บทที่ 71 กลับมา
ความสมดุลในยามนี้เป็นสิ่งที่อันตรายยิ่ง
หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ซูเฉินจะต้องถูกฆ่าตายอย่างแน่นอน !
และก็ดูเหมือนว่าทางเจ้าวาฬยักษ์เองก็จะตระหนักถึงเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นมันจึงไม่ได้พยายามโจมตีทุกวิถีทาง แต่กลับพยายามรักษาความสมดุลของการต่อสู้เอาไว้
ไม่สนใจชัยชนะที่เด็ดขาด เพราะอย่างไรเสียตราบใดที่ซูเฉินหมดแรงลง มันก็จะเป็นผู้ชนะคนสุดท้ายอยู่ดี
เมื่อปริมาณพลังต้นกำเนิดที่มีสำรองอยู่ของทั้งคู่มาถึงจุดต่ำสุด ความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายก็ลดลงอย่างฮวบฮาบตามไปด้วย ใบหน้าของซูเฉินซีดเซียวและลมหายใจติดขัด ทำให้วาฬยักษ์เชื่อว่าชัยชนะได้ตกมาอยู่ในกำมือของมันแล้ว
ในขณะที่มันเตรียมจะเปล่งเสียงคำรามแห่งชัยชนะขึ้นนั้น
ซูเฉินก็ยิ้มเยาะและกล่าวขึ้นเสียก่อน “นี่เจ้าคิดว่าเจ้าจะชนะแล้วงั้นหรือ ?”
วาฬยักษ์ชะงักไปชั่วครู่
มันเฝ้ามองซูเฉินดึงขวดยาออกมาก่อนจะเงยหน้าขึ้นและดื่มลงไป
ความแข็งแกร่งของชายหนุ่มกลับคืนมาในทันใด
ยา !?
เจ้ากล้าที่จะดื่มยาหรือ ?
เจ้ากำลังโกง !
วาฬยักษ์โกรธมาก
แต่ต่อให้มันโกรธ ซูเฉินยังคง ‘โกง’ ต่อไป
เขาไม่เพียงดื่มขวดยาเดียวเฉย ๆ เท่านั้น แต่เขายังดื่มยาไปหลายชนิดอีกด้วย !
มีทั้งยาที่ช่วยให้เขาฟื้นตัว ยาเสริมความแข็งแกร่ง ยาเพิ่มพลังป้องกัน ซูเฉินดื่มพวกมันทั้งหมด เขาดื่มกินยาทุกอย่างที่ดื่มกินได้
นอกจากดื่มยาแล้ว เขายังดูดซับหินพลังต้นกำเนิดอีกด้วย เดิมทีหินพลังต้นกำเนิดก็ถูกใช้เพื่อฟื้นฟูพลังอยู่แล้ว ดังนั้นการดูดซับหินเหล่านี้นับพันก้อนในการต่อสู้ครั้งเดียวจึงถือเป็นเรื่องปกติ มิเช่นนั้นมันก็คงจะไม่มีค่าพอที่จะใช้แทนสกุลเงินได้
ชั่วพริบตา พลังต้นกำเนิดเกือบทั้งหมดที่ซูเฉินใช้ไประหว่างการต่อสู้ก็กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว
วาฬยักษ์เริ่มตื่นตระหนก
มันเป็นอสูรทะเล และมันไม่ได้มีเล่ห์เหลี่ยมมากมายซ่อนไว้ในแขนของมันเช่นอีกฝ่าย เมื่อคู่ต่อสู้ของมันเริ่มโกงแล้วมันไม่สามารถทำเช่นเดียวกันได้ ทางเลือกเดียวที่มันเหลืออยู่จึงมีแต่ต้องล่าถอย
วาฬยักษ์คำรามพ่นเกลียวทำลายล้างขนาดใหญ่ออกมา ก่อนจะหันหลังหนีไป
“พยายามจะหนีหรือ ?” ซูเฉินส่งเสียงเยาะ “เจ้าคิดว่ามันจะง่ายขนาดนั้นเลย ?”
