บทที่ 78 สถานการณ์ของสงคราม
ในวันนั้น หลินเมิ่งเจ๋อได้ทราบข่าวที่สุดแสนสะเทือนใจยิ่งนับตั้งแต่เกิดสงครามขึ้น
นั่นก็คือกองทหารที่ประตูเมฆาทางใต้ได้แตกพ่ายเสียแล้ว !
ทหารจำนวนเกือบครึ่งแสนในกองทัพถูกกำจัด ที่ยังไม่ตายนั้นก็ยอมแพ้ คนที่รอดชีวิตกลับมาในท้ายที่สุดมีจำนวนเพียงไม่ถึงหนึ่งพันคนเท่านั้น
สาเหตุที่ผลออกมาเป็นเช่นนี้ก็เพราะกองกำลังหลักของนิกายไร้ขอบเขตได้กลับมาแล้ว
หลี่ฉงซานเป็นผู้นำทัพและโจมตีฝ่ายของจักรพรรดิหลินเมิ่งเจ๋ออย่างหนัก
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา สถานการณ์ในอาณาจักหลงซางก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป กองทัพหลงซางต้องพ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในขณะที่นิกายไร้ขอบเขตกำลังเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ
ไม่มีใครรู้ว่าพลังที่แท้จริงของนิกายไร้ขอบเขตนั้นแข็งแกร่งเพียงใดในตอนที่พวกเขาออกเดินทางไปยังหุบเหว แต่หลังจากกลับมาในครั้งนี้ คนพวกนั้นก็ได้แสดงให้อาณาจักรมนุษย์ทั้งหลายได้เห็นกับตาแล้ว
ผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารจำนวนสองหมื่นคน และผู้ฝึกตนด่านผลาญจิตวิญญาณอีกจำนวนหลายพันคน จำนวนนี้ทำให้ทั้งเจ็ดอาณาจักรต้องทึ่งไม่น้อย
นิกายไร้ขอบเขตสยบทหารหลงซางที่ทำอะไรได้ไม่มากไปกว่าการหนี แม้แต่ราชาแห่งความโกลาหล หลินจุ้ยหลิว ที่นั่งอยู่ที่ชายแดนทางใต้ ก็สบโอกาสและฟื้นฟูร่างกายกลับมาแล้ว ทำให้เขาสามารถตอบโต้และประกบกองทหารหลงซางพร้อมกับนิกายไร้ขอบเขตไปด้วย
อันที่จริงแล้ว ไม่ว่านิกายไร้ขอบเขตจะได้รับความช่วยเหลือจากหลินจุ้ยหลิวหรือไม่นั้นไม่สำคัญแต่อย่างใด ทัพของนิกายไร้ขอบเขตในตอนนี้เรียกได้ว่าแข็งแกร่งมากเกินพอ ที่จะสามารถท้าทายทั้งอาณาจักรได้แล้ว การร่วมประกบของราชาแห่งความโกลาหลนั้น ดูเหมือนจะเป็นการพยายามแย่งอาณาเขตและผลประโยชน์กับนิกายไร้ขอบเขตเสียมากกว่า
เมื่อทั้งสองฝ่ายเริ่มปะทะกัน ฝ่ายนิกายไร้ขอบเขตนั้นได้เปรียบกว่าอย่างเห็นได้ชัดในด้านของจำนวนคนที่มีมากกว่า
ขณะที่นิกายไร้ขอบเขตพากันเคลื่อนทัพไป พวกเขาก็ค่อย ๆ กลืนกินอาณาเขตของทัพหลงซางไปทีละน้อย
เห็นได้ชัดเลยว่าเส้นทางที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปนั้นนำไปสู่เมืองฉางผาน
นิกายไร้ขอบเขตไม่ได้รีบร้อนที่จะโจมตีเมืองฉางผาน แต่พวกเขาขยายการเข้าถึงออกไปอย่างรวดเร็วในทุก ๆ ทิศทาง เพื่อที่จะได้ยึดพื้นที่ที่กว้างขวางได้ไวยิ่งขึ้น
ดังนั้นแล้วการขยายทัพของนิกายไร้ขอบเขตจึงถือว่าเป็นเรื่องปกติ ทุกก้าวที่พวกเขาเลือกเดินไปนั้นเป็นการกลืนกินพื้นที่ของฝ่ายตรงข้ามไปด้วยในตัว การเคลื่อนทัพของศิษย์นิกายไร้ขอบเขตไม่เหมือนกับหอก แต่มันเหมือนกับคลื่นยักษ์ที่พร้อมจะกวาดล้างทั้งหลงซางในคราวเดียว
