บทที่ 77 สวนกระแส
ในวันนี้ หยงเยี่ยหลิวกวงพบกับความเดือดร้อนอย่างหนักหนาสาหัสที่สุดในชีวิต
ในการประลองกับซูเฉินก่อนหน้านี้ เขาต้านทานกับแรงกดดันที่น่าเหลือเชื่อ อีกทั้งยังรับมือกับซูเฉินที่โอหังเหลือเกิน และบังคับให้เขามาทำงานภายใต้ความควบคุมของตัวเองจนได้
วันนั้นคือที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว…
หลังจากนั้นหยงเยี่ยหลิวกวงก็คาดว่าซูเฉินคงไม่ยอมก้มหัวให้ง่ายดายถึงเพียงนั้น เขาอาจวางแผนสร้างเรื่องขึ้นอีกก็ได้
หยงเยี่ยหลิวกวงใช้เวลามากพอสมควรในการพยายามคาดเดาถึงสิ่งที่ซูเฉินจะทำ
แต่กระนั้นก็ยังมีความเป็นไปได้อย่างหนึ่งที่เขาอาจไม่ได้นึกถึงเลยตั้งแต่แรก ซึ่งก็คือจับกุมโดยใช้ความรุนแรงนั่นเอง
ไม่แปลกเลยที่ความคิดของหยงเยี่ยหลิวกวงจะเป็นไปตามความคุ้นชินของตนเอง
คนที่มักคิดแก้ปัญหาด้วยความรุนแรงก็จะหาทางแก้สถานการณ์ที่ซับซ้อนเช่นนี้ได้ยากเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
และคนที่มักคิดมากและแก้ปัญหาด้วยสมองนั้นก็มักมีข้ามความเป็นไปได้ง่าย ๆ อยู่เสมอเช่นกัน
หยงเยี่ยหลิวกวงประมาทในความแข็งแกร่งและเด็ดขาดของซูเฉิน ทำให้ซูเฉินจัดการกับเขาได้ง่ายมากขึ้น
หากโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนอยู่ตรงนั้นด้วย ซูเฉินคงไม่มีทางพาจูเซียนเหยาไปได้ง่าย ๆ แน่
น่าเสียดายที่การก้าวพลาดเพียงครั้งเดียวก็ทำให้เขาต้องเสียโอกาสทั้งหมดไปเสียแล้ว
ณ ตอนนั้น หยงเยี่ยหลิวกวงยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากกู่ชิงลั่ว และหลังจากที่ซูเฉินสังหารเค่อเหลยซือต๋าแล้ว เขาก็หัวเราะลั่นและกล่าวว่า “หยงเยี่ยหลิวกวง ข้าจะไม่มีวันลืมความกรุณาที่ท่านมีต่อภรรยาของข้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ข้อตกลงของเรายังคงมีผลอยู่ และข้าก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะเอาวิญญาณอำมฤตมาให้ฝ่าบาทอย่างที่ข้าเคยรับปากไว้”
อะไรนะ
หยงเยี่ยหลิวกวงผงะ
ร่างของซูเฉินพลัยหายวับไป ก่อนที่เขาจะปรากฏกายขึ้นอีกครั้งถัดไปจาดกู่ชิงลั่ว “ได้เวลาแล้ว ไปกันเถอะ !”
