บทที่ 76 ออกเดินทาง
อะไรกัน
ทันทีที่ได้เสียง หยงเยี่ยหลิวกวงก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาเบิกตาโพลงพร้อมกันนั้นพลังจิตที่ทรงอานุภาพก็แผ่ไปทั่วท้องห้องอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันนั้น ลิ้นขนาดยักษ์ก็พุ่งออกมาจากเพดานของโถงแห่งนั้นและคว้าเอาร่างของซูเฉินกับจูเซียนเหยาเอาไว้
การเคลื่อนไหวที่ว่องไวของเขาทำให้เห็นว่าหยงเยี่ยหลิวกวงเป็นจักรพรรดิที่เด็ดขาดเพียงไร
น่าเสียดายที่ความเด็ดขาดและความโหดเหี้ยมของเขากลับไม่มีประโยชน์เมื่อต้องเผชิญหน้ากับซูเฉิน
ไม่ว่าจะพลังจิตหรือลิ้นยักษ์นั้น ทั้งสองอย่างก็หายวับไปทันทีที่เข้าใกล้ซูเฉินราวกับว่าตรงนั้นมีปากขนาดมหึมหาที่คอยกลืนกินสิ่งใดก็ตามที่เข้าใกล้ชายหนุ่ม
เมื่อหยงเยี่ยหลิวกวงเห็นว่าการโจมตีครั้งแรกไม่เป็นผล เขาก็เตรียมลงมืออีกครั้งพร้อมกันกับที่เสียงหนึ่งร้องขึ้น “ระวังด้วยฝ่าบาท ! เขาใช้เกราะป้องกันพลังสูญรอบตัว หนำซ้ำยังเปลี่ยนทุกการโจมตีที่เข้าใกล้ให้เป็นพลังสูญในระดับที่ต่างออกไป !”
สิ้นเสียงนั้นแสงประหลาดก็ปรากฏขึ้นที่ข้างซูเฉิน
แสงอันผันผวนนี้บอบบางยิ่งนัก แต่สีหน้าของซูเฉินกลับเปลี่ยนไปทันทีที่เขาสังเกตเห็นคลื่นจาง ๆ นั้น
ใบหน้าของซูเฉินซีดลงก่อนที่จะกระอักเลือดออกมา
ผู้เห็นเหตุการณ์ต่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น มีเพียงซูเฉินเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้างในช่วงเวลาเพียงไม่กี่อึดใจนั้น
อย่างแรกสุดก็คือ ซูเฉินใช้เกราะพลังสูญเพื่อสร้างเกราะป้องกันขึ้น และแยกตัวเองออกมาให้พ้นจากการโจมตี เกราะพลังสูญนั้นถูกสร้างขึ้นจากหนังของวาฬยักษ์ที่เป็นจักรพรรดิอสูรทะเลและเงินดาราสูญ และเพราะเจียงหานเฟิงอยู่ตรงนั้น เขาจึงไม่จำเป็นต้องใช้กฎแห่งพลัง เกราะชั้นเลิศนี้มีความสามารถในการสร้างกำแพงพลังสูญขึ้นรอบตัวชายหนุ่มเพื่อแยกทุกการโจมตีออกไป
การป้องกันในลักษณะนี้นั้นเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน ไม่เพียงการโจมตีด้วยพลังสูญชนิดอื่น ๆ เท่านั้นที่จะทำให้มันสะท้านได้
แต่เพราะเกราะป้องกันพลังสูญนี้เอง ผู้ที่อยู่ด้านในเกราะจึงแทบไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เช่นกัน
ถึงกระนั้นซูเฉินก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้แต่อย่างใด หากการโจมตีด้วยพลังสูญสามารถทะลวงเกราะกำบังได้ เขาก็สามารถหนีไปด้วยวิชาพลังสูญอยู่ดี
และด้วยความเชี่ยวชาญในการใช้วิชาภูติลั่นแสงแล้ว การจะหนีไปจากตรงนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย
ทว่าขณะที่เขากำลังจะทำเช่นนั้น…ปัญหาอีกอย่างหนึ่งก็บังเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น
พลังประหลาดปรากฏขึ้นในมวลอากาศ