ชาวนิกายไร้ขอบเขตปะทะเข้ากับหลินจุ้ยหลิว
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ต่างสู้มาพร้อม ๆ กันอยู่แล้ว ฝ่ายหนึ่งมุ่งหน้ามาจากทางเหนือ และอีกฝ่ายหนึ่งมาจากฝั่งทางใต้
แต่กระนั้นการกลืนกินอาณาจักรหลงซางของนิกายไร้ขอบเขต ก็หยุดการเคลื่อนทัพของหลินจุ้ยหลิวลงเสียอย่างนั้น
หากดูในแผนที่แล้วก็จะเห็นว่านิกายไร้ขอบเขตตั้งอยู่ที่มุมซ้ายด้านล่างสุด ในขณะที่ทัพของหลินจุ้ยหลิวอยู่ที่มุมขวาด้านล่าง และจักรพรรดิหลินเมิ่งเจ่อนั้นอยู่ตรงกลางพอดี
การขยายทัพของนิกายไร้ขอบเขตเริ่มต้นจากมุมซ้ายล่าง และตอนนี้พวกเขาก็กำลังกวาดต้อนไปตามอาณาเขตในแผนที่ เมื่อเดินทางไปถึงจุดศูนย์กลาง พวกเขาก็แทบจะกินพื้นที่ได้ทั่วทั้งแผนที่แล้ว เรียกได้ว่าทัพของนิกายไร้ขอบเขตได้แบ่งแผนที่ออกเป็นสองส่วน โดยมีพวกเขาทำหน้าที่เป็นเส้นบางอยู่ที่ตรงกลางพอดี
และหากหลินจุ้ยหลิวจะมุ่งหน้าต่อไป เขาก็ต้องผ่านอาณาเขตของนิกายไร้ขอบเขตไปนั่นเอง
ราชาแห่งความโกลาหลพบว่าทัพของตัวเองไม่สามารถเคลื่อนต่อไปข้างหน้าได้อีกแล้ว
นิกายไร้ขอบเขตไม่ยอมให้ทัพของเหล่าหลินเดินทางผ่านไป !
“เจ้าว่าอะไรนะ ?”
หลินจุ้ยหลิวตบโต๊ะและกระโดดผลุงยืนขึ้น ผู้ส่งสารก้มลงแทบเท้าและรายงานกลับไป “อีกฝ่ายบอกว่าไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าไปในเขตของนิกายไร้ขอบเขตได้ขอรับ ถ้าเราต้องการจะโจมตีเมืองฉางผานก็ขอให้พวกเราเดินทางอ้อมไป”
“อ้อมไปอย่างนั้นรึ ? พวกนั้นยึดเอาดินแดนส่วนกลางของอาณาจักรหลงซางไปแล้ว แล้วข้าก็จะต้องเดินทางอ้อมไปอย่างนั้นรึ !?” หลินจุ้ยหลิวคำรามด้วยความไม่พอใจ
“ดินแดนของเผ่าคนเถื่อน” เสียงหนึ่งตอบขึ้น ผู้พูดมีใบหน้าขาวซีด ดูเป็นชายวัยกลางคนที่ท่าทางมองแล้วเกลี้ยงเกลาทีเดียว ชื่อของชายคนนี้คือ หลี่หมิง เป็นหนึ่งในที่ปรึกษาของหลินจุ้ยหลิวนั่นเอง
“อะไรนะ ?” หลินจุ้ยหลิวหันไปมองที่ปรึกษาตนด้วยความตะลึง
หลี่หมิงกล่าวต่อไป “นิกายไร้ขอบเขตทำแบบนี้ก็เพื่อยึดดินแดนเป็นของตัวเอง และบังคับให้เรามุ่งหน้าผ่านทางของเผ่าคนเถื่อนแทน”
“ทำไมพวกนั้นต้องทำเช่นนี้ด้วย” เหล่าหลินถาม
“ก็เพราะปราการลุ่มน้ำทองอย่างไรล่ะ” หลี่หมิงตอบ
หลินจุ้ยหลิวเข้าใจทันที
แม้ว่าอาณาจักรหลงซางจะตกอยู่ในความอลหม่าน และกองทัพเองก็ได้รับผลกระทบจากการโจมตีอย่างสาหัส ก็ยังคงมีอีกทัพหนึ่งที่ทรงพลัง ซึ่งทหารกลุ่มนี้ปักหลักอยู่ที่ปราการลุ่มน้ำทองนั่นเอง
ทหารกลุ่มดังกล่าวซึ่งมีหน้าที่ในการจัดการกับเผ่าคนเถื่อนนั้น ควรจะถูกส่งออกไปแล้วเพื่อรับมือกับนิกายไร้ขอบเขตและหลินจุ้ยหลิว แต่เพราะหลงพั่วจวินได้ก่อความไม่สงบขึ้น ทำให้มีทหารเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ถูกส่งออกไปอีกครั้ง โดยที่ทหารส่วนมากยังคงอยู่ที่ปราการตามเดิม
ดังนั้นแล้วทหารที่ปราการลุ่มน้ำทองจึงเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่มีพลังในระดับสมบูรณ์
แน่นอนว่าไม่ว่าจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่ก็ยังไม่สามารถเผชิญหน้ากับนิกายไร้ขอบเขตได้อยู่ดี
กลุ่มคนที่ทรงพลังอย่างนิกายไร้ขอบเขตนั้นมีความสามารถถึงขั้นที่ต่อกรกับคนทั้งอาณาจักรได้ ในขณะที่ปราการลุ่มน้ำทองมีเพียงส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งของทั้งอาณาจักรเท่านั้น
แต่ถึงกระนั้น นิกายไร้ขอบเขตก็ไม่ได้ต้องการที่จะปะทะกับปราการลุ่มน้ำทองแต่อย่างใด
หลี่ฉงซาน ฉู่อิงวาน และทุก ๆ คนต่างก็เติบโตที่นี่ และพวกเขาล้วนผูกพันกับที่แห่งนี้มาตั้งแต่เกิด หลงพั่วจวินได้จัดการให้ที่แห่งนี้ไม่ต้องเปื้อนเลือดของศิษย์นิกายไร้ขอบเขตแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงหวังว่าจะสามารถทำให้ปราการลุ่มน้ำทองยอมแพ้ได้โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง
ชาวนิกายไร้ขอบเขตได้พยายามมาแล้วหนหนึ่ง
น่าเสียดายที่ไม่สำเร็จ
ฝ่ายตรงข้ามนั้นมีระบบการให้คุณค่าเป็นของตัวเอง แม้ว่าหลินเมิ่งเจ๋อจะทำให้ผิดหวัง และทหารกลุ่มนี้จะไม่สนใจคำสั่งของเขาก็ได้ แต่ทหารทั้งหลายก็ไม่มีทางยอมแพ้ง่าย ๆ และกลายเป็นคนทรยศอย่างแน่นอน
อันที่จริงแล้ว ความจริงนั้นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เมื่อหลินเมิ่งเจ๋อเป็นฝ่ายได้เปรียบ ปราการลุ่มน้ำทองก็ไม่ยินดีที่จะส่งทัพไปเพื่อต่อสู้ แต่เมื่อหลินเมิ่งเจ๋อตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ปราการลุ่มน้ำทองก็ตัดสินใจเคลื่อนทัพในที่สุด
ในสายตาของพวกเขา นี่คือสิ่งที่ทหารที่แท้จริงควรจะทำ
ทหารที่แท้จริงนั้นไม่ควรหวาดกลัวต่อการหลั่งเลือดให้แก่อาณาจักรของตัวเอง
พวกเขาไม่ได้ต่อสู้เพื่อหลินเมิ่งเจ๋อ แต่เป็นการต่อสู้เพื่ออาณาจักรหลงซาง
ต้องขอบคุณที่ปราการลุ่มน้ำทองนั้นไม่ได้ห้อมล้อมไปด้วยเหล็กเสียทั้งหมด ดังนั้นข่าวเรื่องนี้จึงยังแพร่ไปถึงหูของทหารในนั้นได้
หลี่ฉงซาน ฉือไคฮวง และคนอื่น ๆ นั้นไม่ยินดีจะต่อสู้กับทหารของปราการลุ่มน้ำทอง จึงได้คิดแผนการขึ้นมา โดยที่จะปล่อยให้หลินจุ้ยหลิวผ่านเข้าไปในเขตแดนของเผ่าคนเถื่อน เพื่อล่อความสนใจของปราการลุ่มน้ำทอง
พวกเขาจะหยุดปราการลุ่มน้ำทองและป้องกัน ฝ่ายนั้นสามารถส่งทหารออกมาปะทะกับนิกายไร้ขอบเขตได้ อีกทั้งจะยังคอยดูให้แน่ใจด้วยว่าหลินจุ้ยหลิวไม่ได้ยึดเอาเขตแดนของตัวเองไปมากเกิน
แม้ว่าจะยังไม่มีกฎใด ๆ ที่ตั้งขึ้นอย่างจริง ๆ จัง ๆ แต่ทุกคนต่างก็เห็นด้วยว่าการยึดดินแดนนั้นควรเป็นของใครก็ตามที่สามารถยึดไว้ได้