เขาเปิดใช้งานสุเมรุสูญ
ถ้าจะใช้สุเมรุสูญเพื่อจำกัดการเคลื่อนไหวของราชันจักรพรรดิอสูรในทันที ว่ากันตามตรง มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากยิ่งสำหรับซูเฉินเช่นกัน
แม้ว่าชายหนุ่มจะเข้าใจถึงกฎแห่งพลังสูญอย่างลึกซึ้ง แต่การผูกมัดราชันจักรพรรดิก็ยังนับเป็นงานยาก
แต่เพียงเพราะตามปกติแล้วเขาไม่สามารถทำได้ นั่นไม่ได้หมายความว่าในตอนนี้เขาจะไม่สามารถทำได้ ราชันจักรพรรดิอสูรอยู่ในสภาวะที่อ่อนแอที่สุดแล้ว ในทางกลับกันซูเฉินได้เริ่มฟื้นคืนสู่สภาวะสูงสุดของเขา ถึงแม้ว่าซูเฉินจะต้องใช้พลังเป็นสิบเท่าเพื่อจับตัวราชันจักรพรรดิตนนี้เอาไว้ มันก็คุ้มค่า
แล้วเหตุใดซูเฉินถึงรอจนถึงวินาทีสุดท้ายของการต่อสู้แล้วค่อยดื่มยาทั้งหมดกัน ? นั่นเป็นเพราะเขาเกรงว่าราชันจักรพรรดิจะพยายามหลบหนีไปเสียก่อนอย่างไร
ที่เขาเลือกเผยไพ่ลับทั้งหมดออกมาในทีเดียว ก็เพราะซูเฉินมั่นใจว่าจะสามารถจับตัวคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างแน่แล้ว
ทันทีที่สุเมรุสูญถูกเปิดใช้งาน วาฬยักษ์รู้สึกราวกับว่าพื้นที่รอบ ๆ ตัวของมันถูกบีบอัดจนยากที่จะเคลื่อนไหว
แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งมีชีวิตพลังงานสูญที่แข็งแกร่ง แต่วาฬยักษ์ก็ไม่อาจหลบหนีจากอิทธิพลของสุเมรุสูญที่ได้รับพลังต้นกำเนิดอย่างต่อเนื่องจากซูเฉินได้เลย
เจ้าวาฬดิ้นรนและพุ่งผ่าไปด้านหน้าอย่างสิ้นหวัง แต่ไม่ว่ามันจะหนีไปไกลแค่ไหน สุเมรุสูญก็ยังคงติดตามมันอย่างใกล้ชิดและยังคงจำกัดการเคลื่อนไหวของมันต่อไป ซูเฉินตามหลังมันไปอย่างระมัดระวัง และคอยปล่อยการโจมตีด้วยวิชาอาร์คาน่าเพื่อป้องกันไม่ให้มันหลบหนี
วาฬยักษ์บินตรงไปหาทางออก
อยากออกไปหรือ ?
ได้ เช่นนั้นข้าก็จะปล่อยให้เจ้าไป
แต่หลังจากที่มันบินผ่านทางออกไปแล้ว มันก็ตระหนักว่าซูเฉินยังคงไล่ตามมันอย่างไม่ลดละ
ท้ายที่สุด ซูเฉินก็เป็นฝ่ายชนะการต่อสู้ ตราบเท่าที่เขาฆ่าวาฬยักษ์ลงได้ เขาก็จะสามารถเข้าและออกจากพื้นที่พลังงานสูญนี้ได้ตามต้องการอยู่ดี แล้วเขาจะต้องกังวลเกี่ยวกับการหาทางออกไปทำไมกัน ?