คลื่นพลังนั้นทำให้การเชื่อมต่อของวิชาภูติลั่นแสงรวนไปหมด หากไม่ใช่เพราะซูเฉินมีปฏิกิริยากับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างทันท่วงที และหยุดการเคลื่อนกายได้ทันเวลา เขาคงส่งร่างของจูเซียนเหยาไปในมิติพลังสูญไปแล้ว ซึ่งตัวชายหนุ่มเองคงจะไม่เป็นอะไร แต่จูเซียนเหยานั้นไม่รอดชีวิตแน่ บาดแผลที่ซูเฉินได้รับนั้นเกิดจากการสะท้อนกลับเพียงเล็กน้อยเท่านั้นจากการที่เขาฝืนยุติการเคลื่อนกาย
มันเกิดขึ้นก็เพราะมีใครบางคนกำลังรบกวนนั่นเอง
ผู้ที่เข้ามาแทรกแซงนั้นมีความเข้าใจในเรื่องกฎของพลังสูญที่ด้อยกว่าซูเฉิน ดังนั้นในสถานการณ์ปกติแล้วก็จะไม่ส่งผลใด ๆ กับชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย แต่ในตอนนี้เขามีจูเซียนเหยาอยู่นอ้อมแขน และกำลังพานางเคลื่อนกายไปด้วยกัน ทำให้เพิ่มความยากลำบากขึ้นอีกไม่น้อย
ภายใต้สถานการณ์ในตอนนี้ ซูเฉินจึงจำเป็นต้องถอยกลับมาที่เดิม
ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นในพื้นที่ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ หากมองดูเผิน ๆ ก็จะดูเหมือนว่าการโจมตีของหยงเยี่ยหลิวกวงนั้นไม่ได้เกิดผลใด ๆ แต่ซูเฉินกลับได้รับบาดเจ็บจากสิ่งลึกลับบางอย่าง
มีเพียงซูเฉินเท่านั้นที่รู้ว่ามีอันตรายใดเกิดขึ้นบ้าง
“เค่อเหลยซือต๋า !” ซูเฉินปาดเลือดที่มุมปากขณะพึมพำชื่อนั้นขึ้น
เค่อเหลยซือต๋าปรากฏกายขึ้นตรงหน้าซูเฉินประหนึ่งผีสาง
กฎแห่งพลังสูญ !
เค่อเหลยซือต๋าได้ทำความเข้าใจกฎแห่งพลังสูญมาบ้างแล้วเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นแล้วเขาคงไม่สามารถแทรกแซงการเคลื่อนกายของซูเฉินได้
เค่อเหลยซือต๋าหัวเราะ “เจ้าไม่คิดว่าจะเป็นข้าละสิซูเฉิน ข้าเองก็เรียนรู้กฎแห่งพลังสูญด้วยเหมือนกัน ทั้งหมดนี่ก็ต้องขอบคุณเจ้านะ ถ้าคราวนั้นเราไม่ได้ไล่ลากัน ข้าก็คงพัฒนาไม่ได้เร็วเช่นนี้”
ซูเฉินเคยใช้วิชาภูติลั่นแสงเพื่อป้องกันเค่อเหลยซือต๋าไม่ให้เข้ามาใกล้เกินไป
แต่ถึงกระนั้นมันก็เหมือนการชี้โพรงให้กระรอก
ในระหว่างการไล่ล่าครั้งนั้น เค่อเหลยซือต๋าได้เรียนรู้บางอย่างจากกฎแห่งพลังของซูเฉินด้วย
จากนั้น เค่อเหลยซือต๋าก็ใช้เวลาไปกับการทำความเข้าใจกฎนั่น
เขาเองเป็นถึงปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนานแล้ว ด้วยการศึกษาอย่างขยันขันแข็ง เค่อเหลยซือต๋าจึงสามารถเข้าใจกฎแห่งพลังสูญได้ไม่ยาก นอกจากนั้นแล้ว เขาก็ยังเลือกที่จะแทรกแซงในช่วงเวลาสำคัญ เพื่อขัดขวางไม่ให้ซูเฉินหนีไปพร้อมกับจูเซียนเหยา
“เฮอะ !” ซูเฉินขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ว่าข้าไม่คาดคิดหรอก แต่เจ้าไม่ควรค่าแก่การที่จะนึกถึงอยู่แล้วต่างหาก”
“ซูเฉิน นี่เจ้ากำลังจะทำอะไรกันแน่” หยงเยี่ยหลิวกวงยืนขึ้นและทุบกำปั้นลงบนโต๊ะอย่างแรง
