บทที่ 73 ท้าทาย
ตูม ตูม ตูม ตูม !
หลังจากที่ซูเฉินออกคำสั่ง เหล่าผู้เชี่ยวชาญของนิกายไร้ขอบเขตจำนวนนับไม่ถ้วนก็บินขึ้นไปในอากาศ และปล่อยความโกรธของพวกเขาที่มีต่อเพลิงทมิฬออกไป
จงเจิ้นจวินไม่ได้คาดคิดเลยว่าซูเฉินจะโจมตีพวกตนในทันที ทำให้ชายชราตกใจอย่างยิ่ง “เจ้านิกายซู โปรดอย่าได้ทำตัวเยี่ยงคนเถื่อนเลย ! ถ้ามีอะไรอยากจะพูด เราก็ควรมาคุยกันก่อนสิ ไม่ใช่ว่านี่เป็นการเข้าใจผิดกันหรอกหรือ?”
ซูเฉินเมินคำพูดของอีกฝ่ายอย่างสมบูรณ์
ข้อแก้ตัวคืออาวุธป้องกันสำหรับคนอ่อนแอ แต่พวกมันนั้นไร้ประโยชน์ต่อหน้าผู้แข็งแกร่ง
ตอนนี้ซูเฉินอยู่ในตำแหน่งของผู้แข็งแกร่ง และชายหนุ่มไม่เต็มใจที่จะพูดคุยเรื่องไร้สาระกับจงเจิ้นจวิน
สู้ลงมือเลยจะเร็วกว่า
ท้องฟ้าเหนือเกาะเต็มไปด้วยเหล่าศิษย์ของนิกายไร้ขอบเขต
แต่พวกเขาต่างกับเมื่อยามที่เข้าสู่หุบเหวเมื่อหกปีก่อนอีกต่อไป
ย้อนกลับไปตอนนั้น นิกายไร้ขอบเขตมีผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารเพียงแค่หนึ่งหมื่นสองพันคนเท่านั้น
ทว่าตอนนี้หลังจากผ่านไปหกปี ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารของพวกเขาเพิ่มขึ้นเป็นสองหมื่นกว่าคนแล้ว อีกทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณเกือบพันคนที่ยังไม่ถูกนับรวมเข้าไปอีก
แล้วจงเจิ้นจวินจะไม่รู้สึกอิจฉาได้อย่างไร ?
ในเมื่อนิกายไร้ขอบเขตมีทั้งผู้มีพรสวรรค์และความสามารถอยู่ตั้งมากมายเช่นนั้น !
แม้ว่าเหล่าทหารของจงเจิ้นจวินจะมีความสามารถที่ไม่ธรรมดา แต่เมื่อเทียบกับพลังของนิกายไร้ขอบเขตแล้ว ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับขนเส้นเดียวบนวัวเก้าตัว (1)
ด้วยเหตุนี้ เมื่อนิกายไร้ขอบเขตเปิดเผยเขี้ยวเล็บของตน เมื่อผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่ทรงพลังปรากฏตัวขึ้นในครรลองสายตาเต็มท้องฟ้า และเมื่อทะเลทักษะต้นกำเนิดอันน่าสะพรึงรวมตัวกันอยู่ตรงหน้าของพวกเขา แค่เท่านี้มันก็เพียงพอแล้วที่จะส่งใครสักคนไปสู่ความสิ้นหวัง
ถึงจงเจิ้นจวินจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชัน แต่มันก็เป็นไปได้เลยที่เขาจะเผชิญกับผู้เชี่ยวชาญระดับสูงจำนวนมากเช่นนี้ได้
เพราะแม้ชายชราจะต้านหนึ่งการโจมตีด้วยการปล่อยทักษะต้นกำเนิดออกไป มันก็ยังมีการโจมตีจากทักษะต้นกำเนิดอีกนับร้อยรูปแบบพุ่งมาทางตนอยู่ดี
จริงอยู่ที่ความแข็งแกร่งของจงเจิ้นจวินนับเป็นจุดสูงสุดของระบบฝึกฝนของเผ่ามนุษย์ แต่เขาก็ยังสามารถจมทะเลทักษะต้นกำเนิดตายได้ ดั่งเช่นการก้อนหินที่โยนลงไปในมหาสมุทร ความพยายามทั้งหมดของเขาไม่มากมายแม้แต่จะทำให้เกิดคลื่นเลย
จงเจิ้นจวินรู้ดีว่าเขากำลังตกลงสู่ปัญหาใหญ่ ชายชราเสียงคำรามที่ดุร้ายขึ้น
“ฮ่า !”
