรกเริ่ม

หลังจากที่นำไขกระดูกของอสูรออกมาแล้ว ซูเฉินก็เก็บมันไว้ในกล่องหยกสีขาวที่มีค่ายกลต้นกำเนิด ซึ่งจะคอยรักษาไขกระดูกให้สดใหม่นานยิ่งขึ้น

แล้วซูเฉินก็ยื่นมือออกไปและดึงทึ้งนอของอสูรแรดมาด้วย จากไขกระดูกของมันแล้ว มีเพียงนอของมันเท่านั้นที่มีประโยชน์ ถึงอย่างนั้น นอนี้ก็มีประโยชน์เพียงสร้างเครื่องมือต้นกำเนิดเท่านั้น สำหรับซูเฉินแล้ว มันจึงยังใกล้เคียงกับคำว่าไร้ประโยชน์อยู่ดี

หลังจากที่เก็บรักษาสิ่งของทั้งสองแล้ว ซูเฉินก็ฉวยคว้าเอาขาของอสูรแรดขึ้นมา และใช้รองเท้าแดนเดียวเคลื่อนกายอีกครั้งหนึ่ง

รองเท้าเคลื่อนกายข้ามแดนสามารถถูกใช้งานได้โดยตรง หากซูเฉินระบุตำแหน่งพลังสูญไว้ในใจแล้ว อุโมงค์เชื่อมต่อไปสู่เกาะจึงปรากฏขึ้นอย่างปลอดภัย

ถีเข่อซือประหลาดใจยิ่งนัก เมื่อเห็นว่าซูเฉินก้าวออกมาจากทางเข้าอุโมงค์ โดยแบกสิ่งมีชีวิตประหลาดคล้ายแรดไว้ข้างหลัง

“นี่คือ…”

“เนื้อสัตว์” ซูเฉินตอบเรียบ ๆ

พวกเขาอยู่บนเกาะแห่งนี้มาเป็นเวลานานมากแล้ว และซูเฉินก็ไม่มีเนื้อสัตว์ตกถึงท้องมาโดยตลอด ชายหนุ่มนั้นโหยหาอยากกินมันเต็มที

ถีเจ่อซือพูดไม่ออกเมื่อตนได้ยินเช่นนั้น “ข้าหมายถึง เจ้าไปเอามันมาจากไหน ?”

“แล้วข้าจะไปเอามันมาจากไหนได้ล่ะ ?” ซูเฉินสวนกลับไปอย่างเฉยเมย

ถีเข่อซือตื่นเต้นขึ้นมาในทันใด “เจ้าพบแดนอื่นหรือ ?”

“ใช่ แห่งหนึ่งที่ดูโบราณด้วย แต่สิ่งมีชีวิตที่อยู่นั่นก็ไม่ด้อ่อนแอเช่นกัน เจ้านี่ที่จู่ ๆ ก็กระโดดเข้ามาใส่ข้านั้นแข็งแกร่งเท่ากับเจ้าอสูรกายทีเดียว” ซูเฉินกล่าวขณะที่เท้าของเขากระทุ้งศพของอสูรแรดไปด้วย

“แดนโบราณที่เปี่ยมไปด้วยพลังต้นกำเนิด… ดวงของเจ้านี่ไม่เลวเลย” ถีเข่อซือเอ่ย

“เปี่ยมไปด้วยพลังต้นกำเนิดหรือ ?”

“ใช่ นั่นคือสิ่งที่เราใช้อธิบายยุคสมัยโบราณ เจ้ารู้ว่าพลังต้นกำเนิดในสมันก่อนนั้นเข้มข้นกว่ามาก ซึ่งทำให้เทพอสูรบรรพกาลสามารถปกครองแผ่นดินได้ แต่เมื่อโลกพัฒนาต่อไป และเมื่อพลังต้นกำเนิดเบาบางลงมากขึ้นและมากขึ้น เทพอสูรบรรพกาลก็ถูกบีบบังคับให้หลับใหล ทำให้เผ่าพันธุ์อัจฉริยะต่าง ๆ ได้ตำแหน่งสำคัญไปแทน” ถีเข่อซืออธิบาย

“ท่านกำลังจะบอกว่าทุกแดนก็เป็นเช่นนี้หรือ ? ตั้งแต่แรกเริ่ม ทุกแดนจะเปี่ยมไปด้วยพลังต้นกำเนิดทุกหนแห่ง ทำให้เทพอสูรบรรพกาลสามารถขึ้นปกครองได้ แล้วเมื่อพลังต้นกำเนิดอ่อนพลังลง เผ่าพันธุ์อัจฉริยะก็ยึดครงอำนาจงั้นหรือ ?” ซูเฉินถาม

“เผ่าวิญญาณใช้เวลามหาศาลในการค้นคว้าคำถามนี้ และใช่ นั่นคือข้อสรุปที่พวกเราได้”

“น่าสนใจ ถ้ามันเกิดขึ้นแทบจะทุกแดน แล้วพลังต้นกำเนิดที่หายไปนั้นถูกดูดไปที่ไหนล่ะ ?”

คำถามนี้ก็ทำให้ถีเข่อซือชะงักไปเช่นกัน

หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง วิญญาณชราก็ส่ายหัวและกล่าว “บางทีมันอาจกลับไปยังทะเลพลังต้นกำเนิดก็ได้”

“แล้วตัวพลังต้นกำเนิดเองมาจากที่ไหนล่ะ ? มันมาจากทะเลพลังต้นกำเนิดด้วยไหม ? และเส้นทางใดที่พลังต้นกำเนิดใช้ทำสิ่งนี้ให้สำเร็จล่ะ ? ทำไมทุกแดนจึงดูเหมือนจะนำไปสู่ที่นั่นกันกัน ?”