“ก็เห็นอยู่นี่ว่าข้ากำลังจะพานางไปด้วย” เมื่อการเคลื่อนกายถูกขัดขวางไว้ ซูเฉินจึงไม่รีบร้อนอีกต่อไป “แต่ฝ่าบาทได้โปรดมั่นใจเถอะว่าข้าแค่พานางไปเร็วกว่ากำหนดเท่านั้น ข้าจะยังคงทำตามที่รับปากไว้อย่างแน่นอน”
หยงเยี่ยหลิวกวงตอบกลับด้วยสีหน้าทะมึน “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเจ้าอย่างนั้นหรือ”
แต่ซูเฉินกลับตอบว่า “ท่านคิดว่าข้าจำเป็นต้องให้ท่านเชื่อข้าหรือ”
อะไรนะ
ทั้งหยงเยี่ยหลิวกวงและเค่อเหลยซือต๋าต่างก็ตกตะลึงในกับคำตอบนั้น
ซูเฉินกล่าวต่อไป “ท่านคิดจริง ๆ หรือว่าจะหยุดข้าได้ถ้าข้าจะไป ข้าก็แค่จะไปอย่างสงบเท่านั้น ดูเหมือนว่าตอนนี้ความสงบของข้าจะถูกทำลายเสียแล้วสิ”
เขาเหลือบมองเค่อเหลยซือต๋าและหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น “การที่เจ้าสามารถซุ่มโจมตีข้าได้ก่อนหน้านี้คงทำให้เจ้าประมาทข้าสินะ ลองดูซิว่าตอนนี้จะยังหยุดข้าได้ไหม”
สีหน้าของเค่อเหลยซือต๋าเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด “อย่าได้คิดหนีเชียว !”
กฎแห่งพลังอันเต็มประสิทิภาพถูกปล่อยโจมตีออกไปอย่างร้ายกาจ รอบตัวซูเฉินเริ่มปรากฏเป็นคลื่นบาง ๆ ขึ้นอีกครั้ง ซึ่งทำให้การเคลื่อนกายของซูเฉินกับจูเซียนเหยาไม่สามารถเกิดขึ้นได้
ทว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ซูเฉินคิดจะทำตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เขาชักดาบออกมาจากฝัก !
ดาบไร้แสงนั่นเอง
จากนั้นจึงฟันมันออกไป
คมดาบทำให้เกิดความผันผวนขึ้นในบริเวณนั้น และรอยแยกก็พลันปรากฏขึ้นในอากาศ
รอยแยกเริ่มขยายขนาดขึ้นเรื่อย ๆ ฝ่ายเค่อเหลยซือต๋าคิดว่าซูเฉินกำลังพยายามจะใช้กฎแห่งพลังสูญเพื่อหนีไป จึงพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะปิดรอยแยกนั้น
ทันใดนั้นพลังอันน่าทึ่งก็ปะทุขึ้นจากรอยแยก…
พลังนี้ลึกซึ้งและยิ่งใหญ่นัก ทันทีที่มันแผ่ขยายออกไปทั่วบริเวณโดยรอบ หยงเยี่ยหลิวกวงกับเค่อเหลยซือต๋าต่างก็เกิดความรู้สึกตามสัญชาติญาณที่อยากจะกราบไหว้บูชาพลังอันยิ่งใหญ่นี้เหลือเกิน
“นี่มัน…”
ทว่าในไม่ช้าทั้งสองก็ต้องผงะเมื่อมีมือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากรอยแยกนั่น
มือนั้นเรียวยาวและดูบอบบางราวกับหยก…
มันปรากฏขึ้นท่ามกลางมวลอากาศที่ว่างเปล่า
คลื่นพลังที่ทรงอานุภาพจนน่าตกใจพวยพุ่งออกมาจากมือนั้น
ตู้ม !
พลังนั้นกระจายตัวออกไปทั่วทั้งพระราชวัง แม้ว่ามันจะถูกสร้างขึ้นด้วยวัสดุที่มั่นคงแข็งแรงเหลือเกิน แต่ทั้งวังนั้นก็สั่นสะท้านอย่างแรงหลังจากการปะทุของพลังดังกล่าว อันที่จริงแล้วทั้งโถงหลักของวังที่หยงเยี่ยหลิวกวงยืนอยู่นั้นแทบจะระเบิด และแม้แต่หลังคาก็ยังแตกเสียด้วยซ้ำ
“กรรร !”