ทั้งสามและอสูรร้ายหายวับไปในอากาศอย่างไร้ร่องรอย
หยงเยี่ยหลิวกวงยังคงมองจุดที่ซูเฉินเพิ่งหายไป… เขายังคงสับสนและพูดไม่ออก
“ฝ่าบาท เกิดอะไรขึ้น”
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนเพิ่งมาถึง ณ ที่เกิดเหตุ เมื่อเห็นถึงความยุ่งเหยิงในพระราชวังก็ถึงกับตะลึง
แต่หยงเยี่ยหลิวกวงไม่ตอบคำถามนั้น เขาหันไปมองดวงตาไห่เสินที่ตั้งอยู่ไม่ไกลออกไปที่เบื้องหลัง
“ดวงตาไห่เสินหรือ” โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนเห็นมันก็ร้องขึ้นด้วยความอัศจรรย์ใจ
สายตาจองหยงเยี่ยหลิวกวงยังคงจับจ้องอยู่ที่ดวงตาไห่เสินขณะที่พึมพำขึ้นกับตัวเอง “เมื่อครู่เขาเพิ่งอยู่ตรงนี้แท้ ๆ…”
“ใครกันหรือ” โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนถาม
“เขาเอาดวงตาไห่เสินไปด้วยก็ยังได้” หยงเยี่ยหลิวกวงยังคงพึมพำกับตัวเองต่อไป “แต่เขาไม่ทำ… หรือว่าเจ้านั่นกำลังพูดความจริง แต่ทำไมกัน… ทำไมเขาถึงทำแบบนั้น”
หยงเยี่ยหลิวกวงพึมพำกับตัวเองไปเรื่อย
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนรีบตรงเข้ามาช่วยพยุงร่างของหยงเยี่ยหลิวกวงที่ทรุดลงบนเก้าอี้ราวกับชายชราที่ไร้เรี่ยวแรง “ทำไมกัน ทำไมข้าถึงคิดไม่ออกเลย !”
นี่เป็นครั้งแรกที่โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนได้เห็นหยงเยี่ยหลิวกวงเพ้อเช่นนี้
หนึ่งชั่วยามจากนั้น สิ่งที่หยงเยี่ยหลิวกวงคิดไว้ก็ได้รับการยืนยัน…
ซูเฉินส่งสารมาบอกว่าข้อตกลงระหว่างเขากับเผ่าปักษานั้นยังไม่เป็นโมฆะ และเขาจะทำอย่างสุดความสามารถเพื่อให้สิ่งที่รับปากไว้สำเร็จให้ได้
หรือก็คือ ซูเฉินมาที่นี่เพื่อรับตัวจูเซียนเหยาไปก่อนเวลาก็เท่านั้น
แน่นอนว่าหากเขาบอกหยงเยี่ยหลิวกวงตั้งแต่แรกถึงแผนการนี้ หยงเยี่ยหลิวกวงก็คงไม่เชื่อแน่
ดังนั้นแล้วซูเฉินจึงทำได้เพียงใช้ความรุนแรงเท่านั้น
และตอนนี้ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่หยงเยี่ยหลิวกวงจะต้องสงสัยในคำพูดของซูเฉินอีกแล้ว
สิ่งเดียวที่เขาไม่เขาใจเลยก็คือสาเหตุที่ซูเฉินเลือกทำเช่นนี้
“ทำไมเจ้าถึงยังช่วยเขาเอาวิญญาณอำมฤตมาอีกล่ะ” จูเซียนเหยาถามขึ้นด้วยท่าทางไม่ค่อยพอใจนัก
แม้ว่าเผ่าปักษาจะดูแลนางเป็นอย่างดีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่จูเซียนเหยาก็อยู่ที่นั่นในฐานะตัวประกันอยู่ดี ไม่ว่านางจะไปที่ใด ก็จะต้องมีคนคอยควบคุมเสมอ และยังไม่ได้รับอนุญาตให้ทำอะไรหลาย ๆ อย่างอีกด้วย จูเซียนเหยาไม่สามารถมีคนสนิทคอยติดตามอยู่เคียงข้างได้ด้วยซ้ำ ไม่แปลกเลยที่นางจะรู้สึกว่าชีวิตในช่วงนั้นยากลำบากนัก
ด้วยเหตุนี้ ความคิดที่จูเซียนเหยามีต่อชาวปักษาจึงไม่ค่อยดีนัก