ฉายาเสียงหอนสนั่นกองทัพของเขาไม่ได้มีไว้โอ้อวดอย่างเดียว เมื่อคลื่นเสียงกวาดเข้าหาเหล่าศิษย์นิกายไร้ขอบเขต หัวใจของพวกเขาก็สั่นสะท้านไปชั่วขณะ
ช่างน่าเศร้าที่เสียงคำรามนี้ไม่ได้คงผลอยู่นานนัก ในเวลาเดียวกันกับที่เสียงคำรามถูกส่งมา ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตเองก็ได้โจมตีออกไปเช่นกัน ทำให้เกิดคลื่นลมผันผวนไปรบกวนคลื่นเสียงและป้องกันไม่ให้มันก่อตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์ ช่วงเวลาแห่งความตกใจผ่านไปอย่างรวดเร็วเมื่อเสียงคำรามสิ้นสุดลง
ทว่าเฒ่าจงเจิ้นจวินได้ฉวยโอกาสนี้เพื่อล่าถอยกลับไป พลางตะโกนว่า “ซูเฉิน อย่าได้ล้ำเส้นจนเกินไปนัก!”
ซูเฉินตอบกลับไปอย่างไม่รีบเร่ง “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะไม่มีเพลิงทมิฬอยู่บนทวีปดั้งเดิมอีกต่อไป”
เป็นคำพูดที่เรียบง่าย แต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยแรงกดดัน
จงเจิ้นจวินโกรธจัด ชายชราตระหนักดีว่าตอนนี้การแลกเปลี่ยนคำพูดไม่ได้มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว
ซูเฉินมาเพื่อก่อปัญหา ไม่ใช่เพื่อเจรจา
ชายชราทำได้เพียงตะโกนอย่างขุ่นเคือง “ซูเฉิน ถ้าเจ้ากล้าพอ ก็รับคำท้าของข้าแล้วมาสู้กัน ! หากเจ้าเอาชนะข้าแบบตัวต่อตัวได้ เพลิงทมิฬจะเป็นของเจ้า แต่ถ้าแพ้ก็พาคนของเจ้ากลับไปเสีย เจ้าสามารถพาอดีตศิษย์จากนิกายเจ้าที่อยู่บนเกาะพันมายานี้ไปเป็นค่าชดเชยได้ แม้ว่าเจ้าจะแพ้ก็ตาม”
ณ จุดนี้ จงเจิ้นจวินถูกกดดันมาจนสุดทางแล้ว แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังต้องยอมรับว่าเพลิงทมิฬไม่อาจเอาชนะนิกายไร้ขอบเขตได้ ทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่สำหรับชายเฒ่าคือโจมตีหัวใจหลักของกองกำลังศัตรูให้แรงที่สุดเท่าที่ทำได้
และหัวใจหลักที่สำคัญที่สุดของนิกายไร้ขอบเขตก็คือซูเฉิน ที่ซึ่งอยู่ในระดับด่านผลาญจิตวิญญาณเท่านั้น แม้อีกฝ่ายจะครองลักษณ์เจ็ดสายเลือดอยู่ แต่ระดับความแข็งแกร่งที่มีก็ยังคงเรียกได้ว่าอ่อนแอ และเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของตน
จงเจิ้นจวินเลือกท้าทายซูเฉินต่อหน้าทุกคน เพื่อทำให้อีกฝ่ายปฏิเสธได้ยากขึ้น
ในยุคนี้ที่ซึ่งความแข็งแกร่งในการต่อสู้คืออำนาจสูงสุด การที่ผู้นำระหว่างสองกองกำลังจะตกลงประมือกันเพื่อตัดสินผลของการต่อสู้ในขณะที่กองทัพของพวกเขาจับตาดูอยู่นับเป็นเรื่องปกติ
หากผู้นำคนใดไม่หาญกล้ายอมรับการท้าทาย ขวัญกำลังใจของทหารก็จะลดลงไปทันที
จงเจิ้นจวินไม่ได้คาดหวังที่จะลดขวัญกำลังใจของศิษย์นิกายไร้ขอบเขตแต่อย่างใด อย่างน้อยสิ่งนี้ก็น่าจะช่วยหยุดไฟสู้ของซูเฉินไว้ได้ และสร้างช่องในการเจรจาให้ชายเฒ่าบ้าง
ซูเฉินเลิกคิ้วด้วยความขบขัน เขาตอบรับอย่างที่ชายชราไม่ได้คาดคิด “คำท้าหรือ ? ได้ข้ายอมรับ !”
ชายหนุ่มเอานิ้วเข้าปากแล้วผิวปากเสียงดัง ทันใดนั้นศิษย์ของนิกายไร้ขอบเขตหยุดการโจมตีทันที
ซูเฉินบินออกมาสู้ด้วยตัวเอง
จงเจิ้นจวินไม่ได้คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะยอมรับคำท้าจริง ๆ จึงอึ้งทึ่งไปครู่หนึ่ง “เจ้านิกายซู ในที่สุดเจ้าก็แสดงตัวออกมา ฟังข้า… ”
เป้าหมายของชายชราไม่ใช่การต่อสู้แต่แรกแล้วเพราะเขาไม่อาจฆ่ากันเองได้ เขาเพียงแค่ต้องการโอกาสที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ขึ้นใหม่เท่านั้น
ซูเฉินยกมือขึ้นเพื่อขัดจังหวะคำพูดประนีประนอมของเฒ่าจงเจิ้นจวิน และพูดอย่างหมดความอดทน “ไม่ใช่ว่าเจ้าท้าทายข้าหรอกหรือ ? ข้าก็ออกมาอยู่ตรงนี้แล้วไง อย่าเสียเวลาไปมากกว่านี้เลย”
“อะไรนะ ? เจ้า… ” จงเจิ้นจวินไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณยอมรับการท้าทายจากเขา ? ซูเฉินเสียสติไปแล้วเหรอ ?
ทว่าขณะที่ชายชรากำลังสับสนอยู่ ซูเฉินก็ได้ลงมือเคลื่อนไหวแล้ว เขาทะลวงแทงนิ้วตรงเข้าหาจงเจิ้นจวินในทันใด
พริบตาที่นิ้วพวกนั้นพุ่งเข้ามา จงเจิ้นจวินก็ตระหนักได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ
กลิ่นอายกับแรงกดดันที่เขาสัมผัสได้จากนิ้วมือนั้นยิ่งใหญ่มาก ราวกับว่ามันถูกปกคลุมไปด้วยกฎแห่งสวรรค์บางอย่าง
ที่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินถูกเรียกขานเช่นนั้นก็เพราะเมื่อผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายฝึกฝนมาถึงระดับนี้ พวกเขาก็จะสามารถรับรู้เจตจำนงของสวรรค์ได้ ธรรมชาติทั้งหมดจะรับรู้ถึงความตั้งใจและเจตจำนงของพวกเขาแล้วพวกเขาก็จะกลายเป็นหนึ่งเดียวกันกับโลก
ด้วยเหตุนี้ทุกการโจมตีของผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน ที่ถึงแม้จะเป็นการเตะการต่อยแบบธรรมดา ๆ มันก็ยังเต็มไปด้วยพลัง
ซูเฉินได้ทะลวงเข้าสู่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินแล้วจริง ๆ
การโจมตีด้วยนิ้วของอีกฝ่าย ไม่ใช่หนึ่งในหลาย ๆ ทักษะที่เขารู้จัก แต่ถึงกระนั้น พลังของมันก็ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ถ้าตอนนี้จงเจิ้นจวินยังคงไม่สามารถบอกได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาคงเป็นคนงี่เง่าจริง ๆ
เขารีบยกมือขึ้นเพื่อป้องกันตัวเองขณะที่หน้าถอดสี “นี่เจ้าเข้าถึงด่านหยั่งรู้ฟ้าดินแล้วหรือ ?! ”
“หยุดพล่ามไร้สาระเสียที !”
นิ้วของซูเฉินเชื่อมโยงเข้ากับการโจมตีจากฝ่ามือ ที่กำลังส่งเสียงราวฟ้าร้องคำรามออกมา สายฟ้าแลบและเสียงฟ้าร้องดังสนั่นเมื่อฝ่ามือนั้นวาดผ่านท้องฟ้า พายุโหมกระหน่ำเข้าปกคลุมสนามรบในทันที
การโจมตีปกตินั้นไม่สามารถเปรียบเทียบกับการโจมตีที่ใช้พลังต้นกำเนิดอย่างพิถีพิถันได้ ด้วยเหตุนี้ ซูเฉินจึงเปิดด้วยการโจมตีผสมผสานของลม ฟ้าร้อง และวิชาสายเพลิงของอาร์คาน่าในทันที
การผสมผสานระหว่างวิชาอาร์คาน่ากับทักษะต้นกำเนิดมีประสิทธิภาพอย่างน่าอัศจรรย์ ทักษะการผสมผสานนี้ไม่เพียงแต่จะมีคุณสมบัติที่ทรงพลังและสง่างามของวิชาอาร์คาน่าเท่านั้น แต่ยังง่ายต่อการร่ายตามคุณสมบัติของทักษะต้นกำเนิดอีกด้วย
ซูเฉินยังคงปล่อยการโจมตีที่รุนแรงออกไปอย่างต่อเนื่อง เติมเต็มท้องฟ้าด้วยพลังต้นกำเนิด สายฟ้าแต่ละเส้นแหลมคมดุจหอกที่ไม่มีใครเทียบได้ เปลวเพลิงแต่ละสายเองแข็งแกร่งราวกับนกหงส์เพลิงยุคต้นกำเนิด สายลมกระโชกแต่ละระลอกก็รุนแรงราวกับห้วงมหาภัย
จงเจิ้นจวินต้องดิ้นรนอย่างมากเพื่อจัดการกับการโจมตีอันทรงพลังของซูเฉิน
ในขณะที่ชายเฒ่าป้องกันตัวเองอย่างบ้าคลั่ง ความโกรธของตนก็เพิ่มขึ้นจนถึงจุดเดือด
“เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าเจ้าจะไร้เทียมทานหลังจากที่สามารถทะลวงสู่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินได้แล้ว ? อย่าได้ลืมว่าข้ายังคงเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชัน !” จงเจิ้นจวินตะโกนคำรามปล่อยหมัดที่มีหน้าเหมือนมังกรออกไป
หมัดนั้นพุ่งออกมาจากกำปั้น มันส่งเสียงคำรามอย่างรุนแรงขณะที่กวาดล้างการโจมตีทั้งหมดของซูเฉินทิ้ง ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตตกตะลึงกับฉากที่ทรงพลังนี้ และอดเป็นกังวลแทนซูเฉินไม่ได้ในทันใด
ซูเฉินกลับยิ้มขึ้นเล็กน้อย “เจ้าพูดถูก ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินของข้านั้นอยู่ยงคงกระพัน !”
เขาชักดาบออกมา
ดาบไร้แสง !
เขาฟาดดาบใส่หมัดมังกรที่กำลังตรงเข้ามา
ระลอกคลื่นแสงจาง ๆ ที่แทบจะมองไม่เห็นพุ่งผ่านท้องฟ้า
เหล่าผู้ชมเฝ้ามองดูหมัดมังกรที่ดุร้ายเกรี้ยวกราด ซึ่งทรงพลังถึงขั้นเขย่าภูเขาได้นั้น ถูกแยกออกเป็นสองส่วนด้วยการโจมตีด้วยจากคมดาบที่ไร้เสียง
หมัดมังกรถูกทำลาย !
หมัดมังกรของจงเจิ้นจวินถูกผ่าครึ่งอย่างง่ายดายด้วยการโจมตีเพียงดาบเดียวของซูเฉิน
หลังจากที่หมัดมังกรถูกฟัน แรงกดดันของมันก็ลดลงอย่างมาก หลังจากระเบิดดังสนั่นที่ดังขึ้นตามมา มันก็สลายหายไปอย่างสมบูรณ์
จงเจิ้นจวินตกตะลึง “นี่… มันเป็นไปได้ยังไง ?”
ซูเฉินชี้ดาบไร้แสงของเขาไปทางอีกฝ่าย “ต่อไป”
แม้แต่ราชันจักรพรรดิ เขาก็ยังสามารถสังหารมันลงได้โดยไม่ต้องใช้คมดาบฝ่ามิติ
และจงเจิ้นจวินอ่อนแอกว่าราชันจักรพรรดิอย่างเห็นได้ชัด จนซูเฉินสามารถใช้ดาบไร้แสงกับอีกฝ่ายได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มันทำให้ซูเฉินคร้านจะใช้ลักษณ์เจ็ดสายเลือดจัดการกับตาเฒ่าผู้นี้
ไม่ว่าจงเจิ้นจวินจะปาอะไรใส่เขา ซูเฉินก็จะตอบโต้กลับไปด้วยดาบธรรมดา ๆ
คมดาบฝ่ามิติฉีกกระชากความว่างเปล่าและความเป็นจริง มันตัดผ่านได้ทั้งวัตถุ ทักษะต้นกำเนิด และทุกอย่างที่อยู่ในวิถีทางของมัน
จงเจิ้นจวินตกตะลึงที่ค้นพบว่า ทักษะต้นกำเนิดทั้งหมดที่ตนได้เรียนรู้และฝึกฝนมาเป็นเวลาหลายศตวรรษในชีวิตล้วนไร้ค่า เมื่อเผชิญหน้ากับดาบของชายหนุ่มตรงหน้า
ไม่ว่าเขาจะพยายามเปลี่ยนการโจมตีของตัวเองอย่างไร ซูเฉินก็สามารถทำให้พวกมันไร้ผลได้เสมอด้วยการโจมตีจากดาบเพียงครั้งเดียว
“พลังสูญ ? นั่นคือพลังสูญงั้นเหรอ ?” จงเจิ้นจวินตะโกนด้วยความประหลาดใจยิ่ง
“ในที่สุดก็รู้ตัวเสียที” ซูเฉินตอบด้วยรอยยิ้มจาง ๆ
“เป็นไปได้ยังไง ? เจ้ารู้ทักษะเช่นนั้นได้ยังไง ?”
ซูเฉินกล่าวอย่างเย้ยหยัน “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าเพิ่งกลับมาจากที่ใด ในเมื่อข้าสามารถกลับมาจากแดนพลังสูญได้โดยไม่ได้เชี่ยวชาญพลังสูญ นั่นคงจะเป็นเพราะปาฏิหาริย์จริง ๆ ”
จงเจิ้นจวินตกตะลึงจนไร้ความพูด
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าคำพูดของอีกฝ่ายมีเหตุผลอย่างยิ่ง และไม่มีอะไรที่จะสามารถโต้แย้งได้เลย
ซูเฉินยกดาบขึ้น และชี้ปลายคมของมันไปทางชายชราอีกครั้ง “เอาล่ะ เจ้าสนุกมาพอแล้ว ถึงเวลาที่การต่อสู้ที่ไร้จุดหมายนี้จะจบลงได้เสียที”
“นี่มันไม่ยุติธรรม ! ซูเฉิน เจ้าใช้เครื่องมือศักดิ์สิทธิ์… ” จงเจิ้นจวินตะโกนออกมาด้วยความตื่นตระหนก เขายังคงพยายามที่จะแก้ปัญหาด้วยคำพูด
อย่างไรก็ตาม ซูเฉินไม่ได้ให้โอกาสตาเฒ่าผู้นี้พูดเรื่องไร้สาระอื่นใดอีก คมดาบฝ่ามิติตัดผ่านช่องว่าง ไม่สนใจโล่ของเฒ่าจงเจิ้นจวิน และตัดร่างของอีกฝ่ายออกเป็นสองส่วนอย่างง่ายดาย
ร่างที่ถูกผ่าครึ่งของชายชราถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะรวมเข้าด้วยกันอีกครั้ง เขาตะโกนต่อไปว่า “หากเจ้าต้องการจะพูดอะไร เราก็ยังสามารถพูดคุยกันได้อย่างคนมีอารยธรรม !”
ซูเฉินพ่นลมหายใจและกวัดแกว่งดาบในมือของเขาอีกครั้ง คราวนี้เขาฟันไปที่จงเจิ้นจวินแบบตัดขวางสองครั้งเป็นรูปแบบรูปกากบาท ชายเฒ่าพยายามหนีอีกครั้ง แต่จู่ ๆ เขาก็พบว่าอากาศรอบ ๆ ตัวหนาแน่นขึ้นอย่างประหลาด
สุเมรสูญ
สุเมรสูญรวมกับคมดาบฝ่ามิติ เรียกได้ว่าเป็นการรวมกันที่มีอำนาจเหนือสิ่งจริง ๆ
ร่างของจงเจิ้นจวินถูกตัดแบ่งออกเป็นสี่ส่วน
แต่ครู่ต่อมาชิ้นส่วนของเขาก็รวมตัวกันอีกครั้ง “ได้โปรดเมตตา !”
“แน่นอน” ซูเฉินตอบอย่างใจเย็น
เขาฟันออกไปอีกสี่ครั้ง
จากนั้นก็แปด
แล้วก็ตามด้วยสิบหก
ซูเฉินปลดปล่อยการโจมตีด้วยดาบมากขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกรอบ เมื่อเวลาผ่านไป การโจมตีคมดาบของซูเฉินก็ซ้อนแน่นหนาจนดูราวกับผ้าตาข่ายละเอียด
จงเจิ้นจวินตกตะลึงจนแทบชะงักค้างเมื่อเขาเห็นตาข่ายคมดาบนั่น
ในอดีต เขาเคยพบกับปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนานที่สามารถใช้ทักษะที่คล้ายกับคมดาบฝ่ามิติของซูเฉินนี้ ทว่าคนผู้นั้นสามารถปลดปล่อยคมดาบฝ่ามิติได้ครั้งละหนึ่งเท่านั้น และจำเป็นต้องพักระหว่างการร่ายแต่ละครั้ง
จงเจิ้นจวินไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับคนที่สามารถใช้คมดาบฝ่ามิติได้หลายครั้งติดต่อกันอย่างรวดเร็วเช่นซูเฉินมาก่อนเลย
พลังต้นกำเนิดของซูเฉินนั้นเหนือกว่าปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนานหลายหมื่นเท่า ความแข็งแกร่งของเขานั้นมากพอที่จะทำใครต่อใครอ้าปากค้าง แน่นอนว่าดาบไร้แสงก็มีบทบาทสำคัญที่ช่วยให้ชายหนุ่มใช้ความสามารถเช่นนี้ได้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎแห่งพลังสูญเองก็เช่นกัน
หากเป็นผู้อื่น มันก็คงยากเกินไปที่พวกเขาจะสามารถบรรลุความสำเร็จนี้ได้
ชะตาของจงเจิ้นจวินถึงฆาตแล้ว เขาถูกหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ หลายพันชิ้น จนเกือบจะทำให้เขาตายไปจริง ๆ
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชันพลังชีวิตของเขาจึงแข็งแกร่งมาก แม้ว่าเขาจะถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ ร่างกายของเขาก็สามารถที่จะรวมกลับมาได้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชันเองก็ยังไม่สามารถรับมือกับการถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ เช่นนี้ได้
ทุกการโจมตีของซูเฉินได้ผลาญพลังชีวิตของชายชราไปมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการโจมตีของชายหนุ่มยิ่งนานยิ่งมากครั้งขึ้นเรื่อย ๆ จนเปลี่ยนร่างของเขาจากชิ้นใหญ่ ชิ้นกลาง ชิ้นเล็กและยังเล็กลงอีก หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ในไม่ช้าเขาก็คงจะกลายเป็นอะไรที่ไม่มีค่ามากไปกว่าเนื้อบดละเอียดอย่างแน่
อันที่จริง ก่อนจะไปถึงขั้นนั้น พลังชีวิตของเขาอาจจะหมดลงและตายก่อนเสียด้วยซ้ำ
ซูเฉินเหวี่ยงดาบของตนอีกครั้ง ส่งการโจมตีด้วยดาบที่อัดแน่นออกไปอีกครา
คมดาบฝ่ามิติถักทอเป็นตาข่ายหนา หว่านเข้าหาจงเจิ้นจวินดุจแหที่พร้อมจะดับชีวิตของเขาลง
จงเจิ้นจวินจับจ้องมองตาข่ายคมดาบที่พราวแสงระยิบระยับ
ทันใดนั้นชายเฒ่าผู้นี้ก็ตระหนักได้ว่าชีวิตของตนได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
ไม่ !
ยังมีโอกาสอยู่
ณ เวลานี้ มีเพียงการเคลื่อนไหวนี้เท่านั้นที่จะสามารถช่วยเขาได้
ชายชรามองผ่านตาข่ายแสง จ้องตรงเข้าไปในดวงตาของซูเฉิน
เขากัดฟัน
มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
เช่นนั้น…
เขาคุกเข่าลงและก้มกราบศอกชิดเข่า
“ท่านผู้นำนิกาย โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย !!! ข้ายินดีที่จะมอบตัวและพร้อมจะกลายเป็นทาสของท่าน ! ท่านจะใช้ข้าแทนวัวหรือม้าก็ได้ ข้าจะไม่ปริปากบ่นเลยแม้แต่นิดเดียว !”