คำถามที่รัวออกมาเป็นพรวนของซูเฉิน ทำเอาถีเข่อซือพูดไม่ออก

ไม่นานวิญญาณแก่ก็เปลี่ยนจากความอับอายกลายเป็นความรำคาญแทน “ข้าจะรู้เรื่องเหล่านั้นได้อย่างไร ? ถ้าเจ้ามีความสามารถนัก ก็ไปหาคำตอบเอาเองสิ”

แต่ใครจะคิด ว่าซูเฉินจะพยักหน้าเป็นเชิงโต้ตอบแบบจริงใจ “ข้าจะทำ วันหนึ่งหลังจากที่ข้าพัฒนาวิชาการฝึกสู่อมตะได้สำเร็จแล้ว ข้าอาจจะลองค้นหาความจริงเบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงของโลกก็ได้”

ถีเข่อซือตะลึงงันเมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น

แต่ซูเฉินก็พักเรื่องการคาดเดาของเขาไว้ก่อน และเริ่มชำแหละร่างของอสูรแรด

ในวันนั้น เขากินเนื้อย่างจนอิ่มแปล้ กระทั่งม้าน้ำพลังสูญก็ได้อิ่มหมีพีมันไปด้วย และสายตาที่มันมองซูเฉิน ก็ไม่ได้เปี่ยมไปด้วยความเป็นปฏิปักษ์อีกต่อไป

อย่างไรแล้ว พวกเขาก็ติดอยู่ในสถานที่เดียวกันมาเป็นเวลานาน เป็นธรรมดาที่ความสนิทสนมบางอย่างจะก่อตัวขึ้นระหว่างกัน

น่าเสียดายที่มีสิ่งที่ซูเฉินจำเป็นต้องทำมากเกินไป และชายหนุ่มไม่มีเวลาที่จะคอยเอาอกเอาใจม้าน้ำพลังสูญ แต่การร่วมมื้อกันครั้งนี้ เจ้าม้าน้ำก็ได้พัฒนาความประทับใจที่มีต่อตัวซูเฉินไปไม่น้อยเลยทีเดียว

ในวันถัด ๆ ไป ซูเฉินก็จะไปยังแดนชีวาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตามหาทรัพยากรเพิ่มเติม

อย่างที่ถีเข่อซือได้กล่าวไว้ แดนนั่นเก่าแก่อย่างน่าเหลือเชื่อ ไม่มีสัญญาณของความเจริญอยู่ทุกหนแห่ง และเหล่าสิ่งมีชีวิตประหลาดแสนทรงพลังก็มีอยู่ทั่วทั้งผืนดิน แต่ผลลัพธ์ก็คือ แดนแห่งนี้นั้นกลับเต็มไปด้วยทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ด้วยเช่นกัน

ด้วยการพึ่งพารองเท้าเคลื่อนกายข้ามแดน ซูเฉินสามารถเดินทางไปมาระหว่างเกาะและแดนอื่นเพื่อรวบรวมทรัพยากรมีค่าได้อย่างเหลือเฟือสบาย ๆ

โชคไม่ดีนักที่ชายหนุ่มนยังคงขาดวัตถุดิบ ที่สามารถทำให้การเร่งสสารต้นกำเนิดเสถียรขึ้นได้

วันนี้ ซูเฉินก็ยังคงปรุงยาใหม่อีก

เปลวเพลิงกระพือแรงต้มหม้อน้ำให้เดือดปุด ขณะวัตถุดิบปรุงยาภายในกำลังพลุ่งพล่านไปทั่วทุกสารทิศ ควันสีน้ำเงินซีดลอยขึ้นบาง ๆ ไปในอากาศ

สีหน้าของซูเฉินนั้นไม่ไหวติง เพราะชายหนุ่มเคยได้เห็นความสำเร็จหลุดมือของเขาไปในชั่วขณะสุดท้ายมานักต่อนักแล้ว ซึ่งเป็นเหตุผลที่เขาไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ เขากระทั่งตั้งตาคอยเสียงของยาที่แตกร้าวอีกครั้งตามความเคยชิน

แม้ชายหนุ่มจะคาดไว้เช่นนั้น ทว่าเสียงแตกร้าวนั้นกลับไม่ปรากฏขึ้นเลย กลายเป็นยาภายในหม้อแทนที่เริ่มเปล่งประกายแวววาว ยามของเหลวนั้นกระทบเข้ากับหม้อต้มก็ทำให้เกิดเสียงดังกริ๊ง

เมื่อการจารึกขั้นสุดท้ายปรากฏอยู่บนยาพร้อมกับเริ่มเรืองแสงขึ้น ซูเฉินก็ตกตะลึง

เขาทำสำเร็จแล้วหรือ ?

เขาทำสำเร็จแล้วจริง ๆ หรือ ?

ในตอนที่ซูเฉินมั่นใจว่าเขากำลังจะได้รับความล้มเหลวเพิ่มมาอีกครั้งนั้นเอง เขาก็สามารถปรุงยาขึ้นมาได้สำเร็จในที่สุด

ชายหนุ่มกดความตื่นเต้นไว้ในใจอย่างฝืนทน ขณะที่เขานำยานั้นออกมาจากหม้อ

มีพวกมันอยู่ทั้งหมด 3 เม็ด แต่ละเม็ดต่างส่องประกายเป็นมันเงาดุจหยก

“ช่างเป็นยาที่ทรงพลังจริง ๆ !” ถีเข่อซือถอนหายใจด้วยความอัศจรรย์ใจ

แม้ว่าตนนั้นจะไม่สามารถใช้มันได้ แต่วิญญาณชราก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมของยาที่เข้มขนล่องลอยมาจากยาที่เสร็จสมบูรณ์นั้น