แต่นางก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมซูเฉินถึงได้สนใจทำตามข้อตกลงนั้นนัก
“เจ้าจะเชื่อไหม หากข้าบอกว่าข้าคือคนที่หนักแน่นในคำสัญญาของตัวเอง” ซูเฉินหัวเราะ
จูเซียนเหยากลอกตา “พี่ใหญ่ชิงลั่ว ท่านคิดว่าสามีของเราเป็นคนอย่างนั้นไหมล่ะ”
แม้ว่ากู่ชิงลั่วกับจูเซียนเหยาจะรู้จักกัน แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้พบหน้ากันจริง ๆ จูเซียนเหยารู้ดีว่าต้องทำตัวอย่างไร นางจึงเรียกกู่ชิงลั่วว่า ‘พี่ใหญ่’ เพราะนอกจากกู่ชิงลั่วจะเป็นฝ่ายที่พบซูเฉินก่อนจูเซียนเหยา แต่ก็ยังเป็นผู้ติดตามซูเฉินมาช่วยนางไว้ด้วย ซึ่งนั่นทำให้นางรู้สึกขอบคุณไม่น้อย นอกจากนั้นแล้วสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลของกู่ชิงลั่วก็ยังไม่ได้ด้อยไปกว่าสายเลือดของจูเซียนเหยาเลยแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นการเรียกกู่ชิงลั่วว่าพี่ใหญ่จึงไม่ได้เป็นการเสียหน้าแต่อย่างใด
จูเซียนเหยาเอาอกเอาใจคนเก่งอยู่แล้ว นางกับกู่ชิ่งลั่วจึงเข้ากันได้ค่อนข้างดีทีเดียว
เมื่อได้ยินคำถามของจูเซียนเหยา กู่ชิงลั่วก็หัวเราะ “ก็ขึ้นอยู่กับว่าเขารับปากอะไรไว้ ถ้าสิ่งที่รับปากนั้นคือการเอาตัวลูกสาวคนโตของใครบางคนมา เขาก็คงรักษาคำพูดอยู่แล้วล่ะ แต่หากสิ่งที่รักปากนั้นคือการขโมยสมบัติของคนอื่น โดยที่ตัวเองไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย… นั่นน่ะ… ก็ไม่แน่นักหรอก”
ซูเฉินยิ้มแหย “อะไรกัน ข้ายังเป็นปราชญ์ของมนุษยชาติอยู่นะ ความน่าเชื่อถือของข้ามันแย่ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
กู่ชิงลั่วตอบ “จรรยาบรรณส่วนรวมกับจรรยาบรรณส่วนตัวมันต่างกันนะ แค่เพราะเจ้าไม่มีอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ได้แปลว่าเจ้าจะมีอีกอย่างหนึ่งนี่”
ซูเฉินสัมผัสหน้าผากของนางอย่างเบามือ “เจ้ามีพัฒนาการด้วยสินะ”
จากนั้นจึงหันมาหาจูเซียนเหยา “เอาละ เซียนเหยา เจ้าคิดว่าเพราะอะไรข้าถึงทำเช่นนี้”
จูเซียนเหยาหยุดคิดก่อนจะตอบซูเฉินกลับไป “ข้าไม่รู้หรอกว่าเพราะอะไร แต่ข้ารู้ว่าทุกการลงทุนของท่านจะต้องมีผลตอบแทนกลับมาเป็นสิบเท่าเสมอ ท่านคิดจะยึดเมืองล่องนภาหรือ”
ซูเฉินส่ายหน้า “เมืองล่องนภาเป็นของเผ่าปักษา และมันก็เชื่อมโยงกับสายเลือดของพวกนั้นอย่างใกล้ชิด ข้าจะไปยึดเอาเมืองล่องนภามาด้วยการควบคุมแก่นนั่นก็คงไม่ได้ เป้าหมายที่แท้จริงของข้าก็คือทะเลพลังต้นกำเนิด”
“ทะเลพลังต้นกำเนิดหรือ ?” ทั้งกู่ชิงลั่วและจูเซียนเหยาพูดขึ้นพร้อมกันด้วยความประหลาดใจ
“ใช่แล้ว ทะเลพลังต้นกำเนิดคือที่ที่พลังทุกระดับมาบรรจบกัน และเป็นแหล่งของพลังงานทุกชนิด มันเป็นที่ที่ลึกลับและลึกซึ้งที่สุดซึ่งมีอยู่ นี่แหละคือข้อสรุปที่ข้าได้จากการอยู่ในแดนพลังสูญมานานหนึ่งปี” ซูเฉินตอบ
