ภาคที่ 6 บทที่ 79 ทำลายค่ายกล

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 79 ทำลายค่ายกล

เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้ทั้งอาณาจักรหลงซางต้องอ้าปากค้างไม่น้อย

หลินจุ้ยหลิวพร้อมกับกองทัพเข้าโจมตีปราการลุ่มน้ำทองในเวลากลางคืน ทว่ากลับถูกตอบโต้อย่างรุนแรงและถูกกำจัดแทบสิ้นไป

กองทัพที่มีทหารถึงแปดหมื่นคนแทบจะถูกทำลายจนสิ้นซาก สิ่งเดียวที่ทำให้หลินจุ้ยหลิวสามารถรอดออกมาจากวงล้อมได้ก็คือความแข็งแกร่งของตนนั่นเอง

ในขณะเดียวกันนั้น ชื่อเสียงของหงเฉียนจู้ก็พุ่งกระฉูดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

แต่เมื่อทุกคนคิดว่าหงเฉียนจู้จะนำทัพปราการลุ่มน้ำทองไปเสริมกำลังกับอาณาจักรหลงซาง พวกเขากลับหยุดเคลื่อนไหวและไม่ขยับเขยื้อนไปไหนอีกเสียอย่างนั้น

ทัพของปราการลุ่มน้ำทองยังคงปักหลักอยู่ที่เดิมต่อไปในสงครามครั้งนี้

ผู้ชมที่รอดูการต่อสู้อันดุเดือดต่างก็ผิดหวังไปตาม ๆ กัน

ในระหว่างนั้น นิกายไร้ขอบเขตก็ใช้โอกาสนี้ในการยึดเขตแดนที่หลินจุ้ยหลิวไม่สามารถป้องกันไว้ได้ และมุ่งหน้าต่อไปยังเมืองฉางผาน

เมื่อซูเฉินกลับมาพร้อมกับกู่ชิงลั่วและจูเซียนเหยา เขาก็ได้รับการทักทายด้วยภาพเหตุการณ์นี้พอดี

ที่ ด่านสระก้าวหน้า

ทัพนิกายไร้ขอบเขตปักหลักกันอยู่ที่นั่น

ทันทีที่ซูเฉินเดินทางมาถึง หลี่ฉงซานก็เข้าไปทักทายเขา “สวัสดีท่านเจ้านิกาย ได้โปรดให้อภัยในความไร้ศักยภาพของข้าด้วย แต่เราไม่สามารถเผด็จศึกทั้งอาณาจักรได้ก่อนที่ท่านจะกลับมา”

ซูเฉินหัวเราะ “เจ้าทำดีมากแล้วล่ะ เจ้าไม่ได้ช้าหรอก ข้าแค่มาเร็วไปเท่านั้นเอง”

ม้าน้ำพลังสูญทำให้ซูเฉินสามารถเคลื่อนที่ได้รวดเร็วกว่าทัพนิกายไร้ขอบเขตหลายเท่า และชายหนุ่มก็ประทับใจกับสิ่งที่หลี่ฉงซานทำสำเร็จในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้มากอยู่แล้ว

ซูเฉินก้าวเข้าไปในกระโจมบังคับการ เขาไม่รอช้าและนั่งลงบนที่นั่งที่เป็นของหลี่ฉงซานมาก่อน “ทุกอย่างเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”

หลี่ฉงซานตอบเข้าประเด็น “หลินเมิ่งเจ๋อส่ง หลินชิงหลิว กับ กองกำลังทรายทอง จำนวนห้าหมื่นคนไปคุ้มกันด่านสระก้าวหน้า จากนั้นหลินชิงหลิวก็ได้เชิญสี่พี่น้องเฉินแห่งเกาะเกลียวหยกมาตั้งค่ายกลที่นี่ ตอนนี้เรากำลังคิดหาแนวทางที่ดีที่สุดในการเข้าประชิดปราการพวกนี้”

ซูเฉินหันไปมองเจียงหานเฟิง “เรื่องปราการนี่เป็นปัญหาสำคัญหรือ”

