บทที่ 74 ยอมแพ้
แสงดาวเป็นใยหยุดห่างจากใบหน้าจงเจิ้นจวินเพียงเล็กน้อย
ราวกับมีคนทุบปุ่มหยุดก็ไม่ปาน จังหวะนั้น ใยทั้งหลายพลันสลายหายไป
มีเพียงซูเฉินที่คุมกฎแห่งพลังสูญได้แม่นยำเช่นนี้จึงจะทำได้ ไม่มีใครสามารถสลายใยพลังสูญหากถูกปลดปล่อยออกมาแล้วได้อีก
ซูเฉินมองไปยังชายชรานั่น “เจ้าพร้อมยอมเป็นทาสรับใช้ ยอมเป็นวัวเป็นม้าให้ข้าเช่นนั้นหรือ ?”
เฒ่าจงเจิ้นจวินก้มคำนับซ้ำแล้วซ้ำอีก “ขอรับ ข้าพร้อมเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ท่านเจ้านิกาย !”
ทหารที่เฝ้าดูอยู่ด้านล่างพลันฉงนใจสงสัย
จงเจิ้นจวินเป็นหัวหน้าเพลิงทมิฬ เป็นด่านมหาราชันทรงพลัง น่าอายยิ่งนักที่ต้องมาก้มหน้าอ้อนวอนขอชีวิต
กระนั้นเฒ่าจงเจิ้นจวินก็รอดมาจนถึงตอนนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะแข็งแกร่ง แต่เพราะไม่ห่วงหน้าห่วงตาด้วย ซึ่งอย่างหลังอาจมีส่วนมากกว่าด้วยซ้ำ
ซูเฉินเหลือบมองจงเจิ้นจวิน คิดครู่หนึ่งจึงเอ่ย “แม้ว่าเจ้าจะเป็นสุนัขไร้ยางอาย แต่ก็ต้องยอมรับว่าเจ้าเองก็ใช้ประโยชน์ได้”
ชายชราดีใจ “ใช่ขอรับ อีกทั้งข้ายังเป็นถึงด่านมหาราชัน ข้าเต็มใจสู้จนสุดหล้าฟ้าเขียวเพื่อท่านเจ้านิกาย”
“สู้จนสุดหล้าฟ้าเขียวรึ ? ข้ามีศิษย์นิกายอยู่แล้ว ไม่ต้องการเจ้าหรอก” เกินคาดที่ซูเฉินส่ายหน้า “เจ้าเป็นด่านมหาราชัน เช่นนั้นให้เป็นตัวทดลองของข้าจะดีกว่า”
อะไรนะ ?
เฒ่าจงเจิ้นจวินชะงัก “มะ…”
ซูเฉินใช้ท่าดัชนีซัดที่ลำคอจงเจิ้นจวิน ชายแก่พลันอ้าปาก ยาเม็ดหนึ่งร่วงลงคอไป
“กินแล้วอย่าต่อต้าน มิเช่นนั้นจะตาย” ซูเฉินพูดง่าย ๆ แต่คำกล่าวกลับเต็มด้วยความนัย
จงเจิ้นจวินไม่กล้าขยับ สัมผัสได้ว่าแรงยากระจายไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็ทรุดลงกับพื้น หมดเรี่ยวสิ้นแรง
“จากนี้ไปเจ้าเป็นตัวทดลองของข้า ข้าถึงด่านมหาราชันได้เมื่อใด ครานั้นคงให้เจ้าสู้จนสุดหล้าฟ้าเขียวให้ข้าได้” ว่าแล้วก็คว้าร่างจงเจิ้นจวินโยนไปด้านหลัง กังเหยียนรับร่างของตาเฒ่าไว้แล้วพาตัวไป
และแล้วด่านมหาราชันอันทรงพลังก็กลายเป็นตัวทดลองของซูเฉินไปด้วยประการฉะนี้
สำเร็จเสร็จสิ้นแล้วซูเฉินก็เก็บมือกลับ
ชายหนุ่มมองลงไป ก็พบกับสมาชิกเพลิงทมิฬทั้งหลายที่จ้องเขาไม่พูดไม่จา
หัวหน้าถูกจัดการ และกลายเป็นตัวทดลองไปแล้ว แล้วพวกเขาที่เหลือจะทำอย่างไร ?
ซูเฉินเอ่ย “หากยอมแพ้ก็รอดชีวิต ไม่เช่นนั้นก็ต้องตาย”
นับตั้งแต่อยู่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน ซูเฉินก็เริ่มหน่ายจะอธิบายยืดยาว ตอนนี้กล่าวแต่ละคำรวบรัดได้ใจความ
เหล่าเพลิงทมิฬเหลือบมองกันแล้วก็ตัดสินใจยอมจำนน
รังอาชญากรที่อยู่นอกกฎหมายมานานแห่งนี้ คนมากหลายพยายามตามจับแต่กลับล้มเหลว ได้ถูกเปลี่ยนมือในชั่วข้ามคืน
เป็นปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง
แต่เมื่อหุบเหวหายไปแล้ว เกาะพันมายาก็ไม่นับเป็นอะไรอีก
จริง ๆ แล้วการรวมเพลิงทมิฬนั้นน่าปวดหัวไม่ใช่น้อย
คิดแล้วซูเฉินจึงว่า “คนพวกนี้คือเดนโลก ไม่ควรให้เข้านิกาย ให้เป็นฝ่ายนอกแทนเถอะ แต่ก็ต้องนำออกไปให้หมด อย่าให้ร่อนเร่ตามใจได้ เกาะพันมายาให้ศิษย์ผลัดกันมาดูแล ตั้งเป็นด่านหน้าของนิกาย ทำหน้าที่หาของทะเล เส้นทางการค้าที่เราตั้งไว้ก่อนหน้านำกลับมาใช้ได้ อย่างไรท้องทะเลก็เต็มไปด้วยของมีค่า ให้เสียเปล่าไปก็น่าเสียดายนัก”
“ท่านเจ้านิกายฉลาดล้ำเลิศ !” ทุกคนต่างชื่นชม
จากนี้ไป นิกายไร้ขอบเขตก็ยึดเอาพื้นที่มาเป็นของตนเองได้แล้ว
“ศิษย์แปรพักตร์จะทำอย่างไรต่อดีหรือ ?” หลี่ฉงซานถาม
นี่ก็เป็นปัญหา
ยังมีศิษย์นิกายไร้ขอบเขตราวหนึ่งพันที่อยู่ในเพลิงทมิฬ
ตอนนี้พวกนั้นน่าจะเป็นคนที่วิตกกังวลมากที่สุดในบรรดาคนทั้งหลาย
ท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์เกลียดชังคนทรยศเหนือสิ่งอื่นใด มักใช้วิธีรุนแรงจัดการคนทรยศพวกนี้
กู่ชิงลั่วเอ่ย “สามี บางคนถูกจงเจิ้นจวินหลอกไป ทำให้ใจสับสน อาจมีคนที่เสียใจกับสิ่งที่ทำแต่กลับเข้านิกายไม่ได้อยู่”
“ภรรยาท่านเจ้านิกาย !” หลินเซียวและคนอื่น ๆ ร้องขึ้นเสียงตกใจ
เหมือนว่ากู่ชิงลั่วจะให้อภัยพวกเขา
“ภรรยาท่านเจ้านิกาย เราทำเช่นนั้นไม่ได้ คนทรยศเหล่านี้ไม่อาจปล่อยไปได้ง่าย ๆ ไม่เช่นนั้นนิกายไร้ขอบเขตจะมีจุดยืนได้หรือ ? แล้วเหล่าศิษย์จะยังศรัทธาในนิกายอยู่อีกหรือไร ?” บางคนร้องขึ้น
“มองอย่างไรก็เคยเป็นศิษย์ในนิกาย ที่ออกไปก็เพียงเพราะถูกคำพูดหว่านล้อมหลอกลวงเอา เข้าใจในการกระทำได้”
“ถึงอย่างนั้นก็ให้อภัยไม่ได้ การผ่อนปรนตอนนี้มีแต่จะนำไปสู่ปัญหาในอนาคต อย่าลืมว่าตอนนี้ยังมีศิษย์นับหมื่นจับตามองอยู่นะ”
“กฎก็สำคัญ แต่ความสัมพันธ์ก็สำคัญเช่นกัน”
คนระดับสูงในนิกายไร้ขอบเขตจึงเริ่มพูดคุยกันอย่างหนัก
ซูเฉินเงียบไป
จะโต้เถียงกันเขาก็ไม่คิดอะไร ผลึกวิญญาณทำให้เขาได้ยินทุกคำอยู่แล้ว จากนั้นลองนำคำแนะนำเหล่านั้นมาประเมินในทุกมุมดู
ผ่านไปนาน ซูเฉินจึงยกมือขึ้น
เสียงสนทนาจึงหยุดชะงัก
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น “ข้าไม่เคยหวังให้ทุกคนซื่อสัตย์กับข้าไปตลอด หากศิษย์ที่ออกไปไม่ได้ทำให้ชื่อนิกายเสื่อมเสีย ข้าก็พร้อมจะให้แล้ว ๆ กันไป หากอยากกลับนิกายข้าก็พร้อมต้อนรับ”
ได้ยินดังนี้ทุกคนก็ชะงัก
ซูเฉินมองในมุมกว้าง
แม้กำลังเขาจะสูงขึ้น แต่จิตใจและความคิดก็กว้างขวางขึ้นด้วย
ซูเฉินในวัยหนุ่มตัดขาดตระกูลซูที่ไม่เคยเหลียวแลเขา ทว่าตอนนี้เขาได้เป็นเจ้านิกาย ชายหนุ่มได้เรียนรู้แม้กระทั่งการดูแลเห็นใจศิษย์ที่คิดทอดทิ้งเขา
ชายหนุ่มเข้าใจความยากลำบากและเห็นอกเห็นใจกับการต่อสู้ของพวกนั้น ด้วยเหตุนี้จึงพร้อมมองข้ามความขลาดเขลา อภัยให้กับความผิดของศิษย์
แม่น้ำทุกสายมาบรรจบกับทะเลอันกว้างใหญ่
ในจังหวะนั้น ซูเฉินได้แสดงให้เห็นว่า การเป็นผู้ที่ใจกว้างอย่างแท้จริงต่อไปต้องทำการณ์ใหญ่สำเร็จได้แน่
กระทั่งแม่ทัพหลี่ยังได้แต่ถอนหายใจ “ท่านเจ้านิกายหลักแหลมนัก”
“แต่ศิษย์ที่ทำนิกายเสื่อมเสียจะไม่ได้รับการงดเว้น” จวินโม่เสียเอ่ยเสียงเข้ม
“แน่นอน” ซูเฉินพยักหน้า “ต้องให้ท่านไปสอบปากคำทีละคน ใครที่ไร้ความผิดให้กลับมาได้ ใครที่ทำผิดเล็กน้อยให้อยู่ในเพลิงทมิฬต่อไป ส่วนความผิดร้ายแรง… ให้ท่านตัดสินใจ”
“รับทราบ !” ผู้อาวุโสทั้งหลายตอบรับ
จัดการเพลิงทมิฬครั้งนี้ใช้เวลากว่าครึ่งเดือน
สมาชิกเดิมของเพลิงทมิฬไร้การเปลี่ยนแปลงฐานะอันใด แต่จวินโม่เสียได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าของพวกเขา
จวินโม่เสียร้ายกาจและเจ้าเล่ห์เป็นทุนเดิม ทำให้เหมาะจะดูแลเพลิงทมิฬ หลังจากเลือกศิษย์ฝีมือดีอีกหลายคนมาดำรงตำแหน่งภายใน เพลิงทมิฬก็ถูกปราบลงอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่จัดการเพลิงทมิฬ ก็ยังมีอีกสองเรื่องที่ซูเฉินยังต้องใส่ใจนึกถึง
หนึ่งคือสถานการณ์ปัจจุบันภายในอาณาจักรหลงซาง
หลินจุ้ยหลิวและหลินเฉ่าเซวียนกำลังค่อย ๆ สูญเสียการควบคุมไปอย่างแน่นอน
หากไม่ใช่กู่ชิงลั่วส่งกำลังเสริมไปหลังทำลายหุบเหวได้ ทั้งสองก็คงถูกหลินเมิ่งเจ๋อสังหารไปสิ้น
ตอนนี้ซูเฉินกลับมาแล้ว จึงถึงเวลากลับมาจัดการกับปัญหา
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ชายหนุ่มต้องจัดการ คือราชาแห่งปักษา หยงเยี่ยหลิวกวง
ดวงตาไห่เสินอยู่ในมือของเขา ได้เวลาที่ซูเฉินต้องไปพบราชาผู้นั้นตามแผนแล้ว
ชายหนุ่มต้องเป็นคนไปจัดการเอง ดังนั้นจึงส่งหลี่ฉงซานกลับอาณาจักรหลงซางพร้อมนิกายไร้ขอบเขต ส่วนตัวเขาและกู่ชิงลั่วจะเดินทางไปอาณาจักรแห่งหมู่เมฆเพื่อพบหยงเยี่ยหลิวกวง
วันลาจากมาถึงรวดเร็วนัก
กองทัพใหญ่ออกจากเกาะพันมายา หลังจากจากที่มานาน ตอนนี้ถึงเวลากลับรังแล้ว
ที่อีกฟากฝั่ง ซูเฉินกับกู่ชิงลั่วเองก็เตรียมตัวเดินทาง นอกจากคนทั้งสองก็มีเพียงม้าน้ำพลังสูญที่ติดตามไปด้วย เมื่อไร้อิทธิพลของท้องสมุทรโศกา สติปัญญาของม้าน้ำพลังสูญก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ มันรู้จักกับชายหนุ่มตอนอยู่บนเกาะ ซาบซึ้งนักที่เขาไม่สังหารเจ้าวาฬแล้วพามันกลับโลกจริง ความยำเกรงยิ่งเพิ่มสูงเมื่อได้เห็นพลังอำนาจของนิกายไร้ขอบเขตอีกด้วย
อีกทั้งการยอมแพ้ของเฒ่าจงเจิ้นจวินก็เป็นตัวอย่างที่ดี สุดท้ายเจ้าม้าน้ำจึงเข้าใจว่ามันจำต้องเลือก และได้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงของซูเฉินในที่สุด
มนุษย์มีสัตว์เลี้ยงไม่แปลก แต่การมีจักรพรรดิอสูรเป็นสัตว์เลี้ยงนับว่าแปลก
ซูเฉินเคยมีสัตว์เลี้ยงแค่ตัวเดียว ซึ่งก็คือเงามรณะ แต่เมื่อแกร่งขึ้นจึงไม่ได้ใช้เงานั่นอีก ปล่อยให้มันทำอะไรได้ตามใจอยู่ในสำนักไป
แต่จักรพรรดิอสูรตัวนี้ให้ติดตามไปนับว่าคุ้มค่ากว่า
ซูเฉินขี่ม้าน้ำพลังสูญแล้วพูดขึ้น “เรื่องหลงซางให้ท่านจัดการ”
ผู้เป็นแม่ทัพเอ่ย “มีพวกข้าอยู่ ท่านเจ้านิกายไม่ต้องห่วง แต่พวกปักษานับว่าเป็นอันตรายของจริง ข้ากังวลว่าหยงเยี่ยหลิวกวงจะชิงสมบัติจับตัวประกัน หากเป็นจริงจะเกิดปัญหา”
ซูเฉินหัวเราะ “หยงเยี่ยหลิวกวงยังรอให้ข้าชิงวิญญาณอำมฤตมา เขาไม่ทำอะไรข้าหรอก”
หลี่ฉงซานกลับส่ายหัว “หากข้าเป็นหยงเยี่ยหลิวกวง แม้เมืองล่องนภาจะเคลื่อนที่ไม่ได้ แต่ต้องจับตัวเจ้าไว้แน่”
“หือ ?” ซูเฉินหรี่ตาลง
แม่ทัพหลี่จึงว่าต่อ “แม้ว่าเมืองล่องนภาจะสำคัญ แต่ในสายตาข้า เจ้าสำคัญกว่า เมืองล่องนภาสุดท้ายก็เป็นเพียงปราสาทแกร่งหลังหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ว่าไร้เทียมทาน แต่การกระทำของเจ้าช่วยทำให้ทั้งเผ่ามนุษย์แกร่งขึ้น ต่อไปมนุษยต้องแกร่งที่สุดในเผ่าพันธุ์อัจฉริยะแน่”
ซูเฉินตอบ “ข้าเข้าใจ แต่อย่าลืมว่าสิ่งที่เคยทำเป็นอดีตไปแล้ว แต่เมืองล่องนภาคืออนาคต”
ไม่ว่าซูเฉินจะมีประโยชน์แค่ไหน ก็ได้พัฒนาวิชาการฝึกสู่อมตะขั้น 6 ขึ้นได้แล้ว การที่เขาทะลวงถึงด่านหยั่งรู้ฟ้าดินคือหลักฐานชั้นดี
สังหารซูเฉินไปก็ไม่กระทบต่อการกระจายวิชาการฝึกสู่อมตะ หรือไม่กระทบอำนาจนิกายไร้ขอบเขต มีแต่ปักษาจะเสียโอกาสเท่านั้น
ดูจากนิสัยหยงเยี่ยหลิวกวงแล้วไม่มีทางตัดสินใจทำเช่นนั้นแน่
ซูเฉินมั่นใจมาก อย่างไรราชาแห่งปักษาผู้นั้นก็เคยปล่อยเขามาครั้งหนึ่ง และให้ว่ากันตามตรง คนเถื่อนตานปาก็เคยทำเช่นนี้มาก่อนอีก
ผู้แข็งแกร่งทั้งหลายที่ซูเฉินพบมาจนถึงปัจจุบันล้วนมีความคิดเหมือนกัน คือทำให้ตนแกร่งขึ้นนั้นสำคัญกว่าสังหารศัตรู
พวกนั้นรู้แจ่มชัดมากว่าพวกตนไม่สามารถสังหารคู่ต่อสู้ได้ทั้งหมด หากอยากอยู่รอดในดงความโหดร้าย และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น การทำให้ตนเองแกร่งขึ้นนั้นสำคัญกว่ามาก
ดังนั้นตานปาจึงยอมร่วมมือกับซูเฉิน หยงเยี่ยหลิวกวงก็เช่นกัน
ไม่ว่าต่อไปคู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ทุกคนจะใส่ใจเพียงสิ่งที่ดีต่อตนเองมากที่สุด
อีกทั้งซูเฉินเองก็มั่นใจไม่ใช่น้อย
แม้หยงเยี่ยหลิวกวงอยากลงมือ แต่ก็ไม่ง่ายแน่
ไม่มีทางที่ราชาแห่งน่านนภาผู้นั้นจะคาดเดาได้เลยว่า ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี ซูเฉินจะแกร่งขึ้นมากเช่นนี้ได้
“หลงซางให้ท่านดูแล ส่วนปักษาเป็นข้าจัดการ มาดูกันว่าใครจะทำงานสำเร็จก่อน จากนั้นค่อยพบกันที่แท่นบูชาลมปีศาจ” ซูเฉินว่าพลางจับมือหลี่ฉงซานแน่น