ในปีที่ซูเฉินใช้เวลาอยู่ในแดนพลังสูญเพื่อทำความเข้าใจกฎแห่งพลังสูญ และข้ามไปมาระหว่างพื้นที่ต่าง ๆ นั้นยังทำให้ชายหนุ่มเกิดความเข้าใจในจักรวาลมากขึ้นด้วย ความลับหลายอย่างของจักรวาลได้ถูกเปิดเผยต่อเขาในช่วงนี้เอง
คำถามอย่าง ‘ทำไมพลังต้นกำเนิดบนทวีปต้นกำเนิดถึงได้หายไป’ และ ‘ขอทานชราคนนั้นเป็นใคร’ ได้กระจ่างแจ้งต่อซูเฉินแล้ว
ความฝันของชายหนุ่มในอดีตก็คือการก่อตั้งเส้นทางการฝึกตนโดยไร้สายเลือด ขณะที่กำลังทำตามความฝันนั้น ความรู้ของเขาก็กว้างขวางมากขึ้น เป็นธรรมดาที่ซูเฉินจะเริ่มสนใจในความลับอันลึกซึ้งในการครองจักรวาลด้วย
และทะเลพลังต้นกำเนิดก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ซูเฉินเริ่มทำความเข้าใจ
เพราะมันคือแหล่งที่มาของพลังทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกใบนี้ และเป็นจุดกำเนิดของพลังทุกชนิด
ซูเฉินจึงปรารถนาจะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับมัน
และสถานที่เดียวในทวีปต้นกำเนิดที่เชื่อมต่อกับทะเลพลังต้นกำเนิดก็คือเมืองล่องนภานั่นเอง
ในอดีตนั้น ซูเฉินไม่ได้สนใจที่นี่มากถึงเพียงนี้ แต่เมื่อมีความรู้มากขึ้น ชายหนุ่มก็เริ่มรู้ถึงความน่าทึ่งของสิ่งนี้ได้
มันไม่เพียงทำให้เมืองล่องนภาไร้เทียมทาน แต่ยังเปิดเส้นทางสู่แหล่งพลังอีกด้วย
เพื่อที่จะไล่ตามที่ต้องการต่อไปได้ ซูเฉินจึงต้องพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อทำในสิ่งที่ได้รับปากไว้ให้สำเร็จ
เมื่อรู้แล้วว่าเป้าหมายของซูเฉินคืออะไร หญิงทั้งสองก็ถึงกับพูดไม่ออก
กู่ชิงลั่วกล่าวด้วยความเป็นกังวล “ข้ารู้ว่าท่านต้องการไปถึงจุดสูงสุดอยู่เสมอ แต่ข้าเป็นห่วงว่าวิสัยทัศน์ของท่านในครั้งนี้จะไกลเกินไปจนท่านไม่เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตัวเองเสียแล้ว”
ซูเฉินสัมผัสได้ถึงความกังวลของนางและหัวเราะขึ้น “เส้นทางสู่จุดสูงสุดน่ะไม่มีวันจบสิ้นหรอก แต่ในขณะที่ข้ายังมุ่งหน้าต่อไปเรื่อย ๆ ข้าก็จะจับมือเจ้าทั้งสองคนไปด้วย ข้าไม่มีวันมองข้ามเรื่องนี้แน่”
พูดจบซูเฉินก็จับมือทั้งสองและดึงนางเข้ามากอดไว้
ทั้งสามคนนั่งอยู่บนหลังของม้าน้ำพลังสูญ ซูเฉินโอบหญิงคนรักทั้งสองไว้ขณะมองดูทิวทัศน์ที่งดงามเบื้องหน้า
จูเซียนเหยาไม่ได้พบกับซูเฉินมานาน และนางก็ปรารถนาในตัวเขาเหลือเกิน หากกู่ชิงลั่วไม่อยู่ตรงนั้น นางคงเริ่มรุกเข้าหาซูเฉินไปแล้ว
ทว่าซูเฉินนั้นกลับไม่ได้คิดถึงเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย เขาโน้มตัวเข้ามาแทน
จูเซียนเหยารู้สึกอับอายเหลือเกิน “อย่านะ !”
