ภาคที่ 6 บทที่ 72 กลับมาเยือน

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 72 กลับมาเยือน

ตูม !

การปะทะกันระหว่างซูเฉินกับค่ายกลปิดผนึก ก่อให้เกิดคลื่นระเบิดของพลังงานขนาดใหญ่กวาดไปทั่วท้องฟ้า

หลายคนหลับตาลงและคร่ำครวญอยู่ในใจ จบสิ้นแล้ว เราได้ฆ่าท่านเจ้านิกายไปเสียแล้ว

พวกเขาเฝ้ารอคอยการกลับมาของเจ้านิกายและพยายามจะช่วยเหลือเขาทุกทาง แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับได้ตายด้วยน้ำมือของพวกเขา มันช่างน่าขันเหลือเกิน

โชคดีที่ความตื่นตระหนกคงอยู่ได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น

เพราะในวินาทีต่อมาร่างของซูเฉินก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าอีกครั้ง

อักขระผนึกติดอยู่ตัวของเขา ดูราวกับเสื้อคลุมทองคำ มันไม่ได้กักขังหรือจำกัดการเคลื่อนไหวของเขา แต่ซูเฉินก็เลือกที่จะไม่ทำลายมันและปล่อยให้มันคลุมร่างเอาไว้แบบนั้น

สีหน้าประหลาดใจปรากฏขึ้นขณะที่ซูเฉินต่อต้านอิทธิพลของผนึก “นี่คือตราผนึกแบบไหนกัน ? เหตุใดมันถึงได้ทรงพลังนัก ?”

ถึงจะมีผนึกกดทับไว้ แต่ชายหนุ่มก็ยังคงพูดและบินได้

ดวงตาของเจียงหานเฟิงเบิกกว้างอย่างตกตะลึงไปกับการเคลื่อนไหวที่ดูเหมือนไม่ได้กระดุ้งกระเทือนอะไรเลยของซูเฉิน “เป็นไปได้ยังไง ? ค่ายกลผนึกนี้ออกแบบมาเพื่อจำกัดราชันจักรพรรดิโดยเฉพาะ มันฆ่าผู้เชี่ยวชาญที่มีระดับต่ำกว่าด่านมหาราชันได้ทันทีเลยนะ ท่านไม่เป็นอะไรเลยได้อย่างไรกัน ทำไมถึงยังโบยบินแบบนั้นได้อยู่อีกเล่า ?”

“เจ้าไม่มีความสุขที่ข้ารอดมาได้งั้นหรือ ?” ซูเฉินตอบด้วยรอยยิ้ม

“ไม่… มันไม่ใช่… แบบนั้น…” เจียงหานเฟิงตะลึงงันและไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดีอยู่พักหนึ่ง

พวกเขาหมดทั้งเวลาและพลังงานไปมากกับการคิดหาวิธีที่จะช่วยชีวิตซูเฉิน แต่แผนกลับผิดไปจากเดิมจนลงเอยด้วยการโจมตีใส่เจ้านิกายตัวเอง หากข่าวนี้แพร่ออกไป มันคงกลายเป็นเรื่องน่าอับอายของนิกายไร้ขอบเขตอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

ซูเฉินยกมือขึ้นแล้ววางลงบนผนึก “ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะทำลายเจ้าไม่ได้ !”

ปัง !

แสงสีรุ้งแตกกระจายไปทั่วทุกทิศทุกทางหลังเสียงระเบิดดังขึ้น

“เป็นเจ้าจริง ๆ งั้นหรือซูเฉิน ?” กู่ชิงลั่วตื่นเต้นยิ่งนัก “หานเฟิงเร็วเข้า รีบปิดค่ายกลผนึกซะ”

“ไม่จำเป็น ข้าอยากจะทดสอบความแข็งแกร่งของข้า !” ซูเฉินตะโกนและรัวระวิงปล่อยฝ่ามือออกไป

เหล่าศิษย์ของนิกายไร้ขอบเขตเฝ้ามองซูเฉินโจมตีผนึกด้วยพละกำลังทั้งหมดของเขาอย่างไร้ความปราณี

ลำแสงหลากสียังคงสาดประกายไปทั่วอย่างบ้าคลั่ง คลื่นกระแทกอันทรงพลังซึ่งเปี่ยมไปด้วยพลังงานอันน่าสะพรึงกลัวที่กวาดผ่านกองเรือทั้งหมด ให้สัมผัสราวกับว่าตัวตนที่ค่ายกลกำลังผนึกอยู่นั้น คือราชันจักรพรรดิอยู่จริง ๆ ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณ

ไม่ มันไม่ถูกต้อง

หลี่ฉงซานสังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เขารู้สึกพิศวงใจยิ่ง ก่อนที่ความพิศวงใจนั้นจะกลายเป็นความยินดี “หยั่งรู้ฟ้าดิน… ซูเฉินทะลวงถึงด่านหยั่งรู้ฟ้าดินแล้ว !”

ฉือไคฮวง ฉู่อิงหว่านและคนอื่น ๆ ต่างก็พากันตื่นเต้นไม่แพ้กัน

เช่นนี้ก็หมายความว่าวิชาสู่อมตะได้พัฒนาขึ้นไปอีกระดับแล้วใช่หรือไม่ ? ซูเฉินไม่เพียงแต่จะสามารถเอาชีวิตรอดจากแดนพลังสูญมาได้ แต่เขายังแข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย!

จวินโม่เสียอุทานขึ้นด้วยความชื่นชม “เจ้านิกายต้องได้รับการปกป้องจากสวรรค์เป็นแน่แท้ !”

ทุกคนพยักหน้าพร้อมเพรียงกันอย่างเห็นด้วยยิ่ง

ยามนี้การต่อสู้ของซูเฉินกับผนึกกำลังใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

วิชาอาร์คาน่าระดับตำนาน หงส์เพลิงอันทรงพลังได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ซูเฉินไม่ได้ส่งมันขึ้นไปในอากาศ แต่ชายหนุ่มใช้มันพันรอบกำปั้นตัวเองเอาไว้ เปลี่ยนหมัดให้กลายจะงอยปากแหลมคมของหงส์ เมื่อการโจมตีที่ทรงพลังจนน่าตกใจนี้ปะทะเข้ากับอักขระผนึก ผนึกนั้นก็ส่งเสียงปริร้าวออกมาก่อนที่มันจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ

เจียงหานเฟิงกระอักเลือดออกมา ในฐานะผู้ควบคุมหลักของค่ายกลผนึก จิตสำนึกของเขาย่อมต้องเชื่อมโยงกับมัน ดังนั้นเขาจึงได้รับผลกระทบเต็ม ๆ

ถึงกระนั้น ความมั่นใจของเจียงหานเฟิงดูจะได้รับผลกระทบที่รุนแรงยิ่งกว่า “ผนึกของข้าถูกทำลาย ? มันถูกทำลายด้วยแรงหมัดล้วน ๆ จริง ๆ เหรอ ?”

เป้าหมายในการสร้างค่ายกลนี้ก็เพื่อดักจับราชันจักรพรรดิ แต่ตอนนี้เมื่อเขาเห็นซูเฉินหลุดพ้นจากอิทธิพลของมันได้อย่างง่ายดาย มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ความมั่นใจในตนเองนั้นจะสั่นคลอน

โชคดีที่การกระทำต่อไปของซูเฉินฉุดดึงความมั่นใจของเจียงหานเฟิงไม่ให้ตกลงไปได้ทันท่วงที “ช่างเป็นตราผนึกอันทรงพลังนัก ! มันถูกสร้างเพื่อใช้จัดการกับราชันจักรพรรดิโดยเฉพาะงั้นหรือ ? ถ้าราชันจักรพรรดิวาฬยักษ์ตนนั้นติดกับผนึกของเจ้าก่อน ข้าก็คงจะไม่ต้องเปลืองแรงฆ่ามันเช่นนี้”

เจียงหานเฟิงตกตะลึง “ท่านสังหารราชันจักรพรรดิ ? ท่านทำได้อย่างไรกัน ?”