เจียงหานเฟิงพยักหน้า “ข้าเคยพบกับสี่พี่น้องเฉินแห่งเกาะเกลียวหยกมาก่อน ทั้งสี่คนนั้นเก่งกาจยิ่งนักในการตั้งค่ายกลต้นกำเนิด และยังเชี่ยวชาญในเรื่องพิษและเรื่องเลวร้ายอีกมากมาย ค่ายกลที่มีชื่อเสียงที่สุดของพวกเขาก็คือค่ายกลทะเลหยกอำพัน หากค่ายกลนั้นถูกตั้งขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว แม้แต่ผู้ฝึกตนด่านหยั่งรู้ฟ้าดินก็คงต้านทานอานุภาพของมันได้ยากหากปราศจากการเตรียมการ มีเพียงผู้ฝึกตนด่านมหาราชันเท่านั้นที่จะรอดจากค่ายกลนั่นได้ แต่หากผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดเข้ามาแทรกแซงด้วย… แม้แต่มหาราชันก็อาจไม่รอด”

ค่ายกลต้นกำเนิดนั้นไม่ได้มีอยู่บนทวีปนี้เฉย ๆ โดยมนุษย์กับค่ายกลมักรวมพลังกันเพื่อให้เกิดผลอันน่าทึ่งอยู่เสมอ

หลินชิงหลิวเป็นศิษย์หลวง และเป็นสมาชิกมากความสามารถของศิษย์รุ่นหลัง แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ลูกชายที่แท้จริงของหลินเมิ่งเจ๋อ แต่จักรพรรดิผู้นั้นก็ได้กดดันเขาอย่างหนัก และพลังของชายคนนี้ก็บรรลุไปถึงด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดในบรรดาศิษย์หลวงด้วยกัน ทหารทัพทรายทองจำนวนห้าหมื่นคนนั้น ก็ได้รับการฝึกโดยเขาคนนี้ และพวกเขาก็แข็งแกร่งไม่น้อยเช่นกัน

ทหารกลุ่มนี้เมื่อรวมกับค่ายกลที่ร้ายกาจแล้ว ก็ถือเป็นปราการที่แข็งแกร่งทีเดียว ต่อให้นิกายไร้ขอบเขตจะสามารถเข้ายึดการควบคุมประตูได้ในที่สุดก็ตาม

ดังนั้นหลี่ฉงซานและทุกคนจึงกำลังหาแนวทางที่ดีที่สุดที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้โดยเสียหายน้อยที่สุด

เมื่อเข้าใจสถานการณ์แล้ว ซูเฉินก็ครุ่นคิดก่อนจะถามต่อไปว่า “แน่ใจหรือว่าพวกนั้นไม่มีผู้ฝึกตนด่านมหาราชันอยู่เลย”

“ไม่อย่างแน่นอน !” หลี่ฉงซานตอบด้วยความมั่นใจ

ผู้ฝึกตนด่านมหาราชันนั้นไม่ได้เกิดขึ้นง่ายเหมือนกับหัวผักกะหล่ำเสียหน่อย ในทั้งเจ็ดอาณาจักรนั้นมีผู้ฝึกตนด่านมหาราชันอยู่เพียงสิบกว่าคนเท่านั้น ซึ่งก็กระจายกันอยู่เพียงหนึ่งถึงสองคนในแต่ละอาณาจักร

ผู้ฝึกตนด่านมหาราชันของอาณาจักรหลงซางก็คือหลินเมิ่งเจ๋อกับหลินจุ้ยหลิวนั่นเอง

ตอนนี้หลินจุ้ยหลิวก็พ่ายแพ้ไป และหลินเมิ่งเจ๋อก็กำลังบาดเจ็บสาหัส แปลว่าน่าจะไม่มีผู้ฝึกตนด่านมหาราชันคนใดที่พร้อมสู้เหลืออยู่อีกแล้ว

เมื่อได้ยินคำตอบนั้น ซูเฉินก็กล่าวต่อไป “ถ้าอย่างนั้นเราก็โจมตีไปเลย ค่ายกลนั่นปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้า ส่วนทัพที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของพวกเจ้า”

ไม่มียุทธวิธีใด ๆ ทั้งนั้น… ซูเฉินคิดจะมุ่งหน้าฝ่าไปให้ได้

ทางเลือกอื่นใดก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป !

นั่นเพราะซูเฉินอยู่ที่นี่แล้ว

ตอนนี้เมื่อเขาสามารถสังหารจักรพรรดิอสูรทะเลได้ด้วยตัวเอง ซูเฉินก็ถือได้ว่าอยู่ในขั้นที่ไร้เทียมทาน และชายหนุ่มยังมีม้าน้ำพลังสูญคอยช่วยอีกแรง หากซูเฉินปล่อยจงเจิ้นจวินออกมาจากห้องวิจัย เขาก็จะมีผู้ฝึกตนด่านมหาราชันคอยสู้เคียงข้างอีกด้วย

เพียงแค่พวกเขาสองคนก็มาเกินพอแล้ว

แผนการ ชั้นเชิง หรือยุทธวิธีใด ๆ ก็ไร้ค่า เมื่อมีผู้ที่แข็งแกร่งอย่างไร้ที่เปรียบเช่นนี้อยู่ด้วย

ความรุนแรง !

นี่คือยุทธวิธีที่ซูเฉินเลือกใช้

เมื่อลั่นคำสั่งออกไปแล้ว กองทัพก็ทำตามทันที

ความกระหายเลือดของชาวนิกายไร้ขอบเขตได้ถูกกระตุ้นแล้ว และพวกเขาก็เตรียมพร้อมเผชิญหน้าโดยไม่รอช้า

ที่กำแพงของด่านสระก้าวหน้า

หลินชิงหลิวแต่งกายในชุดพร้อมรบและกำลังมองดูความโกลาหลที่เกิดขึ้นไกลออกไป

เขาพลันกล่าวขึ้น “ธงรบโบกสะบัดแล้ว ดูเหมือนว่าพวกนั้นกำลังจะโจมตีแล้วล่ะ”

ที่ข้างกายเขามีทหารจำนวนหนึ่งที่แต่งกายคล้ายกันยืนอยู่ ซึ่งพวกเขาก็คือพี่น้องตระกูลเฉินทั้งสี่นั่นเอง

พี่ชายคนโตนามเฉินเอ่อร์พูดขึ้น “มั่นใจได้เลยองค์ชาย ด้วย ค่ายกลเวหากลืนอสูร ที่พวกข้าจัดแจงไว้ ไม่ว่าจะขนคนกันมามากเท่าไร พวกนั้นก็ต้องตายอย่างแน่นอน”

ทว่าคำพูดนั้นไม่ได้ทำให้หลินชิงหลิวผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย “นิกายไร้ขอบเขตหยุดนิ่งอยู่ที่ด้านนอกด่านสระก้าวหน้าตั้งแต่พวกนั้นมาถึง แต่ไม่นานก่อนหน้านี้พวกนั้นก็เฉลิมฉลองอะไรสักอย่าง อย่างกับว่ากำลังต้อนรับใครกลับมาอย่างไรอย่างนั้น แล้วตอนนี้พวกนิกายนั่นก็เริ่มตีกลองสงครามแล้ว… ศัตรูที่ทรงพลังคงเดินทางมาถึง และมอบความหวังครั้งใหม่ให้กับพวกนั้นเป็นแน่”

“ศัตรูที่ทรงพลังหรือ ?” สี่พี่น้องชะงักไป

“ซูเฉิน…” หลินชิงหลิวกัดฟันกรอดขณะพูดชื่อนั้น

ซูเฉินมาที่นี่อย่างนั้นหรือ

หัวใจของทุกคนเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะทันที สี่พี่น้องตระกูลเฉินมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

จากนั้นเฉินเอ่อร์ก็กล่าวขึ้น “แม้ว่าซูเฉินจะเป็นเจ้านิกายของพวกนั้น ทว่าเขาก็เป็นเพียงผู้ฝึกตนด่านผลาญจิตวิญญาณเท่านั้น พลังของเจ้านั่นแทบไม่มีค่าด้วยซ้ำในการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ระดับนี้”

ในตอนนี้ ชาวอาณาจักรหลงซางยังคงเชื่อว่าพลังของซูเฉินนั้นเป็นเพียงพลังด่านผลาญจิตวิญญาณเท่านั้น

แต่หลินชิงหลิวรู้ดีว่าคู่ต่อสู้ของตนที่สามารถทำลายเผ่าปักษาได้ โดยที่เป็นเพียงผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารนั้นไม่ใช่คนที่จะเขาจะประมาทได้เลย นอกจากนั้นแล้ว หลินชิงหลิวก็ยังได้รู้อะไรบางอย่างที่สำคัญเพิ่มเติมมาด้วย