ซูเฉินหัวเราะ “เจ้าทั้งสองคนเป็นภรรยาข้า จะเป็นไรไปล่ะ ไม่ว่าช้าหรือเร็วมันก็จะต้องเกิดขึ้นอยู่ดี”
พูดจบเขาก็โบกมือ ไอหมอกพวยพุ่งขึ้นห่อหุ้มทั้งสามร่างไว้ภายใน เกิดอะไรขึ้นเบื้องหลังม่านหมอกนั้นไม่มีใครรู้ มีเพียงเสียงครวญครางอันเสนาะหูที่เล็ดลอดออกมาจากมวลเมฆเป็นครั้งคราวเท่านั้น…
ซูเฉินกำลังเสวยสุขอยู่บนท้องฟ้าหลังจากการเดินทางอันยาวนานเพื่อช่วยชีวิตหญิงสาวในครอบครอง ขณะเดียวกันนั้น การต่อสู้ ณ อาณาจักรหลงซางก็ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
นิกายไร้ขอบเขตกับอาณาจักรหลงซางเป็นผู้เข้าร่วมหลักในการปะทะครั้งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ อาณาจักรหลงซางตกอยู่ในภาวะสงครามกลางเมืองมาโดยตลอด หลินเมิ่งเจ๋อกับหลินจุ้ยหลิวต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงบัลลังก์ ซึ่งทำให้ทั้งอาณาจักรวุ่นวายไปหมด
ภายใต้สถานการณ์ปกติ หลินเมิ่งเจ๋อควรจะปราบหลินจุ้ยหลิวได้อยู่หมัดแล้วด้วยกองทัพที่แข็งแกร่งของตน
แต่เพราะนิกายไร้ขอบเขตแทรกแซงเข้ามา อีกทั้งยังมีเรื่องเรื่องของหลงพั่วจวิน จึงทำให้หลินเมิ่งเจ๋อค่อนข้างลำบากทีเดียว หลังจากที่ไม่สามารถสังหารหลงพั่วจวินได้สำเร็จ หนำซ้ำยังได้รับบาดเจ็บสาหัส สถานการณ์ก็กลับมาอยู่เหนือการควบคุมของหลินเมิ่งเจ๋ออีกครั้ง ทำให้หลินจุ้ยหลิวมีโอกาสต่อไป
ถึงอย่างไรแล้วหลินเมิ่งเจ๋อก็ยังเป็นจักรพรรดิอยู่ดี ต้นไม้ใหญ่นั้นหยั่งรากลึก และหลังจากการต่อสู้แข่งขันมานานหลายปี หลินเมิ่งเจ๋อก็กลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบและผลักหลินจุ้ยหลิวออกไปจนเกือบพ้นทางได้ในที่สุด
ในทางตรงกันข้าม หลินเฉ่าเซวียนก็รับผิดชอบชายแดนทางใต้โดยได้นิกายไร้ขอบเขตช่วยไว้ ไม่ว่ากองทัพของหลินเมิ่งเจ๋อจะพยายามมากเพียงไร พวกเขาก็ไม่สามารถทะลวงการป้องกันไปได้ จนกระทั่งหมดหนทางไปเอง
หลินจุ้ยหลิวได้ขอความช่วยเหลือจากหลินเฉ่าเซวียนไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่หลินเฉ่าเซวียนก็ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า นิกายไร้ขอบเขตนั้นยังขาดคนและไม่สามารถส่งกำลังเสริมไปได้
มีเพียงกองทัพอาณาจักรหลงซางเท่านั้นที่ขัดแย้งกับนิกายไร้ขอบเขตอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่รู้ดีว่าคู่ต่อสู้ของตัวเองนั้นเป็นตัวปัญหามากเพียงใด
แม้ว่านิกายไร้ขอบเขตจะไม่ได้มีผู้ฝึกตนที่ระดับสูงมากไปกว่าหนึ่งหยิบมือ แต่ผู้ฝึกตนระดับกลางของพวกนั้นก็ถือว่าแข็งแกร่งมากทีเดียว
พวกเขาไม่เพียงมีผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารในจำนวนที่น่าตกใจเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าในกระเป๋าใบนั้นจะไร้ที่สิ้นสุด… ทำให้นิกายไร้ขอบเขตได้รับการสนับสนุนอย่างไม่จำกัดอีกด้วย
ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตไม่เคยส่งคนไปสู้คนเดียว พวกเขาจะเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ด้วยแนวรบ และจะพกสมบัติติดตัวไปมากมายในทุกคนที่ออกศึก เครื่องมือต้นกำเนิดระดับห้าขึ้นไปนั้น สามารถนำไปขายได้ในราคาที่มีค่าเท่ากับหลายล้านหินพลังต้นกำเนิดในโลกภายนอก แต่มันกลับเป็นของระดับทั่ว ๆ ไปเท่านั้นในหมู่ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตด้วยกัน และในหลาย ๆ ครั้งก็ยังถูกนำมาใช้ซ้ำอีกด้วย
ยาที่พวกเขาได้รับก็แตกต่างออกไปด้วยเช่นกัน ยาเหล่านั้นไม่ได้เป็นของเหลวเช่นยาน้ำ… หากแต่อยู่ในรูปแบบเม็ด
ยาเม็ดพวกนี้สามารถกลืนได้ง่ายและเห็นผลเร็วอย่างยิ่ง ไม่ว่าผลที่เห็นด้วยตานั้นจะเป็นอย่างไรก็ตาม ในหลาย ๆ ครั้งแล้ว ความแข็งแกร่งของศิษย์ผู้นั้นจะพุ่งกระฉูดทันทีที่ได้รับยาดังกล่าว นอกจากนั้นแล้ว พวกเขาก็ยังสามารถกินได้หลาย ๆ เม็ดพร้อมกันอีกด้วย จากนั้นก็ยังกินซ้ำได้หลังจากที่ฤทธิ์ของยาหมดไป
นิกายไร้ขอบเขตมีทั้งเงินและคนที่มากพอ และพวกเขาก็ยังยินดีและพร้อมยิ่งนักสำหรับการต่อสู้ !