เสียงคำรามดังก้องไปทั่วฟ้าราวกับว่าอสุรโบราณกำลังใกล้เข้ามา เสียงนี้ทำให้ผู้ที่ได้ยินอดเสียขวัญไม่ได้
ชาวปักษาจำนวนหนึ่งที่พลันร่วงลงมาจากท้องฟ้าด้วยความหวาดกลัว
ปักษาทั้งหลายต่างคุกเข่าลงกับพื้นและร้องเรียกให้พระแม่ของพวกเขาช่วยคุ้มครอง
หยงเยี่ยหลิวกวงกับเค่อเหลยซือต๋านั้นได้รับผลกระทบมากกว่า
ทั้งสองมองดูหญิงสาวนางหนึ่งปรากฏกายและก้าวออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่า นางสวมชุดเกราะเวหาและมีภาพฉายของมังกรสุริยะส่องสว่างอยู่เบื้องหลัง หญิงสาวยืนอยู่บนหลังของม้าน้ำพลังสูญและลอยอยู่กลางอากาศอย่างนั้น
ม้าน้ำพลังสูญนั้นเป็นจักรพรรดิอสูรทะเล !
หยงเยี่ยหลิวกวงร้องขึ้น “กู่ชิงลั่วหรือ”
เค่อเหลยซือต๋าก็อุทานขึ้น “สายเลือดเทพอสูรบรรพกาลหรือนี่”
ด้วยสติปัญญาและประสบการณ์ของทั้งคู่แล้วจึงไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
อย่างที่ซูเฉินบอก….เขาได้พยายามให้การแก้ไขสถานการณ์นี้เป็นไปอย่างสงบแล้วจริง ๆ
ทว่าการแทรกแซงของเค่อเหลยซือต๋าทำให้ชายหนุ่มต้องแสดงอานุภาพของตัวเองออกมา
และอานุภาพของซูเฉินก็น่าครั่นคร้ามเหลือเกิน
ณ เวลานี้ ไม่มีรังสีพลังของใครที่จะเทียบได้กับกู่ชิงลั่วอีกแล้ว
อานุภาพของเทพอสูรบรรพกาลที่มากพอจะทำให้จักรพรรดิอสูรทะเลต้องสะท้านได้นั้นทรงพลังและเรียกได้ว่าเป็นฝันร้าย อีกทั้งม้าน้ำพลังสูญก็ยังทำให้นางเคลื่อนที่ไปได้ทุกแห่งหนที่ปรารถนาด้วย
ที่ซูเฉินฟันดาบออกไปนั้นก็เพื่อบอกตำแหน่งที่อยู่นั่นเอง
เมื่อกู่ชิงลั่วปรากฏกายขึ้น ซูเฉินก็กล่าวว่า “ในเมื่อเรามาไกลถึงขนาดนี้แล้ว ข้าก็ไม่อยากเสียโอกาสนี้ไป”
พูดจบชายหนุ่มก็ฟันดาบออกไปอีกครั้ง คราวนี้เป้าหมายคือเค่อเหลยซือต๋า
เค่อเหลยซือต๋ามีความเข้าใจในกฎแห่งพลังสูญอยู่บ้าง เขาจึงสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวในการโจมตีของซูเฉินในทันที สิ่งเดียวที่เขาทำได้ในตอนนี้ก็คือพยายามใช้พลังชีวิต
แต่เขาไม่ใช่ผู้ฝึกตนด่านมหาราชันที่มีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งอย่างจงเจิ้นจวิน ชาวอาร์คาน่านั้นมีร่างกายที่อ่อนแอเหลือเกิน หากเค่อเหลยซือต๋าปล่อยให้ตัวเองรับการโจมตีนี้ ร่างของเขาคงถูกสับเป็นชิ้น ๆ และสิ้นลมในไม่ช้า
ดังนั้นเค่อเหลยซือต๋าจึงพยายามหลบหลีกคมดาบของซูเฉินทันที
ทว่าขณะที่เขากำลังจะเคลื่อนกายหนีไปนั้น กระแสพลังจำนวนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นข้าง ๆ
กระแสพลังในคราวนี้เป็นฝีมือของซูเฉิน
ฝ่ายซูเฉินนั้นไม่ได้พยายามที่จะหนีอีกต่อไป และยืนนิ่งอยู่หลังเกราะกำบังของตน เมื่อไม่มีจูเซียนเหยาเป็นภาระแล้ว เขาจึงสามารถกดเค่อเหลยซือต๋าด้วยพลังสูญของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์