แน่นอนว่าหลินจุ้ยหลิวไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนั้น แต่ในเมื่อนิกายไร้ขอบเขตยึดเอาดินแดนส่วนกลางของอาณาจักรหลงซางไปแล้ว เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากเดินทางอ้อมและผ่านเข้าไปในเขตแดนของเผ่าคนเถื่อน ชนเผ่ากิ้งก่ากรวดได้ยึดดินแดนของเผ่าคนเถื่อนเอาไว้แล้ว ณ เวลานี้ และพวกเขาก็ได้เดินทางไปยังปราการกู่หลานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้เส้นทางนั้นปราศจากผู้คน หลินจุ้ยหลิยจึงสามารถเดินทางไปได้ตามที่ต้องการ
แต่แค่เพราะนิกายไร้ขอบเขตชี้ทางให้กับหลินจุ้ยหลิว นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมทำตามง่าย ๆ
ตอนนี้เมื่อเข้าใจแล้วว่านิกายไร้ขอบเขตคิดจะทำอะไร สีหน้าของพเหล่าหลินก็หมองลง “ส่งสารไปบอกหลี่ฉงซานและทุกคนว่าอาณาจักรหลงซานเป็นของข้า เจ้านิกายซูเป็นคนรับปากกับข้าอย่างนั้นเอง”
หลี่หมิงกล่าวต่อ “ข้าบอกเขาแล้วขอรับ แต่เกรงว่า……มันจะไม่ได้ส่งผลอะไรเลย”
หลี่ฉงซานตอบรับกับเรื่องนั้นอย่างรวดเร็วจริง ๆ
คำตอบของเขาค่อนข้างยาวทีเดียว ทว่าแก่นของมันก็มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นนั่นก็คือ ‘ท่านเจ้านิกายขอให้ท่านยึดดินแดนด้วยตัวเองโดยอาศัยความช่วยเหลือจากนิกายไร้ขอบเขต ดังนั้นการที่ตัวท่านไม่สามารถทำได้อย่างที่หวังไว้ ก็จะมาโทษพวกข้าไม่ได้ อย่างไรแล้วหลักการก็จะเป็นไปตามเดิม ดินแดนใดก็ตามที่ท่านยึดมาได้ด้วยความแข็งแกร่งของตัวเอง พวกข้าก็จะไม่ช่วงชิงเอามันมา แต่อย่าได้คิดจะเอาสิ่งที่เป็นของพวกข้าไป’
คำตอบของแม่ทัพหลี่ยังไม่ลืมที่จะกล่าวถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองบทราบอีกด้วย
หลินจุ้ยหลิวควรจะโจมตีเพื่อลดภาระให้กับนิกายไร้ขอบเขต แต่เขากลับรอเวลา และทำให้เยี่ยเฟิงหานกับฉางเหอต้องคาดเดาตัวตนของเขาและโจมตีในที่สุด
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่น่าเจ็บปวดเหลือเกินสำหรับซูเฉินกับหลี่ฉงซาน
ถ้าไม่สามารถทำในส่วนของตัวเองได้ ก็อย่ามาโทษกันเลยที่เราทำได้ไม่เหมือนกัน
พูดง่าย ๆ ก็คือ ในเมื่อเลือกที่จะเห็นแก่ตัวในตอนที่นิกายไร้ขอบเขตต้องการความช่วยเหลือ หลินจุ้ยหลิวก็โทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง ที่ทำตัวให้ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากอย่างตอนนี้
หลินจุ้ยหลิวตัวสั่นไปด้วยความโกรธเมื่ออ่านสาส์นคำตอบที่ถูกส่งมาจากฝ่ายตรงข้าม
ราชาแห่งความโกลาหลรู้อยู่แล้วว่าไม่ช้าก็เร็ว นิกายไร้ขอบเขตก็จะต้องตอบโต้อย่างแน่นอน แต่ตัวเขาไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังรุนแรงและหน้าไม่อายนัก หลินจุ้ยหลิวโจมตีช้าไปเพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้นไม่ใช่หรือ และตอนนี้พวกนั้นก็ยึดดินแดนไปแทบทั้งอาณาจักรแล้ว… ทำให้เขาไม่สามารถโจมตีได้อีกต่อไป
แน่นอนว่าหลินจุ้ยหลิวไม่ได้สนใจเลยว่า หากปราศจากการเรืองอำนาจของนิกายไร้ขอบเขตแล้ว ตัวเขาเองก็คงไม่มีโอกาสที่แม้แต่จะได้โจมตีโต้ตอบเช่นเดียวกัน
นิกายไร้ขอบเขตเสนอเส้นทางนี้มาให้ ไม่ว่าหลินจุ้ยหลิวจะเลือกทางนั้นหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขาเองเท่านั้น
ราชาแห่งความโกลาหลเงียบไป
สักครู่ใหญ่จึงพูดขึ้น “ส่งสาส์นไปหาหลี่ฉงซาน บอกเขาว่าข้ายินดีจะเดินทางผ่านไปยังปราการลุ่มน้ำทอง แต่เขาจะต้องปล่อยให้ดินแดนฝั่งตะวันออกของเมืองฉางผานเป็นของข้า หากเขาต้องการให้ข้าทำอะไรให้ เขาเองก็ต้องทำอะไรให้บ้างเหมือนกัน”
คนที่อยู่มาก่อนก็ยังรับรู้เหตุการณ์ปัจจุบันด้วยเช่นกัน ตอนนี้ที่นิกายไร้ขอบเขตกำลังขยายอิทธิพลอย่างไม่ได้พัก ก็แปลว่าการที่หลินจุ้ยหลิวจะยึดทั้งอาณาจักรหลงซางเป็นของตัวเองนั้นกำลังจะเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องขอให้นิกายไร้ขอบเขตแบ่งอาณาจักรหลงซางให้ตัวเองแทน
หลี่ฉงซานตอบกลับมาค่อนข้างไวทีเดียว
เขาตกลง…
หลินจุ้ยหลิวกำลังจะนำทหารของเขามุ่งหน้าไปยังปราการลุ่มน้ำทอง
แต่ยังไม่ทันที่ทัพนั้นจะได้ออกเดินทาง เขาก็ได้รับทราบข่าวที่ชวนโมโหมากขึ้นไปอีก
เผ่าจันทราถอนทัพไปแล้ว
เยี่ยเฉียน แจ้งกับหลินจุ้ยหลิวว่าเผ่าจันทราแค่ต้องการเพียงที่ที่พวกตนจะสามารถอยู่รอดได้เท่านั้น
เมื่อตอนนี้ดินแดนส่วนมากทางฝั่งตะวันตกได้ถูกยึดไปแล้ว ก็มีพื้นที่มากพอสำหรับเผ่าจันทราที่จะลงหลักปักฐานได้ เพราะจำนวนของพวกเขาไม่ได้มีมากนัก ดังนั้นแล้วเผ่าจันทราจึงไม่ประสงค์ที่จะต่อสู้ต่อไป และหวังว่าจะได้เริ่มตั้งถิ่นฐานและดูแลตัวเองเท่านั้น
แม้ว่าหลินจุ้ยหลิวจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อเกลี้ยกล่อม แต่เผ่าจันทราก็ได้ตัดสินใจแล้ว หลินจุ้ยหลิวจึงทำได้เพียงยินยอมตามที่ตกลงกันไว้ ทว่าในขณะเดียวกันนั้นเจตสังหารก็เริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเขา… หลินจุ้ยหลิวตัดสินใจในตอนนั้นเองว่า หลังจากจัดการกับปราการลุ่มน้ำทองแล้ว เขาจะกลับมาและสังหารไอ้จอมหักหลังพวกนี้
ในที่สุดทัพของหลินจุ้ยหลิวก็เริ่มเคลื่อนที่ พวกเขาเดินทางผ่าน บึงนรก และเวหาวิถีสุขระทม เพื่อไปยังทุ่งหญ้าฮาเหวย จากตรงนั้นทัพของหลินจุ้ยหลิวก็จะมุ่งหน้าตรงไปยังปราการลุ่มน้ำทองต่อไป
ปราการลุ่มน้ำทองมีหน้าที่หลักในการป้องกันเผ่าคนเถื่อน
เผ่าคนเถื่อนนั้นมีร่างกายที่แข็งแกร่ง และมีวิชาอาคมที่อ่อนแอนัก ดังนั้นการป้องกันของปราการลุ่มน้ำทองจึงมั่นคงมากทีเดียว แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังขาดความสามารถในการรับมือกับปรมาจารย์ที่แข็งแกร่ง หรือทักษะต้นกำเนิดอยู่
หลินจุ้ยหลิวเป็นผู้ฝึกตนด่านมหาราชัน และยังมีผู้ฝึกตนด่านหยั่งรู้ฟ้าดินอีกห้าคน กับผู้ฝึกตนด่านผลาญจิตวิญญาณอีกหลายสิบคนติดตามมาด้วย ลูกน้องของเขาต่างก็เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในการใช้ทักษะต้นกำเนิด ดังนั้นเผ่าคนเถื่อนจึงไม่สามารถเทียบกับพวกเขาในด้านนี้ติดอย่างแน่นอน
และด้วยสภาวะที่ไม่มั่นคงของปราการลุ่มน้ำทองในตอนนี้ รวมถึงการที่เผ่าคนเถื่อนไม่ได้อยู่ในบริเวณใกล้เคียงนั้นแล้ว การป้องกันของพวกเขาจึงหย่อนคล้อยลงมาก หากทัพของหลินจุ้ยหลิวโจมตีกะทันหันในเวลากลางคืน ก็คงเกิดผลที่น่าทึ่งอย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้ดังนั้น หลินจุ้ยหลิวพร้อมด้วยทัพก็มุ่งหน้าต่อไปยังปราการลุ่มน้ำทองโดยไม่รอช้า
เวลาผ่านไปหลายวัน ในที่สุดปราการลุ่มน้ำทองก็เข้ามาในคลองสายตาอยู่ไกล ๆ
หลินจุ้ยหลิวไม่ปล่อยให้ทหารของตนได้พัก เขาตัดสินใจโจมตีทันที ความเร็วนั้นเป็นเรื่องสำคัญ และหลินจุ้ยหลิวก็ไม่อยากจะรอต่อไปอีกแม้แต่อึดใจเดียว
สิ้นสัญญาณให้การโจมตี ทหารของหลินจุ้ยหลิวก็พุ่งตัวตรงไปยังกำแพงของปราการลุ่มน้ำทองอย่างพร้อมเพรียงกัน
เห็นได้ชัดว่าฝ่ายปราการลุ่มน้ำทองนั้นไม่ทันได้ตั้งตัว และนั่นทำให้พวกเขาไม่มีเวลาพอที่จะใช้เกราะป้องกันได้ทันเวลาด้วย
ทหารที่ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดีนั้นพากันปีนขึ้นไปบนกำแพงของปราการอย่างรวดเร็ว เมื่อได้การควบคุมมาอยู่ในกำมือแล้ว จึงเปิดประตูออกก่อนที่จะมุ่งหน้าต่อไปยังศูนย์กลางของปราการเพื่อสังหารต่อไป
ทุกอย่างเป็นไปได้อย่างราบรื่นจนแม้แต่หลินจุ้ยหลิวก็ยังอดพึมพำขึ้นด้วยความพึงใจไม่ได้ “เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของข้า… สำเร็จแล้วสินะ”
ในตนอนนั้นเอง เสียงถล่มอย่างรุนแรงก็ดังขึ้นพร้อมกันกับที่กำแพงของปราการนั้นเริ่มเปล่งแสง
เกราะป้องกันกำลังทำงานแล้ว
หลินจุ้ยหลิวกล่าวขึ้นด้วยความดูแคลน “พวกข้าเข้ามาในนี้แล้ว เกราะป้องกันนั่นคงทำงานสายไปแล้วล่ะ”
เกราะป้องกันของปราการลุ่มน้ำทองนั้นตั้งรับการโจมตีจากด้านนอก ไม่ใช่ด้านใน เมื่อทัพผู้รุกรานอยู่ในเมืองแล้ว การใช้เกราะป้องกันก็เห็นจะไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด
ทว่าในไม่ช้า หลินจุ้ยหลิวก็เห็นสายฟ้าและเปลวเพลิงเริ่มพุ่งลงมาจากท้องฟ้า ในขณะที่เกราะป้องกันกำลังพุ่งทะยานสวนขึ้นไป
พวกมันร่วงลงมายังบริเวณด้านในของเกราะป้องกัน
เกราะป้องกันที่กำลังทำงานอยู่นั้นไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อป้องกันผุ้บุกรุกจากด้านนอก
แต่มันถูกสร้างขึ้นเพื่อสังหารสิ่งใดก็ตามที่อยู่ด้านในปราการ
นี่มันกับดักชัด ๆ !