กองทัพหลงซางประเมินนิกายไร้ขอบเขตไว้เช่นนี้
พวกเขาไม่ได้มีปรมาจารย์ผู้เก่งกาจที่จะสามารถจัดการกับทั้งกองทัพได้ แต่ก็ยังมีนักสู้ผู้แข็งแกร่งที่แทบจะคงกระพันอยู่กลุ่มใหญ่ ซึ่งคนกลุ่มนี้มักยืนหยัดอย่างมั่นคงในการต่อสู้ และยากยิ่งนักที่จะกำจัดออกไปได้
วันนี้ก็เช่นเดัยวกัน
ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตเข้าแถวเรียงกันอย่างเป็นระเบียบและรอการโจมตีที่กำลังจะมาถึง
พวกเขาไม่เคยเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อน แต่ชาวนิกายไร้ขอบเขตจะใช้ค่ายกลต้นกำเนิดเพื่อป้องกันตัว ซึ่งแม้ว่ามันอาจจะดูเสียศักดิ์ศรีไปสักหน่อย แต่ก็ถือว่ามีประสิทธิภาพมากทีเดียว
“ไอ้พวกสวะไร้ค่า ! ถ้าพวกเจ้าทำอย่างนั้นได้ก็ออกมาสู้กันซึ่ง ๆ หน้าสิ !” เหล่าทหารจากกองทัพหลงซางต่างส่งเสียงก่นด่าสาปแช่งนิกายไร้ขอบเขต
พวกเขาค่อนข้างจะคุ้นชินกับอะไรแบบนี้อยู่แล้ว เพราะทุก ๆ ครั้งที่ต่อสู้ก็จะต้องมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอยู่เสมอ หากกองทัพหลงซางสามารถล่อให้นิกายไร้ขอบเขตเริ่มโจมตีได้… นั่นก็จะเป็นการยิ่งดีสำหรับพวกเขา
ทั้งสองฝ่ายต่างผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะมาหลายหน ครั้งที่กองทัพหลงซานเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะนั้นมักจะเกิดขึ้นเพราะศิษย์นิกายไร้ขอบเขตไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป จึงได้โจมตีและทำให้ทั้งทัพต้องเสียกระบวน
แต่ในวันนี้ กลุ่มทหารที่ส่งเสียงก่นด่านั้นเพิ่งจะทำหน้าที่ได้ไม่นานเท่านั้นก็ได้รับการตอบรับเสียแล้ว “เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นเราก็จะสู้เดี๋ยวนี้เลย”
หืม ?
ทำไมวันนี้ถึงได้ทำเสร็จง่ายนักนะ ทหารหลงซางรู้สึกดีใจไม่น้อย
กองทัพหลงซางเตรียมพร้อมปลดปล่อยการโจมตี
“ก็มาเลย !”
“ถ้าจะสู้กันก็มาเลยสิ !”
ธงของกองทัพเริ่มโบกสะบัด
และแล้วสถานการณ์ก็พลันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว !