ภาคที่ 6 บทที่ 75 เข้าพบ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 75 เข้าพบ

เมืองล่องนภา

ยามซูเฉินปรากฏการณ์เหนือพระราชวังในอีกหลายปีให้หลัง ก็ไม่นับว่าเป็นศัตรูอีก แต่คือแขกคนสำคัญ

ปักษาสาว 300 นางในชุดสีฉูดฉาดบินเข้ามาหา ในมือถือดอกไม้สด กลายเป็นสะพานบุปผา นำพาเขาเข้าไปด้านใน

บทเพลงไพเราะและล้ำลึกล่องลอยอยู่ในอากาศ ส่งมาทางซูเฉิน เป็นเพลงที่เผ่าปักษาใช้ต้อนรับแขกคนสำคัญ ปักษาสาวรอบกายเริงระบำไปตามทำนอง

เผ่าปักษาเป็นนักดนตรีฝีมือฉกาจ แต่มนุษย์ไม่เคยได้มีโอกาสชื่นชมนัก แม้ซูเฉินอยู่ไหนอาณาจักรแห่งหมู่เมฆมาเนิ่นนาน เขาก็เพิ่งจะได้ยินเป็นครั้งแรกเท่านั้น

ท่ามกลางเสียงเพลงบรรเลงฉลองอันสนุกสนานนี้ ซูเฉินเข้าวังแสงตะวันชั่วกาล ทำการทักทายหยงเยี่ยหลิวกวง

เจอกันครั้งสุดท้ายก็ผ่านมาหลายปีแล้ว หยงเยี่ยหลิวกวงยังเป็นชายชราร่างผอม แต่ตอนนี้ในนัยน์ตามีประกายหวังจุดขึ้นมาแล้ว

เมื่อหยงเยี่ยหลิวกวงเห็นซูเฉิน รอยยิ้มที่เห็นไม่บ่อยก็ปรากฏขึ้นบนหน้า “เจ้านิกายซูในที่สุดก็มาถึง ข้ารอวันนี้มานานแล้ว”

“ขออภัยที่มาช้าด้วยฝ่าบาท ได้โปรดอภัยให้ข้า” ซูเฉินเอ่ย

“ไม่เป็นไร” หยงเยี่ยหลิวกวงโบกมืออย่างใจกว้าง

ที่กำหนดระยะเวลา ก็เพื่อทำให้ซูเฉินไม่ล่าช้า ซึ่งชายหนุ่มก็พยายามทำตามแผนที่ว่าให้ได้มากที่สุด ที่ล่าช้าครั้งนี้เขาไม่สามารถควบคุมได้ เผ่าปักษาเองก็รับรู้ เพราะคอยจับตาดูเรื่องในหุบเหวอยู่ตลอดเวลา

ซูเฉินทำงานหนักไม่ได้หยุดหย่อนเลยสักเล็กน้อย หลายปีที่เงียบหายไปก็เพื่อตระเตรียมช่วงเวลาให้ได้สำแดงกำลังฉับพลันนั้น หยงเยี่ยหลิวกวงไม่อาจโทษเขาได้แม้สักนิด แท้จริงแล้วเมื่อตอนที่ซูเฉินหายไปยังจะพยายามช่วยเหลือด้วยซ้ำ แต่เมื่อมีจักรพรรดิอสูรขวางทางไว้ เขาก็ทำอะไรไม่ได้

หลังจากสนทนากันเล็กน้อย ซูเฉินจึงหยิบของสิ่งหนึ่งออกมา “อย่างน้อยการเดินทางครั้งนี้ก็สำเร็จ ข้าได้ดวงตาไห่เสินมา นับว่าทำตามข้อตกลงข้อหนึ่งแล้ว”

ของที่เขานำออกมาคือดวงตาไห่เสิน

ดวงตาไห่เสินแท้จริงแล้วคือผลึกแก้วสีน้ำเงินเข้ม ภายนอกดูเหมือนดวงตา มีความสามารถในการควบคุมทะเล จึงได้ชื่อนั้นมา

มันสร้างมาจากโมราทะเลลึก

ภายใต้มหาสมุทรสุดลึกล้ำ ยังมีปลาชนิดหนึ่งที่สามารถควบคุมวารีได้ รู้จักกันในนามบุตรแห่งห้วงทะเล อยู่บนโลกได้เพียงครั้งละ 1 ตัวเท่านั้น มันมีอายุขัยยืนยาว ปกติแล้วหลายร้อยหรือหลายพันปี ในร่างมีกระดูกกลางเพียงชิ้นเดียว ภายในไขกระดูกคือผลึกเหลว และของเหลวที่หน้าตาเหมือนหินและเหมือนน้ำพร้อมกันนั้นก็คือโมราทะเลลึก

ด้วยความที่บุตรแห่งห้วงทะเลมีชีวิตยืนยาว มีครั้งละ 1 ตัวเท่านั้น ในประวัติศาสตร์แสนปีของทวีปต้นกำเนิดจึงเคยมีมันเพียงไม่ถึง 100 ตัว ดังนั้นจึงมีโมราทะเลลึกอยู่อย่างจำกัด

โมราทะเลลึกก้อนนี้มีขนาดใหญ่มากจนแทบจะเป็นโมราทะเลลึกทั้งหมดที่เคยเก็บเกี่ยวมาได้เลย ดังนั้นคนจำนวนมากจึงพยายามกลั่นมัน ดวงตาไห่เสินจึงเป็นของที่มีชิ้นเดียวในใต้หล้า จะหาได้อีกชิ้นคงใช้เวลาอีกกว่าแสนปี

ซูเฉินถือดวงตาไห่เสินไว้แล้ว พลันมีแผ่นน้ำบางๆ ก่อตัวขึ้นรอบตัวเขา

เขาเชี่ยวชาญวิชาลม วิชาไฟ และวิชาสายฟ้า แต่เมื่อมีดวงตาไห่เสิน วิชาอาร์คาน่าประเภทน้ำของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นมากเช่นกัน มากเสียจนไม่น้อยหน้าไปกว่าวิชาอีก 3 ประเภทเลยทีเดียว

แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้โจมตี กลับส่งยิ้มบางให้หยงเยี่ยหลิวกวง

หยงเยี่ยหลิวกวงเห็นดวงตาไห่เสินก็เอ่ยเสียงตื่นเต้นขึ้น “นั่นล่ะ !”

เขายื่นมือออกมา

ในตอนนั้นมือเขาสั่นน้อย ๆ

ความอัปยศที่เผ่าปักษาต้องฝืนทนมานับหมื่นปี ในวันนี้เขาได้กำจัดมันไปแล้ว !!

แต่ซูเฉินกลับเก็บมือกลับมา เก็บดวงตาไห่เสินไปอีกครั้ง

หยงเยี่ยหลิวกวงหรี่ตาลงเล็กน้อย “เจ้านิกายซู นี่มันหมายความว่าอย่างไร ?”

ซูเฉินยิ้มน้อย ๆ “ข้านำดวงตาไห่เสินมาแล้ว ควรจะได้พบกับเซียนเหยาไม่ใช่หรือ ?”

ข้อตกลงของซูเฉินและหยงเยี่ยหลิวกวงเพียงกำหนดไว้ว่าหยงเยี่ยหลิวกวงจะปล่อยจูเซียนเหยาเมื่อซูเฉินนำดวงตาไห่เสินและวิญญาณอำมฤตมาส่งมอบ แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดเฉพาะเจาะจง

เช่นว่า ซูเฉินสามารถรอจัดการเผ่าวิญญาณก่อน ค่อยมอบดวงตาไห่เสินให้หยงเยี่ยหลิวกวงก็ยังได้

แต่ซูเฉินก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น แท้จริงแล้วเขายังเต็มใจมอบดวงตาไห่เสินให้ ทำเอาหยงเยี่ยหลิวกวงประหลาดใจด้วยซ้ำ

แต่เมื่อซูเฉินขอมา หยงเยี่ยหลิวกวงจึงเข้าใจ

เขาหรี่ตาลง “อยากพบจูเซียนเหยาหรือ ?”

ซูเฉินตอบ “ผ่านไป 6 ปีแล้ว อย่างน้อยข้าควรได้รู้ว่านางเป็นอย่างไรบ้างไม่ใช่หรือ ?”

หยงเยี่ยหลิวกวงมุ่นคิ้ว

ว่ากันตามตรง คำขอของซูเฉินไม่มากเกินเหตุ เขาไม่ได้เห็นภรรยารองมาเป็นเวลา 6 ปีแล้ว จึงไม่แปลกที่ชายหนุ่มจะยอมส่งมอบของ 1 ชิ้นให้ก็ต่อเมื่อได้พบหน้าภรรยา

แต่หยงเยี่ยหลิวกวงก็ไม่สามารถสลัดความรู้สึกผิดปกตินี้ออกไปได้เลย

อาจเพราะดวงตาไห่เสินเป็นของหายากเกินไปกระมัง

มันเป็นสมบัติที่ล้ำค่าเกินกว่าจะตีราคาได้ ใครก็ตามที่ได้มาย่อมยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ใช้มันได้นานขึ้น โดยเฉพาะถ้าไม่ได้ลงรายละเอียดที่ชัดเจนในข้อตกลงว่าจะใช้มันอย่างไร หากหยงเยี่ยหลิวกวงเป็นซูเฉิน เขาย่อมต้องหาทางถ่วงเวลาส่งมอบของจนกว่าตนเองจะได้วิญญาณอำมฤตมาเช่นกัน

อย่างน้อยก็ได้ใช้ดวงตาไห่เสินในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

แต่ซูเฉินไม่ทำเช่นนั้น ยอมมอบดวงตาไห่เสินให้แต่โดยดี ทำให้หยงเยี่ยหลิวกวงไม่สบายใจเท่าไหร่

มันเกิดขึ้นจากสัญชาตญาณล้วน ๆ เกิดจากการที่ได้ปกครองอาณาจักรมาหลายปี เมื่อมีอะไรไม่เป็นไปตามครรลองคลองธรรมจึงรู้สึกผิดปกติ

แต่สงสัยไปก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้

ด้วยความที่ความสงสัยต่อซูเฉินก็อาจทำให้อีกฝ่ายสงสัยเขาเช่นกัน ใครจะรู้ว่าซูเฉินจะเอาวิญญาณอำมฤตมาได้เมื่อใดกัน อย่างไรหากได้ดวงตาไห่เสินมาตอนนี้เลยย่อมดีกว่า

คิดได้แล้ว หยงเยี่ยหลิวกวงจึงต้องการดวงตาไห่เสินมากกว่าซูเฉิน

ดังนั้นจึงไม่อาจปฏิเสธคำขอแม้จะรู้สึกผิดปกติได้

อย่างไรทั้งคู่ก็อยู่ในวังแสงตะวันชั่วกาล

ซูเฉินมีสิทธิ์ขอพบหน้าจูเซียนเหยา

เขาจะขี้เหนียว ปฏิเสธคำขอนี้ได้อย่างไร

คิดอยู่ครู่หนึ่ง หยงเยี่ยหลิวกวงจึงพยักหน้า “ได้”

ในจังหวะที่เขาเดินนำซูเฉินไป หยงเยี่ยหลิวกวงก็แอบสั่งเค่อเหลยซีต๋าให้เตรียมตัวเผื่อไว้

จริง ๆ แล้วหยงเยี่ยหลิวกวงควรขอความช่วยเหลือจากโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนก่อน นิกายแห่งพระแม่ทรงพลังและมีความสามัคคีกว่า ไม่เหมือนกับทหารในวังที่แม้จะแข็งแกร่ง แต่ก็มีงานของตน รวมตัวกันได้ยาก

แต่ด้วยข้อตกลงของหยงเยี่ยหลิวกวงกับซูเฉินล่วงเกินนิกายแห่งพระแม่ เพื่อล่อให้ซูเฉินยอมทำงานให้ และทำให้นิกายแห่งพระแม่อ่อนแอลงได้ หยงเยี่ยหลิวกวงจึงจงใจยอมให้ซูเฉินนำสมบัติของนิกายแห่งพระแม่ไปด้วย

เขาอาจปิดเรื่องนี้ได้ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ไม่สามารถทำได้ตลอดไป

หลังจากโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนรู้เรื่อง ก็โกรธเกรี้ยวเป็นยิ่งนัก ความสัมพันธ์จึงมีรอยร้าวนับแต่นั้น

ด้วยเหตุนี้ การวางแผนใด ๆ จึงมีน้อยมากที่จะไม่ล่วงเกินใคร แม้ทุกอย่างจะเป็นไปตามแผน แต่หยงเยี่ยหลิวกวงก็เสียหายไปไม่น้อยเช่นกัน อาจกล่าวได้ว่าเขามีส่วนต้องรับผิดชอบในเรื่องความแตกแยกระหว่างขุมอำนาจทางความเชื่อและการเมือง แต่เขาไม่ได้สร้างประโยชน์ให้ทั้งสองอำนาจแม้แต่น้อย

คิดอยู่ครู่หนึ่ง หยงเยี่ยหลิวกวงจึงไม่แจ้งโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยน

ในสายตาเขา ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนาน 2 คนก็คุมสถานการณ์อยู่แล้ว

หลังจากนั้นไม่นาน จูเซียนเหยาก็มาถึง

เสมือนเปลวเพลิงโหม นางพุ่งเข้าสู่อ้อมกอดซูเฉิน เอ่ยเสียงประหลาดใจขึ้น “เจ้ากลับมาแล้ว !”

ซูเฉินกอดนางไว้แน่น สัมผัสได้ถึงความเร่าร้อนของนาง ก่อนเอ่ยเสียงอ่อนโยน “เกรงว่าหลายปีมานี้ต้องลำบากเจ้าแล้ว”

จูเซียนเหยาส่ายหน้าอย่างน่ารัก “คงไม่ใช้คำว่าลำบาก พวกเขาปฏิบัติต่อข้าดีมาก ไม่มีใครกล้าทำให้ไม่พอใจ แต่ข้าอดคิดถึงเจ้าไม่ได้”

“โอ้ ? ไม่มีใครกล้าทำให้ไม่พอใจเลยงั้นหรือ ?”