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยตนไปง่าย ๆ วาฬยักษ์ก็สิ้นหวังอย่างสมบูรณ์
มันส่งเสียงหวีดร้องคร่ำครวญ มันหยุดวิ่งหนีก่อนจะหันกลับมาแล้วพุ่งตรงไปทางซูเฉิน
มันได้ตัดสินใจลองเสี่ยงชีวิต
“ต้องให้ได้แบบนี้ !” ซูเฉินสร้างหงส์เพลิงขึ้นมาอีกตัวหนึ่ง และส่งมันออกไปปะทะกับวาฬยักษ์
การโจมตีครั้งนี้เป็นราวกับฟางเส้นสุดท้าย วาฬยักษ์ทรุดตัวลงพร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญ มันไม่สามารถทนต่ออาการบาดเจ็บของมันได้อีกต่อไป
ก่อนที่พลังสูญจะกัดเซาะทำลายซากศพไป ซูเฉินก็เก็บวาฬยักษ์ไว้ในแหวนกักเก็บเรียบร้อยแล้ว เขารวบรวมโลหะดาราสูญมาได้มากพอแล้ว แต่เขาก็ยังขาดหนังของอสูรมิติสูญอยู่ ซูเฉินจำเป็นต้องใช้มันเพื่อสร้างเกราะพลังสูญ
หลังจากสังหารราชันจักรพรรดิมิติสูญแล้ว ซูเฉินก็ไม่รีบจากไปแต่อย่างใด เขาเรียกใช้งานภูติสั่นแสง เพื่อกลับไปยังเกาะโดยตรงแทน
หลังจากพักผ่อนอยู่พักหนึ่ง ซูเฉินก็ออกจากเกาะอีกครั้งเมื่อร่างกายของเขาผ่อนคลายลงและฟื้นคืนสภาพเรียบร้อยแล้ว
เขาบินออกไปนอกเกาะ แล้วค่อย ๆ ผลักเกาะตรงไปยังทางออก
เมื่อมาถึงทางออก ซูเฉินรวบรวมรูปสลักราชันจักรพรรดิที่เหลือ และทำให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้พลาดอะไรก่อนจะถามขึ้นว่า “พร้อมจะไปแล้วหรือยัง ?”
ถีเข่อซือพยักหน้าเห็นด้วย ขณะที่ม้าน้ำพลังสูญพยักหน้าด้วยความกังวลใจ
หลังจากเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับวาฬยักษ์แล้ว ม้าน้ำพลังสูญก็เข้าใจทันทีว่ามันไม่สามารถต่อสู้กับซูเฉินแบบตัวต่อตัวได้ ดังนั้นจึงไม่อาจหาญท้าทายซูเฉินอีกต่อไป
“งั้นก็ไปกันเถอะ”
ซูเฉินกล่าวพร้อมกับกดมือลงบนต้นไม้ยักษ์
“เก็บ !”
กระแสน้ำเชี่ยวกรากที่หมุนเวียนอย่างต่อเนื่องหยุดชะงักลง ก่อนจะไหลกลับเข้าไปในต้นไม้ จากนั้นเกราะป้องกันรอบเกาะก็หายไปทำให้ตัวเกาะที่ไร้ซึ่งการป้องกันเริ่มพังทลาย
ซูเฉินสะบัดมือเรียกท้องสมุทรโศกาให้ลอยมาอยู่ในมือของเขา ในเวลาเดียวกัน เขาก็คว้าตัวม้าน้ำพลังสูญและเคลื่อนย้ายไปยังทางออก
ทวีปต้นกำเนิด ข้ากลับมาแล้ว !
————————————
บริเวณรอบหุบเหวที่ยุบตัวลง
ทางเข้าสู่หุบเหวในอดีตได้หายไปแล้ว มีเพียงหลุมดำเล็ก ๆ เท่านั้นที่ยังคงอยู่ที่เดิม ลอยอยู่บนผิวน้ำอย่างโดดเดี่ยว
สายตาของกู่ชิงลั่วที่กำลังจับจ้องไปที่หลุมทางเข้านั้นเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ด้านหลังของนางคือเรือรบทั้ง 8 ลำของนิกายไร้ขอบเขตและตำหนักลอยฟ้า พวกเขาดูเหมือนจะกำลังยุ่งอยู่กับบางสิ่งบางอย่าง แสงลึกลับพุ่งออกมาจากเรือทั้ง 8 ลำ และส่องทะลุเข้าไปในหลุมดำอย่างต่อเนื่อง เส้นแสงเหล่านั้นได้รวมกันก่อตัวเป็นจารึกลึกลับขนาดยักษ์
“ภรรยาเจ้านิกาย ยามนี้ค่ายกลต้นกำเนิดใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว โปรดถอยออกมาก่อนเถิด” เจียงหานเฟิงกล่าวขณะที่เขาบินเข้ามา
อดีตอัจฉริยะด้านค่ายกลต้นกำเนิดผู้นี้ ตอนนี้ได้กลายเป็นค่ายกลต้นกำเนิดเลื่องชื่อของเผ่ามนุษย์ไปแล้ว แม้แต่ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปและสะท้อนถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจน
กู่ชิงลั่วถามเบา ๆ “หานเฟิง เจ้าคิดว่า… ครั้งนี้จะได้ผลไหม?”
เจียงหานเฟิงเงียบไป
เขารู้ว่านางไม่ได้ตั้งคำถามถึงทักษะในการสร้างค่ายกลต้นกำเนิดของเขา แต่เพียงแค่บางอย่างนั้นมันต้องใช้มากกว่าค่ายกลต้นกำเนิดที่สมบูรณ์แบบจึงจะสามารถแก้ไขได้
ทางเข้าเพียงแห่งเดียวนี้ นำทางไปสู่อาณาจักรที่เต็มไปด้วยพลังแห่งการทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัว ควบคู่ไปกับการปกป้องของราชันจักรพรรดิจากอีกฟากของประตู ทำให้ที่แห่งนี้แทบจะกลายเป็นเส้นทางที่ถูกปิดตาย
นิกายไร้ขอบเขตพยายามอย่างหนักมานานแล้ว แต่การพยายามทุกครั้งของพวกเขาตั้งแต่ต้นจนถึงขณะนี้ล้วนจบลงด้วยความล้มเหลว
เวลานี้เจียงหานเฟิงทำได้เพียงรับประกันว่าค่ายกลต้นกำเนิดของเขาสมบูรณ์ดีแล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถรับประกันผลลัพธ์ได้อยู่ดี
กู่ชิงลั่วเข้าใจถึงความหมายของความเงียบจากอีกฝ่ายดี นางกล่าวต่ออย่างแผ่วเบาว่า “ไม่เป็นไร ข้ารู้ดีว่าพวกเจ้าพยายามกันอย่างดีที่สุดแล้ว”
“ภรรยาเจ้านิกาย” หลินเซียวเดินเข้ามาและกล่าวขึ้นเบา ๆ “ค่ายกลต้นกำเนิดพร้อมที่จะเปิดใช้งานแล้ว”
กู่ชิงลั่วพยักหน้าก่อนหันหลังกลับและถอยออกมา
นี่คือค่ายกลต้นกำเนิดนี้เป็นค่ายกลต้องห้าม มันจะสร้างผนึกขนาดใหญ่และส่งไปยังฝั่งตรงข้ามเพื่อผนึกราชันจักรพรรดิพลังสูญที่อยู่อีกด้านหนึ่ง
ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
แม้ว่าแดนพลังสูญจะอันตรายมากแค่ไหนก็ตาม ทว่านี่ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ
อย่างไรก็ตาม ราชันจักรพรรดิที่ว่านั่นได้ทำลายความพยายามที่ผ่านมาทุกครั้งของพวกเขาไปสิ้น
หากพวกเขาต้องการเข้าไปในแดนพลังสูญ ก่อนอื่นพวกเขาก็ต้องจัดการกับราชันจักรพรรดิตนนี้เสียก่อน
แต่เนื่องจากอีกฝ่ายอยู่ในแดนพลังสูญ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาจำนวนเข้าสู้ สมาชิกส่วนใหญ่ในยามนี้ไม่สามารถแม้แต่จะผ่านเข้าไปในประตูได้ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจัดการกับราชันจักรพรรดิจากทางฝั่งของพวกเขา
กล่าวได้ว่าความขัดแย้งระหว่างนิกายไร้ขอบเขตกับราชันจักรพรรดิตนนี้ เกิดขึ้นมาได้ระยะหนึ่งแล้ว
ราชันจักรพรรดิไม่กล้าข้ามออกมา เพราะมันรู้ว่าอาจจะต้องตายด้วยพลังของนิกายไร้ขอบเขตอย่างแน่นอน และในทางตรงกันข้าม นิกายไร้ขอบเขตเองก็ไม่อาจอยู่รอดได้หากพวกเขาข้ามฝั่งเข้าไปอีกด้าน
การปะทะกันของทั้งสอง จึงตกอยู่ภาวะชะงักงัน
นิกายไร้ขอบเขตได้คิดหาวิธีต่าง ๆ มากมายเพื่อทำลายทางตันนี้ แต่ก็ไม่มีวิธีของใครประสบความสำเร็จ