ศัตรูของเขาในคราวนี้จะโจมตีแบบไม่ยั้งมือ

เมื่อเป็นเช่นนั้น หลินชิงหลิวจึงรู้ถึงความอันตรายของการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้เป็นอย่างดี

“พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ” เขากล่าว

“อะไรนะ ?!” สี่พี่น้องตระกูลเฉินพากันตกใจอีกครั้ง

หลินชิงหลิวอธิบาย “เราจะเป็นฝ่ายแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้แน่ ข้าขอบคุณในการช่วยเหลือของเจ้าทั้งสี่คนด้วย แต่ตอนนี้เมื่อสามารถระบุผลการต่อสู้ได้แล้ว พวกเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องลงหลุมไปพร้อมกับข้า กลับไปที่เกาะเกลียวหยก และใช้เวลาของพวกเจ้าอย่างสงบสุขเถอะ”

สี่พี่น้องตระกูลเฉินรู้ว่าหลินชิงหลิวจะต้องมีเหตุผลที่กล่าวแบบนี้ และพวกเขาก็ประหลาดใจเหลือเกิน

ทั้งสี่กำลังจะกล่าวบางอย่าง แต่ทันใดนั้นใครบางคนก็เหาะตรงเข้ามาหาพวกเขา จากค่ายพักแรมของนิกายไร้ขอบเขต… เป็นซูเฉินกับกู่ชิงลั่วที่ขี่ม้าน้ำพลังสูญเข้ามานั่นเอง

ทั้งคู่ไม่จำเป็นต้องโจมตีด้วยซ้ำ แค่ม้าน้ำพลังสูญเพียงอย่างเดียวก็น่าตกใจเกินพอแล้ว กระแสพลังสูญที่หมุนวนปรากฏขึ้นสลับไปมาโดยรอบพวกมันอย่างต่อเนื่อง และทำให้ร่างนั้นเปล่งแสงจาง ๆ ออกมา มวลอากาศที่มองดูไม่ชัดเจนรอบตัวม้าน้ำนั้นเป็นเขตการทำลายล้างอย่างเห็นได้ชัด ใครก็ตามที่เฉียดเข้าไปใกล้บริเวณนั้นจะต้องถูกฉีกร่างเป็นชิ้น ๆ อย่างแน่นอน

จักรพรรดิอสูรทะเล !

ม้าน้ำนั่นเป็นจักรพรรดิอสูรทะเล !

และซูเฉินกับกู่ชิงลั่วก็กำลังนั่งอยู่บนหลังของจักรพรรดิอสูรทะเลตัวนั้น

เจ้าสองคนนั่นกำลังขี่จักรพรรดิอสูรทะเลอยู่อย่างนั้นหรือ

สี่พี่น้องตระกูลเฉินแทบลมจับเมื่อเห็นดังนั้น

“นี่มันภาพลวงตา… ต้องเป็นภาพลวงตาแน่…” เฉินเอ่อร์พึมพำขึ้นด้วยความไม่เชื่อสายตาตัวเอง

ทว่าในไม่ช้า ซูเฉินก็เร่งความเร็วม้าน้ำ และมุ่งหน้าเข้าสู่ค่ายกลเวหากลืนอสูร

ฟ่ออ !

ค่ายกลเริ่มส่งเสียงขึ้นพร้อมกับลมกรรโชกอันร้ายกาจที่เริ่มกรีดร้องขึ้นในอากาศ

ลมหวนที่น่ากลัวนั้นพุ่งเข้าสู่กระแสพลังสูญอันน่าเกรงขามที่หมุนวนอยู่รอบตัวเจ้าม้าน้ำในทันที… มันดูดและเคี้ยวลมปีศาจนั้น ก่อนจะพ่นกลับออกไปอย่างง่ายดาย

ในขณะเดียวกันนั้น พลังหยางที่แข็งแกร่งก็พุ่งตรงออกมาในรูปของมังกรสุริยะที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศ และแผลงอานุภาพใส่ทหารหลงซางที่รวมตัวกันอยู่เบื้องล่างราวกับดวงอาทิตย์ที่ร้อนจ้า