น่าเสียดายที่คำถามของเขาถูกกลบด้วยเสียงร้องเรียกที่ดังก้อง

“ท่านเจ้านิกาย !”

“สามี !”

“ท่านเจ้านิกายไม่เป็นอะไร !”

“ท่านเจ้านิกายกลับมาแล้ว !”

หลังจากความตกใจร่วมกับตกตะลึงผ่านพ้นไป เสียงร้องตะโกนแห่งความปีติยินดีไม่รู้จบก็ดังเซ็งแซ่ไปทั่วท้องฟ้า ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตทุกคนต่างส่งเสียงอวยพรและเฉลิมฉลอง

กู่ชิงลั่วพุ่งออกไปดุจลำแสงและกระโจนเข้าสู่อ้อมกอดของซูเฉิน

วันนี้ได้กลายเป็นวันอันสุขยิ่งสำหรับนิกายไร้ขอบเขต

————————————————

เกาะพิสุทธิ์ชั่วกาล

ครั้งหนึ่งเกาะแห่งนี้เคยเป็นฐานทัพแนวหน้าของกองกำลังผสมเพื่อต่อต้านหุบเหว ทหารหลายแสนนายเคยอาศัยอยู่ที่นี่ ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการจัดตั้งเส้นทางสายการค้าพิเศษขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกในการไหลเวียนของทรัพยากรระหว่างเกาะนี้กับแผ่นดินใหญ่

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่หุบเหวได้พังทลายลง ชาวสมุทรกับสมาชิกของเพลิงทมิฬส่วนใหญ่ก็ได้ถอยกลับไปแล้ว ตอนนี้จึงมีเพียงกองทัพเรือของกลุ่มสยบทะเลที่นำโดยเจียงซีสุ่ย พร้อมกับศิษย์ของนิกายไร้ขอบเขตเท่านั้นที่ยังคงอยู่บนเกาะ

“หลังจากเกิดเรื่องทั้งหมดนั้นขึ้น พวกชาวสมุทรกับเพลิงทมิฬก็ถอยกลับไปหรือ ?” ซูเฉินถามกู่ชิงลั่ว ขณะที่พวกเขากำลังนอนอิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของกันและกัน

ในเมื่อเขากลับมาแล้ว มันก็ถึงเวลาที่จะต้องทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในขณะที่เขาไม่อยู่

กู่ชิงลั่วที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของเขากล่าวตอบเบา ๆ “ในระหว่างการล่มสลายของหุบเหว แม้ว่าราชันจักรพรรดิส่วนใหญ่จะไม่รอด แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ติดตามเราออกไป เดิมทีชาวสมุทรวางแผนที่จะอยู่ที่นี่และช่วยให้เราหาวิธีที่จะช่วยเหลือเจ้า ทว่าราชันจักรพรรดิที่หลบหนีได้เริ่มรวมตัวกันอย่างช้า ๆ ใกล้กับอาณาเขตของชาวสมุทร”

ซูเฉินเข้าใจเรื่องราวในทันที “อาจเป็นเพราะคำสั่งของท้องสมุทรโศกาฝังแน่นในจิตสำนึกของพวกมันไปแล้ว ดังนั้นถึงแม้ว่าพวกมันจะเป็นอิสระจากพันธนาการของหุบเหว แต่พวกมันก็ยังคงเกลียดชังเผ่าท้องสมุทรไปตามสัญชาตญาณ”

กู่ชิงลั่วตอบ “นั่นเป็นเหตุผลที่ชาวสมุทรไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องถอยกลับไปและปกป้องตัวเอง”