พวกเขาไม่สามารถทำได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เลย ไม่เพียงแค่ทั้งคู่จะอยู่ในดินแดนที่แยกจากกัน แต่ปลายอุโมงค์ฝั่งตรงข้ามยังเป็นพื้นที่ว่างเปล่า นั่นทำให้กลวิธีดั้งเดิมหลาย ๆ อย่างของพวกเขาไร้ประโยชน์ไปโดยสิ้นเชิง
วันนี้เป็นอีกความพยายามอย่างสุดท้ายที่พวกเขาคิดขึ้นมา นั่นคือการพยายามส่งผนึกขนาดใหญ่ไปฝั่งตรงข้าม เพื่อดูว่าพวกเขาสามารถผนึกราชันจักรพรรดิไว้ชั่วคราวได้หรือไม่ จากนั้นพวกเขาก็จะส่งผู้เชี่ยวชาญบางคนเข้าไปเพื่อสังหารอีกฝ่ายลง
ถึงพวกทหารจะเตรียมสิ่งของหลายอย่าง เพื่อสังหารราชันจักรพรรดิให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เอาไว้แล้ว แต่ความเสี่ยงที่ว่าหลายคนอาจจะไม่ได้กลับมาแม้ว่าภารกิจจะสำเร็จก็ยังคงสูงมากอยู่ดี
นิกายไร้ขอบเขตยอมเสี่ยงทุกอย่างเพื่อซูเฉิน !
ทั้งตัวและใจของกู่ชิงลั่วต้องสั่นทุกครา เมื่อนางคิดถึงจำนวนศิษย์ของนิกายไร้ขอบเขตที่จะต้องสูญเสียไป โดยไม่คำนึงถึงความสำเร็จหรือความล้มเหลวของแผนการ
ตอนนี้ค่ายกลต้นกำเนิดได้ก่อตัวขึ้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว ที่เหลือก็แค่รอ
รอให้ราชันจักรพรรดิว่ายผ่านเข้ามาในระยะของปากทางเข้า
ท้ายที่สุด ราชันจักรพรรดิก็ยังคอยตรวจตราทางเข้าอยู่เสมอ และไม่เคยจะอยู่ห่างไปมากนัก
ส่วนทางนิกายไร้ขอบเขตเองก็ได้คิดค้นค่ายกลต้นกำเนิด ที่สามารถตรวจจับและระบุตำแหน่งของราชันจักรพรรดิได้ตลอดเวลาเอาไว้
หลังจากเฝ้ารออยู่ครู่หนึ่ง แผ่นตรวจจับที่อยู่ในมือของศิษย์นิกายไร้ขอบเขตก็ปรากฏจุดแสงสีแดงขึ้น
เขาตะโกนเสียงดัง “มันอยู่นี่ มาตรงทางเข้าแล้ว”
“เปิดใช้งานค่ายกลต้นกำเนิด !” เจียงหานเฟิงตะโกนสั่งการ
เมื่อค่ายกลต้นกำเนิดถูกเปิดใช้งาน โครงร่างของอักขระปิดผนึกขนาดยักษ์ก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
ในเวลาเดียวกัน ค่ายกลต้นกำเนิดอื่น ๆ ก็ถูกเปิดใช้งานขึ้นไปพร้อมกัน เสียงร้องอันแปลกประหลาดลอยก้องอยู่ในอากาศ
เสียงร้องอันแผ่วเบานี้ ถูกจำลองมาจากเสียงเมื่อพบเรื่องสนุกของราชันจักรพรรดิวาฬ นิกายไร้ขอบเขตตั้งใจจะใช้เสียงนี้เพื่อดึงดูดราชันจักรพรรดิจากอีกฟากให้มาอยู่ใกล้ทางเข้า เพื่อให้การผนึกมีโอกาสสำเร็จมากขึ้น
“มันไม่ไป !” ศิษย์ที่รับผิดชอบการจับตาดูตำแหน่งของอีกฝ่ายรายงานอย่างตื่นเต้น “แผนดึงดูดได้ผล”
ทุกคนพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ค่ายกลต้นกำเนิดสำหรับปิดผนึกยังคงรวบรวมพลังงานต่อไป ตัวผนึกเองก็ค่อย ๆ ควบแน่นและกลายเป็นรูปร่างขึ้น
“มันกำลังมาทางเรา !” ศิษย์ผู้รับผิดชอบระบุตำแหน่งตะโกนขึ้นอย่างกะทันหัน
อะไรนะ ?
ทุกคนตกตะลึงกับรายงานล่าสุด
“มันกำลังมุ่งหน้าไปที่ทางเข้า !” ศิษย์ผู้นั้นโพล่งออกมาอย่างกังวล ขณะที่แผ่นตรวจจับในมือของเขาเริ่มส่งเสียงเตือน
“มันกำลังตรงมาทางเรา เร็วมาก !” เสียงของศิษย์ผู้นั้นเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ราชันจักรพรรดิกำลังจะออกมา ?
ทุกคนตกตะลึงครู่หนึ่ง ก่อนที่ความประหลาดใจของพวกเขาจะแปรเปลี่ยนความปีติยินดี
เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะมีความสุข เพราะการที่ราชันจักรพรรดิเลือกก้าวออกมาจากประตูนั่นก็ไม่ต่างจากการส่งตัวเองไปสู่ความตาย ส่วนที่พวกเขาประหลาดใจนั้น ก็เพียงเพราะพวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น เพราะภายในการโจมตีอย่างกะทันหันเช่นนี้ มันก็ยังมีโอกาสที่พวกเขาจะสูญเสียอยู่ดี
“ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารลงไป ให้ถอยห่างออกไปเสีย คนที่เหลือมากับข้า ! หานเฟิง ค่ายกลผนึกของเจ้าพร้อมรึยัง ?”
ครั้งนี้หลี่ฉงซานเป็นผู้ออกคำสั่ง
ในช่วงเวลาวิกฤติแบบนี้ ผู้ที่มีประสบการณ์มากที่สุดเท่านั้นที่เหมาะจะออกคำสั่ง
“เกือบพร้อมแล้ว !” เจียงหานเฟิงตะโกนกลับ “จะให้ลงมือเมื่อไร ?”
“เดี๋ยวนี้ !” ศิษย์ตรวจจับตะโกนเสียงดัง
ตูม !
อักขระผนึกที่ควบแน่นจนเสร็จสิ้นถูกยิงออกตรงไปที่ทางเข้า ทันทีที่ได้รับสัญญาณ
จังหวะเดียวกันนั้น ร่างของคนผู้หนึ่งก็โผล่ออกมาจากหลุมทางเข้า
“ท่านเจ้านิกาย !?” ศิษย์ทุกคนร้องขึ้นด้วยความตกใจ
กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่ออกมาจากทางเข้านั่นไม่ใช่ราชันจักรพรรดิ …แต่เป็นซูเฉิน !
ทุกคนประหลาดใจและดีใจไปพร้อม ๆ กัน ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และพากันตะโกนร้องออกมาด้วยความกลัว “ไม่ !”
แต่มันก็สายเกินไป
ตูม !
ค่ายกลผนึกบนท้องฟ้าได้ตกลงมาแล้ว
เพื่อจัดการกับราชันจักรพรรดิ พวกเขาได้จัดตั้งค่ายกลต้นกำเนิดขึ้นอย่างทรงพลังเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าจุดประสงค์ของมันจะเป็นเพียงการปิดผนึก แต่หากคู่ต่อสู้ไม่แข็งแกร่งเพียงพอ แค่แรงกดดันมหาศาลจากผนึกก็มากเกินพอที่จะบดขยี้เป้าหมายให้ตายได้ในทันทีแล้ว
นั่นมันอะไร ?
ซูเฉินผู้เพิ่งโผล่ออกมา เห็นจารึกสีทองขนาดยักษ์เปล่งออร่าที่ทรงพลังกำลังตรงมาทางเขา สิ่งที่น่าตกใจกว่าคือ อักขระที่ว่านี้ดูเหมือนจะมีคุณสมบัติการปิดผนึกพื้นที่อยู่ด้วย มันจึงทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนย้ายออกไปได้
ในตอนนี้ ซูเฉินไม่มีเวลาให้หลบหนีแล้ว
สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือ
ต่อย !
ระเบิดท้องฟ้าออกด้วยหมัดเดียว !