เค่อเหลยซือต๋ารู้ว่าตัวเองกำลังตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว เขาทำได้เพียงใช้วิชาความว่องไว และกลายร่างเป็นลำแสงพุ่งตัวออกไปสุดขอบฟ้า
แต่ถึงกระนั้น คมดาบฝ่ามิติก็ยังตามเขาไปติด ๆ …
ฟึ่บ
เลือดสด ๆ สาดกระเซ็นกระจายไปในอากาศ
ขาข้างหนึ่งของเค่อเหลยซือต๋าร่วงลงมาจากฟ้า
“อ๊าก !” ชายหนุ่มกรีดร้องอย่างเจ็บปวด พร้อมกับรีบใช้วิชาเพื่อให้กำเนิดแขนขาออกมาใหม่อย่างรวดเร็ว
วิชานี้เร็วเสียยิ่งกว่าการปล่อยให้ขาของเขางอกออกมาเองอีก ซึ่งก็ต้องใช้พลังชีวิตไปมากด้วยเช่นกัน แต่ด้วยสถานการณ์แล้ว เค่อเหลยซือต๋าก็ไม่มีทางเลือกอื่นสักเท่าไร
โชคไม่ดีนักที่แม้ว่าขาที่ถูกตัดขาดนั้นจะงอกออกมาใหม่ได้ แต่คมดาบฝ่ามิติของซูเฉินก็ยังคอยตามติดเขาอยู่ดี
เค่อเหลยซือต๋าทำได้เพียงพยายามหลบมันอย่างเดิม
วิชาสุเมรุสูญปรากฏขึ้น
การเคลื่อนไหวของเค่อเหลยซือต๋าถูกขัดขวางอีกครั้ง รวมทั้งความเร็วพลันลดลงในทันใด คมดาบฝ่ามิติสามารถจัดการกับขาของเขาได้เป็นครั้งที่สอง !
เวลานี้ เค่อเหลยซือต๋าเข้าใจในสิ่งที่จงเจิ้นจวินต้องเผชิญขึ้นมาในทันที
ทั้งสองต่างก็เป็นผู้ที่ทรงพลังที่สุดในพรรคพวกของตัวเอง
แต่พวกเขากลับไม่ต่างอะไรกับปลาบนเขียงเมื่อต้องเผชิญหน้ากับซูเฉิน อีกทั้งยังต้องมาถูกเขาหั่นเป็นชิ้น ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้
โชคไม่ดีเลยจริง ๆ ที่หยงเยี่ยหลิวกวงไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้ อิทธิฤทธิ์ของกู่ชิงลั่วทำให้ชาวปักษาไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้ และหยงเยี่ยหลิวกวงก็กำลังพยายามดิ้นหลุดออกมาจากพันธนาการนั้นอย่างสุดความสามารถ
“ซูเฉิน หยุดเล่นได้แล้ว ! ข้าสัมผัสได้ว่ามีพลังที่แข็งแกร่งกำลังมุ่งหน้ามาทางเรา” กู่ชิงลั่วตะโกนขึ้น
“คงจะเป็นโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยน ไม่เป็นไรหรอก เรามีเวลามากพอ ถ้าเราไม่จัดการกับเค่อเหลยซือต๋า เขาจะต้องพยายามขัดขวางข้าอีกแน่” ซูเฉินตอบ
พูดจบก็ฟันดาบออกไปอีกครั้ง
“ข้าไม่โจมตีหรอก !” เค่อเหลยซือต๋าร้องขึ้นสุดเสียง
ในเวลาเพียงชั่วพริบตานั้น เค่อเหลยซือต๋าเสียขาของตนไปแล้วถึงเจ็ดครั้งด้วยกัน
ในตอนแรกนั้นมันอาจเป็นเพียงความบังเอิญ แต่หลังจากนั้นซูเฉินก็เริ่มจับทางได้ และเลือกที่จะตัดขาเขาซ้ำ ๆ ต่อไปแทน
โถงแห่งนั้นมีท่อนขากระจัดกระจายอยู่ทั่ว
เมื่อซูเฉินได้ยินเสียงร้องของเค่อเหลยซือต๋า เขาก็หยุดคิดก่อนจะกล่าวออกไปว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไว้ชีวิตเจ้า”
พูดจบชายหนุ่มก็เก็บดาบเข้าฝัก
เค่อเหลยซือต๋าถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ทว่าทันทีที่เขาผ่อนคลายลง ซูเฉินก็พลันพูดขึ้นอีกว่า “อันที่จริง…ข้าคิดว่าคงจะดีกว่าถ้าเจ้าตายไป”
เขายกมือขึ้นและหงส์เพลิงก็ปรากฏกายให้เห็น มันพุ่งตัวเข้าใส่เค่อเหลยซือต๋าและห่อหุ้มเขาเอาไว้ด้วยลูกไฟลุกโชน……