หัวใจของหลินจุ้ยหลิวสั่นสะท้าน
จากนั้นเขาก็เริ่มได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้นรอบตัว
บรรดาทหารกระเด็นกลับออกมาจากทุกทิศทุกทาง ร่างที่ว่านั้นลอยไปทั่ว… พวกนั้นคือทหารที่หลินจุ้ยหลิวคัดเลือกมาเองกับมือ
การซุ่มโจมตี !
หลินจุ้ยหลิวรู้สึกเข่าอ่อนอย่างบอกไม่ถูก
ทันใดนั้นเขาก็พลันนึกขึ้นได้ว่าตัวเองได้ติดกับดักเข้าให้แล้ว
หลี่ฉงซานไม่ได้ขอให้เขามาต่อสู้กับปราการลุ่มน้ำทองแต่อย่างใด แต่ชายคนนั้นกำลังทำเหมือนกับว่าหลินจุ้ยหลิวเป็นอาหารสำหรับปราการแห่งนี้เสียอย่างนั้น
ทั้งสองฝ่ายคงได้ทำข้อตกลงกันไว้แล้วก่อนหน้านี้
ในขณะเดียวกันนั้น
คนสองคนยืนนิ่งและลอยตัวอยู่กลางอากาศ
คนหนึ่งนั้นมีผมสีหงอกเงิน ทว่าร่างกายสูงโปร่งและแข็งแรง ทั้งยังมีมัดกล้ามเนื้อเปล่งประกายชัดเจน และแม้ว่าเขาจะมีอายุมากแล้ว แต่ก็ยังเห็นได้ชัดว่าชายคนนี้เป็นนักสู้อย่างแน่นอน
เขาคือแม่ทัพแห่งปราการลุ่มน้ำทอง หงเฉียนจู้นั่นเอง
ถัดไปจากแม่ทัพหงก็คือหลี่ฉงซาน
“แม่ทัพหง ฉงซานได้ทำตามหน้าที่แล้ว หลินจุ้ยหลิวติดกับเป็นที่เรียบร้อย” หลี่ฉงซานกล่าว
หงเฉียนจู้พยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นปราการลุ่มน้ำทองก็ได้ทำตามหน้าที่แล้วเช่นกัน”
“วิญญาณของแม่ทัพหลงจะได้ไปสู่สุคติเสียที” หลี่ฉงซานตอบ
สถานะของหลงพั่วจวินในปราการลุ่มน้ำทองนั้นเรียกได้ว่าเป็นตำนาน การตายของเขาทำให้ทหารปราการลุ่มน้ำทองเกลียดหลินเมิ่งเจ๋อ
สำหรับหงเฉียนจู้แล้ว การเอาชนะหลินจุ้ยหลิวนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่หน้าที่ที่เขาได้รับมอบหมายจากอาณาจักรหลงซางเพื่อแสดงให้เห็นว่าทัพของตนไม่ได้นิ่งเฉย แต่ยังเป็นการป้องกันอาณาจักรและจะได้มีคำอธิบายที่เหมาะสมให้กับทหารในปราการด้วย
ส่วนหลี่ฉงซานนั้น การที่เขาใช้ปราการลุ่มน้ำทองในการจัดการกับหลินจุ้ยหลิวเช่นนี้ นอกจากที่ตนจะได้กำจัดพันธมิตรที่มีมีแรงจูงใจที่หนักแน่นแล้ว ก็ยังถือเป็นการกำจัดคู่แข่งออกไปอีกด้วย
ในโลกใบนี้ที่ผู้ชนะจะได้ทุกสิ่งที่ต้องการ การแบ่งส่วนของหลินจุ้ยหลิวนั้นถือเป็นเรื่องผิดมหันต์ทีเดียว