ซูเฉินพยักหน้า หากเป็นกรณีนี้ มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะตำหนิชาวสมุทร ว่าไม่ยอมให้ความช่วยเหลือพวกเขา ท้ายที่สุดแล้วอีกฝ่ายก็ต้องดูแลคนของตัวเองก่อน

“แล้วดวงตาไห่เสินล่ะ ?” ซูเฉินถาม

“เมื่อราชันจักรพรรดิเข้าโจมตี องค์หญิงเว่ยซีหมิ่นได้ร้องขอเก็บมันเอาไว้ชั่วคราวเพื่อปกป้องพวกเขาให้ปลอดภัย เมื่อพิจารณาถึงสภาพการณ์ของพวกเขาแล้วข้าจึงตกลงเห็นด้วยไป ก่อนนี้ไม่นานนัก ในที่สุดชาวสมุทรก็สามารถเอาชนะราชันจักรพรรดิทั้งหมดได้ หลังจากความกดดันคลายตัวลงแล้ว พวกเขาก็ส่งดวงตาไห่เสินกลับมาให้เรา”

“ดูเหมือนว่าพวกเขายังคงรักษาสัตย์ได้ดี” ซูเฉินพยักหน้า

ท้ายที่สุดแล้ว มันก็ยากที่จะระบุว่าซูเฉินยังรอดชีวิตอยู่หรือไม่ เมื่อภัยคุกคามจากราชันจักรพรรดิยังไม่หมดไป และดวงตาไห่เสินเองก็เป็นเครื่องมือทางการเมืองที่สำคัญยิ่ง ฉะนั้นหากชาวสมุทรเลือกที่จะทรยศต่อคำสัญญาของพวกเขามันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

อย่างไรก็ตามพวกเขากลับไม่ได้เลือกที่จะทำเช่นนั้น พวกเขาได้ปฏิบัติตามคำสัญญาที่ให้ไว้และส่งดวงตาไห่เสินคืนให้กู่ชิงลั่วด้วยความขอบคุณ จากมุมนี้ชาวสมุทรจึงนับว่าค่อนข้างซื่อสัตย์

ในทางตรงกันข้าม พันธมิตรอื่น ๆ ยังดีได้ไม่เท่าพวกเขา

หลังจากที่ซูเฉินหายตัวไป จงเจิ้นจวินก็ถอยกลับและออกจากเกาะพันมายาไปในทันที โดยไม่สนใจความสัมพันธ์ที่พวกเขาสร้างขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแม้แต่น้อย

โจรยังไงก็ย่อมเป็นโจร วิสัยทัศน์ที่ตื้นเขินและใจแคบของพวกโจรก็ไม่ได้ผิดคาดเท่าไรนัก

แม้ว่าเขาจะไม่พอใจกับพฤติกรรมของจงเจิ้นจวิน แต่ซูเฉินก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

“คงจะดีถ้าคนพวกนั้นเพียงแค่ไร้ซึ่งความรู้สึกของพวกพ้อง เพราะอย่างไรเสีย เราก็ไม่ได้คาดหวังในตัวพวกนั้นไว้สูงเท่าไรตั้งแต่แรกแล้ว” กู่ชิงลั่วกล่าว “แต่มันน่าเกลียดเกินไป ที่คนพวกนั้นกลับเลือกที่จะพยายามจะบ่อนทำลายเราจากข้างหลัง”