“อื้ม !” จูเซียนเหยาพยักหน้า “ข้าบอกไว้ว่า หากมีใครกล้าทำให้ข้าไม่พอใจ หรือคิดทำร้ายข้า หากสามีข้ารู้เข้าเขาต้องไม่พอใจแน่ และหากเขาไม่พอใจ ก็อาจเสียสมาธิ และหากเขาเสียสมาธิ ก็คงทำงานได้ไม่ดี ความฝันกว่าหมื่นปีของเผ่าปักษาก็อาจล้มเหลวได้”

“……พูดได้ดี” ซูเฉินเอ่ยได้เพียงเท่านั้น

ตรรกะของจูเซียนเหยานั้นไม่อาจเปรียบกับใครได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ใช้ได้ผล

จุดมุ่งหมายของเผ่าปักษาคือเมืองล่องนภา เมื่อต่อหน้ามีจุดมุ่งหมายเช่นนั้น อย่างอื่นก็ดูเล็กน้อยไปหมด ไม่มีทางกลั่นแกล้งจูเซียนเหยาแน่ ดังนั้นจึงพยายามเอาอกเอาใจนางทุกอย่างให้นางพึงพอใจ

ด้วยเหตุนี้จูเซียนเหยาจึงเหมือนเจ้าหญิงของที่นี่ก็มิปาน ไม่เคยมีใครทำให้ไม่พอใจ

“มิน่า ข้าว่าเจ้าอ้วนขึ้นนิดหนึ่งนะเนี่ย” ซูเฉินว่าพลางหยิกแก้มจูเซียนเหยา

“งั้นหรือ ? ไม่หรอกน่า ข้าระวังเรื่องอาหารการกินตลอดนะ !” จูเซียนเหยาตอบเสียงตกใจ เริ่มมองสำรวจตนเองอย่างถี่ถ้วน

เมื่อเกี่ยวกับเรื่องรูปลักษณ์ สตรีทั้งหลายก็ไม่ต่างกัน

พริบตาต่อมา จูเซียนเหยาก็หันไป เอ่ยคำขึ้น “นี่พวกเจ้า ไม่แปลกเลยที่หาอะไรมาให้ข้ากินตั้งแยะ คิดจะทำร้ายกันหรอกหรือ ? ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป ห้ามไม่ให้เอาอาหารเสริมใดมาให้ข้าอีก ข้าจะกินแต่ดอกจันทร์เหมันต์เท่านั้น”

ดอกจันทร์เหมันต์เป็นอาหารพิเศษของเผ่าปักษา ทำจากเกสรดอกไม้ที่ปลูกในภาคเหนือของแดนปักษา ช่วยเพิ่มความสามารถในการดูดซับพลังได้ 100 ดอกได้เพียงจานน้อยจานหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นดอกไม้ที่มีค่าสูง ถูกมองเป็นของหวานเสียมากกว่า มีแต่ชนชั้นสูงที่สามารถมีโอกาสลิ้มลอง แต่จูเซียนเหยาสั่งว่าให้มันเป็นอาหารหลักของนาง …ช่างหรูหรามากมายเสียจริง !

“มิน่า หลายปีมานี้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นมาก ทะลวงถึงด่านผลาญจิตวิญญาณแล้ว” ซูเฉินพึมพำ

มีปักษาคอยช่วยเช่นนี้ การบ่มเพาะพลังของจูเซียนเหยาจึงรวดเร็วขึ้นมากกว่ายามนางอยู่ตระกูลจูเสียอีก

“แน่นอน พวกเขาดูแลข้าดีมาก” จูเซียนเหยาเอ่ยเสียงมีความสุข

“ถ้าเช่นนั้น เจ้ายังอยากจากไปหรือไม่ ?” ซูเฉินถาม

จูเซียนเหยาได้ยินก็สีหน้าเปลี่ยน

นางกอดซูเฉินแน่นขึ้น “จะดีอย่างไร เจ้าไม่อยู่ข้างกาย ข้าก็ไม่ยินดี”

ซูเฉินพยักหน้า “พอได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ ก็มั่นใจว่าจะพาตัวไปได้แล้ว”

หือ ?

หมายความว่าอะไรกัน ?

หยงเยี่ยหลิวกวงส่งเสียงคำรามในใจ

ซูเฉินเอ่ย “หยงเยี่ยหลิวกวง หลายปีมานี้ต้องขอบคุณมากที่คอยดูแลภรรยาข้า นางอยู่ที่นี่สะดวกสบายไม่น้อย แต่ข้าอยากช่วยแบ่งเบาภาระของฝ่าบาท ดังนั้นจึงจะพาตัวภรรยากลับไปดูแลเอง”