บทที่ 70 ทางตัน ! อันตราย !
สุสานจักรพรรดิอสูร
นั่นคือชื่อที่ซูเฉินตั้งให้แก่ทางออกของหุบเหวนรก
ในตอนนี้ ซูเฉินได้รวบรวมรูปปั้นจักรพรรดิอสูรมาจากที่นั่นมากกว่าครึ่งแล้ว โลหะดาราสูญที่เขาได้ถ่ายมาจากพวกมันนั้นเพียงพอที่จะสร้างภูเขาเล็ก ๆ ประกอบเครื่องมือพลังสูญหลายสิบชิ้น หรือซื้อทั้งอาณาจักรเลยก็ยังได้
การที่รูปปั้นของจักรพรรดิอสูรหายไปทำให้เจ้าวาฬยักษ์รู้สึกหงุดหงิดใจเป็นพิเศษ
อย่างไรแล้ว สุสานนี้ก็เป็นบ้านของมัน แล้วสำหรับมัน รูปปั้นจักรพรรดิอสูรแต่ละตัวก็เป็นเหมือนของประดับตกแต่งบ้านของมัน
แต่ในตอนนี้ หัวขโมยตัวหนึ่งกำลังปล้นเจ้าวาฬอย่างไม่รู้จักหยุดจักหย่อน !
โจรรายนี้นั้นรวดเร็วผิดธรรมชาติ อสูรวาฬไม่อาจจับเขาได้สักครั้ง และได้แต่มองเขาหลุดรอดจากเงื้อมมือของมันไปครั้งแล้วครั้งเล่า นี่ทำให้มันโกรธเป็นอย่างมาก
ถึงอย่างนั้น ไม่ว่ามันจะโกรธเพียงไร มันก็ไม่สามารถปกป้องรูปปั้นที่ถูกขโมยไปได้อยู่ดี
ดังนั้นแล้ว เสียงครางหอนอันโกรธเกรี้ยวของมันจึงสะท้อนไปมาในแดนพลังสูญ และดังก้องไปทุกแห่ง
วันนี้ ไอ้ชั่วสารเลวนั่นปรากฏตัวขึ้นอีกแล้ว !
วาฬยักษ์ไม่ได้โจมตีด้วยซ้ำ เพราะมันรู้ว่าศัตรูนั้นได้เปรียบเรื่องความเร็ว ความสามารถในการเคลื่อนกายสุดแสนน่ารำคาญนั่นยืนยันได้ว่า ไอ้โจรจอมไหลลื่นนี้จะหลบหนีไปได้ แม้ว่ามันจะเป็นถึงจักรพรรดิอสูรที่สามารถควบคุมพลังสูญในพื้นที่นี้ได้ แต่มันก็ยังไม่สามารถป้องกันไม่ให้ซูเฉินหลบหนีไปได้อยู่ดี
ดังนั้น เจ้าวาฬยักษ์จึงเลือกที่จะไม่สนใจศัตรูของมันมากเท่าไรนัก
แต่แม้ว่าอสูรวาฬยักษ์จะตั้งใจเมินซูเฉินถึงเพียงนั้น ซูเฉินก็ปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้นด้วย
ชายหนุ่มเหาะตรงไปยังวาฬยักษ์และเรียกมันอย่างเย้ยหยัน “นี่ ข้ากลับมาแล้ว”
เจ้าวาฬยักษ์มองเขาอย่างไม่แยแส ดวงตาขนาดมหึมาของมันกลอกไปมาสักพัก ก่อนที่จะปล่อยคลื่นพลังงานออกมา
การโจมตีตามอารมณ์นี้ไม่ต่างไปจากการยื่นมือออกมาตบแมลงวัน
ในใจของวาฬยักษ์ได้คิดว่าศัตรูของมันกำลังจะเคลื่อนกายหนีไปอีกครั้ง
แต่มันก็ต้องประหลาดใจเป็นอย่างมากเมื่อคลื่นพลังงานของมันหยุดลงกลางทาง ศัตรูของมันยืนอยู่ที่นั่น ถูกขังอยู่ในแดนพลังสูญ ยังคงเผชิญหน้ากับมันอยู่
นั่นทำให้อสูรวาฬยักษ์ประหลาดใจไม่น้อย
วันนี้โจรร้ายผู้นี้ดูจะฮึมเหิมเป็นพิเศษ
มันหรี่ตาลงเล็กน้อยและเริ่มแหวกว่ายเข้ามาหาซูเฉิน
ชายหนุ่มยังคงไม่ขยับกายไปไหน
เขาจะไม่หนีหรือ ?
วาฬยักษ์เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาเป็นครั้งแรก ขณะที่รัศมีของมันแผ่ซ่านออกมา พายุพลังงานที่ทรงพลังเริ่มก่อตัวขึ้นรอบตัวมัน
“โฮก !”
อสูรวาฬแผดเสียงดังลั่น เสียงคำรามนี้เปี่ยมไปด้วยศักยภาพของการทำลายล้างอย่างแท้จริง และคลื่นเสียงมหาศาลก็กระเพื่อมเข้ามาทางซูเฉิน
ซูเฉินต้านแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามาอย่างใจเย็น “เจ้าคงโกรธไม่น้อย ที่ไม่สามารถต่อสู้กับข้าได้มาเป็นเวลานานเหลือเกินใช่ไหมล่ะ ? ตอนนี้โอกาสของเจ้ามาถึงแล้วนะ”
เขาทำท่าทางสบาย ๆ แล้วลำแสงสายฟ้าสีม่วงขนาดยักษ์ก็ปรากฏขึ้นในอากาศ เกิดเป็นด้ามหอกยาวเหยียดก่อนจะลอยลิ่วพุ่งตรงไปยังวาฬยักษ์
วาฬยักษ์ร้องโอดครวญอีกครั้งขณะที่มันหวดพัดพายุโหมลูกหนึ่งขึ้นมาเพื่อตอบโต้
ลมและสายฟ้าปะทะเข้าด้วยกัน ก่อนที่จะกระจัดกระจายออกไปด้วยความเร็วแสง การโจมตีเหล่านี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของมหากาพย์สงครามที่กำลังจะก่อกำเนิดขึ้น
หากว่าด้วยเรื่องพลังงานบริสุทธิ์ จักรพรรดิอสูรวาฬยักษ์เป็นฝ่ายได้เปรียบ
มันคือราชันในหมู่อสูร และความแข็งแกร่งของมันก็ไม่อาจดูแคลนได้ วาฬยักษ์ตัวนี้ยิ่งกว่าสามารถกวาดล้างสิ่งมีชีวิตส่วนมากบนทวีปต้นกำเนิดได้เสียอีก นอกจากนี้ เพราะมันเป็นสิ่งมีชีวิตพลังสูญ ความเร็วของมันในแดนพลังสูญจึงรวดเร็วเป็นพิเศษด้วยเช่นกัน
ร่างขนาดมหึมาของมันสั่นไหวผ่านอากาศ แหวกผ่านแดนพลังสูญและทิ้งภาพติดตาไว้ ในการต่อสู้แนวหน้าที่แท้จริง ท่าทางสง่างามของมันนั้นน่าตกใจทีเดียว
โชคดีที่ไม่มีภูเขาลูกใดอยู่ในแดนพลังสูญ ไม่เช่นนั้น คงได้พังทลายลงจากแรงสั่นสะเทือนที่มาจากพลังของเจ้าวาฬนั่น
ในแดนพลังสูญนี้ สัญลักษณ์เพียงอย่างเดียวของสงครามอันยิ่งใหญ่คือ แนวเปลวเพลิงและลำแสงสายฟ้าที่เต้นระบำอยู่ภายในแรงลมโหมกระหน่ำ มิหนำซ้ำยังถูกลดทอนลง จากความจริงที่ว่าการโจมตีของทั้งสองฝ่ายล้วนเบาบางลงแทบจะในทันที ดังนั้นแล้ว หากว่ากันด้วยเรื่องของขนาด สงครามนี้ก็ดูจะเล็กไปเลยทีเดียว
แต่เพียงเพราะมีขนาดเล็กก็ไม่ได้ความว่าจะอันตรายน้อยลง
ไม่มีพื้นที่ที่เพียงพอต่อการโจมตีระยะไกลภายในแดนพลังสูญ หากพวกเขาต่อสู้ มันจะต้องเป็การต่อสู้ระยะประชิดแทนเพื่อดูว่าทักษะของใครแข็งแกร่งกว่ากัน
หลังจากที่ไปถึงด่านหยั่งรู้ฟ้าดินแล้ว ความแข็งแกร่งของซูเฉินก็จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ในตอนแรก วิชาบ่มเพาะทักษะต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นผูกมัดอยู่กับการพัฒนาโดยพื้นฐาน ยิ่งระดับพลังของผู้ฝึกตนสูงเท่าไร พละกำลังของพวกเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ดังนั้นแล้ว พละกำลังของผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดินจึงสูงอย่างถึงที่สุด และเพราะซูเฉินยังเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 10 อีกด้วย วิชาอาร์คาน่าของเขาซึ่งครอบครองความสามารถอันรุนแรงเหลือเชื่อ จึงไม่ได้อ่อนแอไปกว่าการโจมตีของจักรพรรดิอสูรแต่อย่างใด
ก่อนที่ชายหนุ่มจะทะลวงด่านสำเร็จ การป้องกันของซูเฉินนั้นอ่อนแอกว่าอสูรวาฬ เขาจึงไม่อาจเข้าโจมตีจักรพรรดิอสูรซึ่ง ๆ หน้าได้
แต่ในตอนนี้เมื่อเขาได้ไปถึงยังด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน ความอ่อนแอก่อนหน้านี้ก็ได้เปลี่ยนไปอย่างมหาศาล เขาไม่ต้องเกรงกลัวต่อจักรพรรดิวาฬยักษ์อีกต่อไป และทั้งสองก็เริ่มแลกหมัดกันในทันที
วิชาอาร์คาน่าระดับ 10 ครั้งแล้วครั้งเล่าถูกปลดปล่อยออกมา ปีกคู่หนึ่งสยายออกมาจากหลังของซูเฉินอีกครั้ง ขณะที่วิชาอาร์คาน่าลม ไฟ และสายฟ้าที่เขาได้เรียนรู้มา ฟาดเข้าที่วาฬยักษ์อย่างรุนแรง
ในขณะเดียวกัน ระดับพลังด่านหยั่งรู้ฟ้าดินของชายหนุ่ม กำลังรับหน้าที่ในการป้องกันเป็นหลัก
เจ็ดสายเลือดจิ๋วปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทะเลสีหยกแผ่ขยายออกไปยังเส้นขอบฟ้าขณะที่ดวงอาทิตย์เริ่มฉายแสง
มันไม่เพียงแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม แต่ตอนนี้เจ็ดสายเลือดจิ๋วของซูเฉินยังมีลักษณ์เพิ่มเติมอีกด้วย
ลักษณ์นี้สามารถมองเห็นได้ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ลอยสูงขึ้นมาจากท้องทะเล
ก่อนหน้านี้ ดวงอาทิตย์เป็นเพียงแค่วงกลมแสงสีแดงโดยไร้ซึ่งร่างกายภาพ
แต่ในตอนนี้ ดวงอาทิตย์สีแดงดวงนี้กลับแผ่รังสีความร้อนเข้มข้นออกมา เพิ่มพูนรัศมีสง่างามของโลกจิ๋วให้ขยายใหญ่ยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อเข้าไปสำรวจดูใกล้มากขึ้น ก็จะเห็นนกสีทองสามขาอยู่ภายใน
เมื่อเจ้านกสามขาแผ่ปีกออกมา ดวงอาทิตย์ก็เริ่มลอยสูงขึ้น และลำแสงหลายพันเส้นก็ฉายออกไปทั่วทุกทิศทาง
อสูรวาฬยักษ์ได้คายกลุ่มหมอกพิษหนาทึบออกมาเมื่อก่อนหน้านี้ เมื่อรังสีแสงมากมายปะทะเข้ากับหมอกนั้น พวกมันก็จางหายไปอย่างง่ายดาย
สายเลือดวิหคทองคำ !
เจ็ดสายเลือดจิ๋วของซูเฉินร่วมมือกับสายเลือดวิหคทองคำในที่สุด โดยรวมแล้ว ตอนนี้สี่ลักษณ์ได้ผสานกันโดยสมบูรณ์แล้ว
พลังของโลกจิ๋วห่อมหุ้มซูเฉินไว้เพื่อป้องกันชายหนุ่มจากทุกการโจมตี จักรพรรดิอสูรวาฬค้นพบอย่างรวดเร็วว่า กระทั่งด้วยพลังอันมหึมาของมันก็ไม่อาจทะลวงผ่านการป้องกันของซูเฉินไปได้
มันครางหอนอย่างฉุนเฉียวขณะที่พุ่งเข้ามาหาซูเฉินอย่างบ้าคลั่ง แต่ชายหนุ่มก็ยังคงยืนนิ่งประหนึ่งเป็นภูผา
ไม่ ภูผาคงจะถูกทำลายลง แต่ซูเฉินจะไม่แม้แต่ไหวติง
เขายืนตระหง่านอยู่กลางอากาศ ต้านทานทุกการโจมตีจากวาฬยักษ์
หลังจากที่ชายหนุ่มไปถึงยังด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน เขาก็ได้เปิดหยินและหยางขึ้น ซึ่งหมายความว่าพลังต้นกำเนิดภายในร่างกายของเขาจะหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดการหมุนเวียนที่ไม่สิ้นสุด ตราบใดที่เขาไม่ใช้วิชาต้องห้ามใด ๆ เขาก็จะสามารถสู้ต่อไปได้จนกว่าจักรวาลจะสลายตัวเอง
และเจ็ดสายเลือดจิ๋วก็ได้เพิ่มการป้องกันของซูเฉินขึ้น ทุก ๆ การโจมตีของอสูรวาฬจะอ่อนแอลงมหาศาลโดยฝีมือของเจ็ดสายเลือดจิ๋ว ก่อนที่จะถูกเบี่ยงออกไปด้วยเกราะป้องกันวิเศษของซูเฉิน แรงเหวี่ยงที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ถูกร่างกายกำยำของชายหนุ่มต้านทานได้อย่างง่ายดาย
ในทางกลับกัน การโจมตีของซูเฉินนั้นเชื่องช้าทว่าสร้างความเสียหายสะสมให้แก่วาฬยักษ์อย่างแน่นอน
แม้ว่าผิวของอสูรวาฬจะทั้งแข็งและหนาเหลือเชื่อ และวิชาอาร์คาน่าก็ทำได้เพียงแค่สร้างบาดแผลให้มันเท่านั้น ทว่าการโจมตีที่ไร้จุดจบก็ทำให้บาดแผลของมันสะสมตัวมากขึ้น และอสูรวาฬก็กำลังเริ่มทรมานอย่างแสนสาหัส
เจตต่อสู้ของซูเฉินได้ถูกกระตุ้นขึ้น เขาทำมือร่ายวิชา และวิชาจิตหงส์เพลิงก็ปรากฏออกมา
นี่คือวิชาไม้ตายของซูเฉิน
แต่วิหคเพลิงก็เปลี่ยนรูปร่างไปอีกครั้ง ร่างของหงส์เพลิงในตอนนี้ถูกเติมแต่งด้วยชั้นของสายลมที่ดุดัน ซึ่งทำให้เปลวเพลิงของมันโหมกระหน่ำยิ่งขึ้นไปอีก กรงเล็บของหงส์เพลิงก็ส่องประกายสายฟ้าสว่างโชติช่วงออกมา รัศมีของมันนั้นน่าเกรงขามยิ่งกว่าก่อนมหาศาล
วิชาอาร์คาน่าแสนทรงพลังนี้ผสมผสาน 3 ธาตุ ลม สายฟ้า และไฟเข้าด้วยกัน และได้ก้าวข้ามด่านของวิชาอาร์คาน่าระดับ 10 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
วิชาอาร์คาน่าระดับตำนาน !
มีเพียงปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนานเท่านั้น ที่จะสามารถใช้วิชาอาร์คาน่าระดับตำนานได้ ซูเฉินนั้นไม่ใช่ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนาน แต่การหยั่งรู้ในกฎแห่งพลังทำให้เขาสามารถข้ามขีดจำกัดนั้น และปล่อยการโจมตีที่ทรงพลังเหล่านี้ออกมาได้เช่นกัน
หงส์เพลิงนั้นแทบจะมีขนาดใหญ่โตพอ ๆ กับจักรพรรดิอสูร มันส่งเสียงร้องแหลมขณะที่แสงสว่างฉายออกมาจากตัว
“ลองชิมความโกรธเกรี้ยวของธาตุหน่อยเป็นไง” ซูเฉินพึมพำกับตัวเองขณะที่ผลักมือออกไป หงส์เพลิงทะยานพุ่งไปในอากาศทันที
จักรพรรดิอสูรสามารถสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามจากหงส์เพลิงตัวนี้
ก่อนหน้านี้ มันรู้สึกสิ้นหวังเมื่อตอนที่กำลังโจมตีซูเฉิน เฉกเช่นเมื่อคนเผชิญหน้ากับภูเขาสูงตระหง่าน ในตอนนี้ วิชาอาร์คาน่าระดับตำนานนี้ก็กำลังไล่ต้อนมันราวกับมีดอันแหลมคมไร้ที่เปรียบ
ภัยคุกคามที่แท้จริง ภัยคุกคามที่มีศักยภาพมากพอที่จะสังหารมันได้ !
ในตอนนั้น จักรพรรดิอสูรวาฬยักษ์ส่งเสียงคำรามลั่นและถอยหนี
มันถอยทัพ !
มันไม่กล้าตอบโต้การโจมตีนั้น
ในเวลาเดียวกันกับที่มันถอยทัพ มันก็ยังคงสร้างกระแสลมวนออกมาจากปากครั้งแล้วครั้งเล่า
กระแสลมพวกนี้มีความคล้ายคลึงกับพายุพลังสูญ ที่ก่อความโกลาหลขึ้นในแดนพลังสูญ ความสามารถในการทำลายล้างของพวกมันนั้นไม่อาจหาที่เปรียบได้ และพวกมันกระทั่งสามารถลบล้างวิชาอาร์คาน่าและทักษะต้นกำเนิดได้ หากไม่ใช่เพราะซูเฉินได้เลื่อนขั้นไปสู่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินแล้ว เขาคงจะถูกการโจมตีพวกนี้สังหาร ไม่ว่าเขาจะทรงพลังเพียงใดก็ตาม
หงส์เพลิงยักษ์พุ่งผ่านอากาศไปด้วยความเร็วสูง แหวกผ่านกระแสลมเหล่านั้นไปอย่างไม่หยุดยั้ง กระทั่งหลังจากที่หนึ่งในสามของร่างกายได้ถูกกัดกินไปแล้ว มันก็ยังคงปะทะเข้ากับวาฬยักษ์ ก่อให้เกิดระเบิดแสงขึ้น อสูรวาฬร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ขณะที่รูเหวอะขนาดมหึมาปรากฏขึ้นบนร่างของมัน
เลือดสด ๆ หลั่งไหลเข้ามาสู่แดนพลังสูญและละลายหายไปในอากาศ เพราะคุณสมบัติทำลายล้างของแดนแห่งนี้
กระนั้นมันก็ยังเอาชีวิตรอดมาจากการโจมตีนั้นได้
“ไม่เลว เจ้ารับอีกสักทีไหวไหม ?” ซูเฉินเริ่มรวบรวมหงส์เพลิงขึ้นมาอีกครั้ง
วาฬยักษ์ไม่ได้เกรงกลัวที่จะยืนหยัดและปลดปล่อยเหล่ากระแสลมวนต่อไป มันกระทั่งสามารถสร้างหอกพลังสูญจำนวนหนึ่งขึ้นมา และพุ่งเข้าใส่ซูเฉินเพื่อใช้โอกาสนี้ในการโจมตีสวนกลับ
สงครามได้ดำเนินมาจนถึงจุดสำคัญแล้วในตอนนี้ และทั้งสองฝ่ายต่างก็ดำดิ่งอยู่ในการต่อสู้
ซูเฉินปลดปล่อยหงส์เพลิงออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า กระแสลมทำลายล้างของวาฬยักษ์ก็ผนวกรวมกันเป็นพายุขนาดยักษ์พุ่งตรงเข้าไปหาซูเฉิน
วาฬยักษ์นั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสจากหงส์เพลิง แต่ถึงอย่างนั้น ร่องรอยแห่งความทรุดโทรมก็เริ่มปรากฏขึ้นบนร่างกายของซูเฉิน แม้ว่าเขาจะมีเจ็ดสายเลือดจิ๋วปกป้องอยู่ก็ตาม
ทั้งสองฝ่ายต่างติดอยู่ในการดิ้นรนระหว่างความเป็นและความตาย และซูเฉินก็สัมผัสได้ว่าพลังต้นกำเนิดที่เขาสำรองไว้เริ่มลดฮวบลง การปลดปล่อยวิชาอาร์คาน่าระดับตำนานเป็นการดูดพลังงานของเขามากเกินไปนั่นเอง และกระทั่งการไหลเวียนพลังต้นกำเนิดอันไม่สิ้นสุดก็ไม่เพียงพอที่จะรักษาผลลัพธ์เช่นนั้นไว้ได้
แน่นอนว่าวาฬยักษ์ก็ไม่ได้สภาพดีกว่ากันเท่าไรนัก พลังต้นกำเนิดของมันยังมีอยู่ค่อนข้างจำกัดอีกด้วย
แต่ฝ่ายใดกันที่จะสามารถเอาชีวิตรอดได้จนถึงจุดจบนั้นยากที่จะบอกได้
หากใครก็ตามได้เฝ้าสังเกตการณ์ศึกครั้งนี้ ดวงตาของพวกเขาคงหลุดออกมาจากเบ้าเป็นแน่
ไม่ว่าจะมองอย่างไร คู่ต่อสู้ของซูเฉินก็คือจักรพรรดิอสูร !
สิ่งมีชีวิตที่ยืน ณ จุดสูงสุดของการก่อกำเนิด
และซูเฉินก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชัน หรือปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนานด้วยซ้ำ
เขายังไปไม่ถึงจุดสูงสุดของทั้งสองระบบฝึกวิชา แต่ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็สามารถต่อสู้กับจักรพรรดิอสูรในหมู่จักรพรรดิ ด้วยพละกำลังของเขาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ตกตะลึงกับพลังเช่นนี้
โชคไม่ดีนักที่ไม่มีใครอยู่ที่นั่นเพื่อรับชมการสำแดงพลังครั้งนี้ การรับรู้ถึงซูเฉินของเผ่าพันธุ์มนุษย์ยังคงเป็นเพียงปราชญ์คนหนึ่ง ไม่ใช่นักรบ
ตัวซูเฉินเองก็ไม่ได้ใส่ใจนัก สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการจัดการกับเจ้านี่ให้เสร็จสิ้น แม้ว่าเขาจะยิ่งกว่าพิสูจน์ความสามารถในการกระโดดข้ามระหว่างแดนไปแล้ว ทว่าชายหนุ่มก็ได้แต่สูสีกับจักรพรรดิอสูรเท่านั้น
ทั้งสองเริ่มเหนื่อยล้าแล้ว กระทั่งในตอนนี้ก็ยังยากจะบอกได้ว่า ใครจะสามารถยืนหยัดได้จนถึงจุดจบอันขมขื่น
แต่ก็ยังมีปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลลบต่อซูเฉิน ขณะที่เวลาผ่านพ้นไป พลังกัดกร่อนของแดนพลังสูญก็ส่งผลกับเขามากขึ้นและมากขึ้นเรื่อย ๆ
หากทั้งสองใช้พละกำลังจนหมดสิ้น อสูรวาฬก็จะสามารถเอาชีวิตรอดได้ เพราะความเป็นเจ้าถิ่นแต่กำเนิดในแดนพลังสูญ แต่ร่างของซูเฉินจะต้องแตกสลายภายใต้พลังทำลายล้างของแดนแห่งนี้อย่างแน่นอน
ไม่สิ เขาคงจะกลายเป็นรูปปั้นที่ทำขึ้นจากโลหะดาราสูญเสียมากกว่า
สงครามนี้ช่างอันตรายเหลือเชื่อ !