“โอ้ เรื่องเป็นอย่างไรกัน ?” สายตาของซูเฉินเริ่มเย็นชาขึ้นเล็กน้อย

กู่ชิงลั่วฮึดฮัด “หลังจากที่เจ้าติดอยู่ในแดนพลังสูญ ดูเหมือนว่าจงเจิ้นจวินจะพาสมาชิกของเพลิงทมิฬทั้งหมดไปด้วยและจากไป อย่างไรก็ตาม เจ้านั่นได้พยายามล่อลวงศิษย์บางคนของนิกายไร้ขอบเขตอย่างลับ ๆ หนำซ้ำยังจงใจเผยแพร่ข่าวลือว่าเจ้าได้ตายไปแล้ว นั่นยังไม่รวมถึงการไปแอบสร้างข่าว ว่าระดับสูงของนิกายไร้ขอบเขตเกิดความขัดแย้งและตกอยู่ในความระส่ำระสาย กล่าวหาว่าหลี่ฉงซานกับข้าต้องการยึดอำนาจ จากนั้นเจ้านั่นก็กล่าวอ้างว่า เพลิงทมิฬยินดีรับศิษย์ของนิกายไร้ขอบเขตที่ต้องการจากมา เข้าร่วมเป็นสมาชิกอย่างไม่เห็นแก่ตัว”

“ฮึ่ม ตาเฒ่านั่นช่างเก่งกาจเรื่องข่าวลือเสียจริง” ซูเฉินหัวเราะอย่างมืดมน

เห็นได้ชัดว่าจงเจิ้นจวินต้องการที่จะขัดขวางความก้าวหน้าของนิกายไร้ขอบเขตเอาไว้

อย่างไรก็ตาม กลุ่มของผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารกับด่านผลาญจิตวิญญาณนั้นน่ากลัวเกินกว่าที่เขาจะทำทุกอย่างแบบเปิดเผย

ดังนั้นเขาจึงไม่ต่อต้านนิกายไร้ขอบเขตอย่างตรงไปตรงมาต่อหน้าแต่กลับแอบซ่อนอยู่ลับหลังแทน

อันที่จริง ยุทธวิธีแบบนี้ไม่ควรมองข้ามเลย เพราะมันดูจะมีประสิทธิภาพจริง ๆ

ศิษย์ของนิกายไร้ขอบเขตบางคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ชัดเจนได้ถูกคำพูดของพวกนั้นล่อหลอก

แม้ว่ากู่ชิงลั่วกับหลี่ฉงซานจะค้นพบอุบายนี้เร็วและจัดการมันลงได้ แต่ความจริงที่ว่าซูเฉินยังคงหายตัวไป ก็ทำให้ศิษย์ของนิกายไร้ขอบเขตไม่สบายใจอยู่ดี เมื่อรวมกับความพยายามที่จะบ่อนทำลายนิกายไร้ขอบเขตของจงเจิ้นจวิน มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้นอ่อนบางต้นจะถูกอีกฝ่ายถอนรากถอนโคนไปอย่างสมบูรณ์

สรุปก็คือซูเฉินติดอยู่ในแดนพลังสูญมานานกว่าหนึ่งปี ส่วนจงเจิ้นจวินเองก็ลงมือลับหลังอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งปี

ยามนี้คนเกือบพันคนจากนิกายไร้ขอบเขตได้ถูกจงเจิ้นจวินหลอกล่อออกไปแล้ว

หนึ่ง-พัน-คน !

แม้ว่านี่จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของกองกำลังทั้งหมด แต่คนหนึ่งพันคนนั้นก็ไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ

ตามการคำนวณของจงเจิ้นจวิน หากเรื่องนี้ยังคงดำเนินต่อไปเช่นนี้ ไม่นานนักนิกายไร้ขอบเขตก็จะกลายเป็นศูนย์บ่มเพาะของเพลิงทมิฬ และในอนาคตเมื่อเพลิงทมิฬแข็งแกร่งกว่านิกายไร้ขอบเขตอย่างเป็นทางการ นั่นก็จะเป็นช่วงเวลาที่เพลิงทมิฬจะกลืนกินนิกายไร้ขอบเขตอย่างสมบูรณ์ !

แม้ว่าซูเฉินจะไม่ได้เจอกับจงเจิ้นจวินตรง ๆ แต่เขาก็สามารถเดาได้อย่างง่ายดายว่าชายผู้นั้นกำลังคิดที่จะทำอะไรอยู่

“แต่บัดนี้เจ้ากลับมาแล้ว จิตใจของเหล่าศิษย์ย่อมมั่นคงขึ้นแล้ว ตาเฒ่าจงเจิ้นจวินผู้นั้นคงไม่อาจหาญทำใจกล้าปล้นคนของเราอีกแล้วล่ะ” กู่ชิงลั่วกล่าวอย่างมีความสุข

ซูเฉินบีบจมูกของนางเล่นเบา ๆ “นั่นคือความอยากอาหารทั้งหมดที่เจ้ามีงั้นหรือ ?”

กู่ชิงลั่วชะงัก “แล้วเจ้าคิดจะทำอะไรอย่างนั้นหรือ ?”

ซูเฉินหัวเราะคิก “แน่นอน เรากำลังจะไปที่เกาะพันมายา และสอนตาเฒ่าคนนั้นว่าจะเป็นมนุษย์ที่ดีได้อย่างไร”

ซูเฉินไม่ได้โทษจงเจิ้นจวินที่ไม่คิดรั้งอยู่ช่วยเขา ทว่าในเมื่อชายชราเลือกที่จะพยายามบ่อนทำลายคนของเขา จงเจิ้นจวินจะมาตำหนิที่ชายหนุ่มคิดตอบโต้ก็คงไม่ได้หรอก

หวู่ !!!

หลังเสียงแตรหอยสังข์ลากยาวก้องกังวานไปทั่วน่านน้ำ เกาะพิสุทธิ์ชั่วกาลก็อึกทึกขึ้นด้วยความโกลาหลในพริบตา

การต่อสู้กำลังใกล้เข้ามา และเมื่อซูเฉินกลับมาแล้ว สถานการณ์ครั้งนี้ย่อมต่างไปจากครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง

นั่นคือความมั่นใจในตัวผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง

หลังจากสังหารราชันจักรพรรดิตนนั้นแล้ว ซูเฉินก็ได้กลายเป็นมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างเป็นทางการ

ตั้งแต่วันนี้ไปไม่มีใครที่วิเศษวิโสพอจะมาเย่อหยิ่งต่อหน้าเขา และเขาก็ไม่จำเป็นต้องเก็บตัวเพื่อไม่ให้เป็นจุดเด่นเกินไปอีกต่อไป

ณ เกาะพันมายา

“เจ้าว่าอะไรนะ ?” จงเจิ้นจวินที่นั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ของเพลิงทมิฬผุดลุกยืนขึ้นทันที

ลูกน้องที่มารายงานข่าวคุกเข่าลงอย่างตื่นตระหนก “รายงานท่านหัวหน้า ซูเฉินกลับมาแล้ว !”

เป็นเรื่องธรรมดาที่จงเจิ้นจวินจะแฝงสายลับบางส่วนเอาไว้ในหมู่ศิษย์นิกายไร้ขอบเขต เพื่อที่จะยุยงและดึงตัวคนของอีกฝ่ายมาได้ดีขึ้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงเข้าใจสถานการณ์แจ่มแจ้ง และรู้ความหมายของข่าวนี้เป็นอย่างดี

เมื่อได้รับข้อมูลชิ้นนี้มา การแสดงออกของจงเจิ้นจวินก็เปลี่ยนไปราวพลิกฝ่ามือ “มันยังไม่ตาย… หนำซ้ำยังรอดกลับมาแบบมือขาอยู่ครบทุกส่วนด้วย”

ลูกน้องที่มารายงานข่าวทำใจแข็งและยังคงรายงานต่อไป “ไม่เพียงแค่นั้นขอรับ ไม่นานหลังจากที่เจ้านั่นกลับมาที่เกาะพิสุทธิ์ชั่วกาล มันก็รวบรวมกองกำลัง แล้วกำลังมุ่งหน้าตรงมาที่… เกาะพันมายาขอรับ”

ฟืด !

จงเจิ้นจวินสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไปเต็มปอด

ดูก็รู้ว่าซูเฉินไม่ได้มาเพื่อแจ้งข่าวดีแต่อย่างใด !

ข่าเหมยลา ยายแก่จอมถลกหนังที่อยู่ด้านข้างชายชราเอนตัวเข้ามาและกระซิบ “ท่านผู้นำ สิ่งที่เราทำกับพวกเขาก่อนหน้านี้… ”

ด้วยไม่มีเวลาพอให้สงบจิตสงบใจจากข่าวคราว ใบหน้าของเฒ่าจงเจิ้นจวินจึงบิดเบี้ยวอย่างไม่อาจห้าม

หลังจากนั้นไม่นาน ชายชราก็หัวเราะออกมา “ซูเฉินกลับมาแล้ว นี่เป็นเรื่องดี เราต่อสู้เคียงข้างกันมาตั้ง 5 ปี ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะรู้สึกสนิทสนมกัน ในเมื่อเขากลับมาแล้วเราก็ควรต้อนรับเขาอย่างอบอุ่นสิ ซูเฉินกับกองกำลังรบกำลังมาใช่หรือไม่ ? ไปเปิดค่ายกลตั้งรับเร็ว ออกไปทักทายพวกนั้นกันเสียหน่อย !”

ข่าเหวยเอ่อร์ผู้ตั้งท่าระมัดระวังมาตลอดถามขึ้นทันที “เช่นนั้นดีแล้วหรือขอรับ ? ข้าคิดว่าเรารั้งอยู่ด้านในและคอยป้องกันตัวเองจะดีกว่า”

เฒ่าจงเจิ้นจวินกัดฟันตอบ “เจ้าคิดจริง ๆ รึ ว่าค่ายกลป้องกันของเกาะพันมายาจะสามารถหยุดนิกายไร้ขอบเขตได้ ? อย่าลืมว่าค่ายกลพวกนี้มีประโยชน์เพียงช่วยป้องกันอสูรทะเลที่ไร้สติปัญญาเท่านั้น ไม่ใช่กับมนุษย์ และยิ่งไม่ใช่กับนิกายไร้ขอบเขตที่แข็งแกร่งกว่ามากนั่นด้วย !”

เมื่อได้ยินดังนั้นข่าเหวยเอ่อร์ก็พรูลมออกมาทางจมูกอย่างเหนื่อยหน่ายใจ

โอ้ ตอนนี้เจ้ามองเห็นพลังของพวกนั้นชัดเจนแล้ว ! แล้วทียามที่เราไปบ่อนทำลายพวกนั้นก่อนหน้านี้เหตุใดเจ้าถึงไม่พูดแบบนี้บ้างกัน ?

ความโลภทำให้จิตใจของพวกเขามืดบอดอย่างแท้จริง !

ค่ายกลของเกาะพันมายาถูกปิดใช้งานลง กองทหารที่อยู่ภายใต้เพลิงทมิฬทยอยออกมาต้อนรับผู้มาเยือนทีละกลุ่ม

บนทะเลอันไกลโพ้น ธงของนิกายไร้ขอบเขตและกลุ่มสยบทะเลโบกสะบัดอยู่ในครรลองสายตา

เมื่อกองทัพทั้งสองเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ไม่นานนักใบหน้าของซูเฉินก็ได้ปรากฏขึ้นให้ผู้ตั้งรับได้เห็น

เฒ่าจงเจิ้นจวินสูดหายลมใจเย็นเฉียบเข้าไปอีกครั้ง เป็นเจ้านั่นจริง ๆ !

ซูเฉินกลับมาแล้วจริง ๆ !

แต่ไม่เป็นไร จงเจิ้นจวินมั่นใจว่าตนยังสามารถกอบกู้สถานการณ์ได้

ชายชราพยายามให้กำลังใจตัวเอง

หลังจากเตรียมคำทักทายอย่างดีแล้ว เขาก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้าและเริ่มพูด “ข้าดีใจยิ่งนัก ที่ได้รู้ข่าวว่าเจ้านิกายซูกลับมาแล้ว… ”

ซูเฉินแคะหูอย่างรำคาญใจและตะโกนกล่าวอย่างเฉื่อยชา “โจมตี”