ค่ายกลเวหากลืนอสูรนั้นเป็นค่ายกลประเภทหยาง และพลังคู่หยางในธรรมชาติของพลังปีศาจกับลมหนาวก็ยิ่งทำให้ค่ายกลนี้มีประสิทธิภาพมากที่สุด จุดอ่อนเดียวของค่ายกลนี้ก็คือ เปลวเพลิงประเภทหยางที่จำเพาะเจาะจง อย่างไรค่ายกลเวหากลืนอสูรก็เป็นค่ายกลที่ที่ซับซ้อนมากอยู่แล้ว และแก่นของมันก็ประกอบไปด้วยสมบัติประเภทหยางหลายอย่างอีกด้วย

โชคร้ายนักที่วันนี้มันต้องเผชิญหน้ากับอานุภาพของมังกรสุริยะ

หากสายเลือดมังกรสุริยะสามารถกดได้แม้กระทั่งคลื่นจักรพรรดิอสูรทะเล แล้วค่ายกลเวหากลืนอสูรจะไปเหลืออะไร ?

ลักษณ์มังกรสุริยะตระหง่านขึ้นบนท้องฟ้า และแสงอาทิตย์อันแรงกล้าของมันก็สาดส่องลงมายังพื้นดิน หลอมละลายลมชั่วร้ายของค่ายกลเสียสิ้น

ค่ายกลที่พี่น้องตระกูลเฉินลงแรงและเวลาไปมากมายกลับถูกทำลายลงด้วยพลังเหนือจินตนาการของมังกรสุริยะ

พี่น้องตระกูลเฉินเห็นดังนั้นก็รู้สึกว่าท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด

ทหารทัพทรายทองจำนวนหนึ่งยังปักหลักอยู่ที่ค่ายกล และพยายามจะโจมตีเพื่อแก้ไขสถานการณ์ โชคไม่ดีนักที่การโจมตีของพวกเขาถูกกระแสพลังสูญกลืนกินและหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย ซูเฉินกับม้าน้ำพลังสูญทำงานร่วมกัน ทั้งคู่สร้างรัศมีการทำลายล้างที่กว้างขวางขึ้น

ด้วยประสิทธิภาพในการทำลายล้างของพลังสูญนั้นแล้ว ก็คงไม่มีใครสามารถต้านทานอานุภาพของมันได้อย่างแน่นอน ม้าน้ำกวาดล้างทุกอย่างที่อยู่ระหว่างทางจนหมดสิ้น

อันที่จริงแล้ว แม้ว่ากระแสพลังสูญหมุนวนนั้นจะแข็งแกร่งเหลือเกิน แต่ขอบเขตพลังของมันค่อนข้างจำกัด อีกทั้งภายใต้สถานการณ์ทั่ว ๆ ไปแล้ว พวกมันก็ไม่ได้สังหารไปหลายชีวิตแต่อย่างใด ทว่าฝ่ายทหารทัพทรายทองนั้นเป็นระเบียบมาก และต่อสู้ด้วยชั้นเชิงหลายกระบวนร่วม ๆ กันอยู่เสมอ ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงไม่เคยแตกทัพและจะสู้ด้วยกันแม้ตัวจะต้องตายก็ตาม

นี่คือวิธีการที่ถูกต้องแล้วในการรับมือกับศัตรูที่แข็งแกร่ง และยังทำให้พวกเขาสามารถใช้ความได้เปรียบในด้านจำนวนคนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอานุภาพอันยิ่งใหญ่เช่นนี้… การทำแบบนี้ก็มีแต่จะปิดกั้นโชคชะตาของพวกเขาเท่านั้น

กระแสพลังสูญหมุนวนนั้นทรงพลังถึงขนาดที่ผู้ฝึกตนด่านมหาราชันก็ไม่สามารถหยุดมันได้ด้วยซ้ำ สมควรแล้วที่มันเป็นการรวมพลังระหว่างซูเฉินกับม้าน้ำพลังสูญ

ความพยายามของทหารทัพทรายทองที่จะป้องกันตัวเองนั้น เป็นเหมือนฝูงมดที่พยายามจะหยุดล้อเกวียน

กลยุทธ์ที่ใช้นั้นคงไม่สามารถช่วยชีวิตพวกเขาได้ในคราวนี้ มันกลับกลายเป็นยิ่งเร่งให้ความตายเข้าใกล้มากขึ้นเสียมากกว่า กระแสพลังสูญหมุนวนที่เคลื่อนเข้ามานั้นมีจำนวนนับร้อยและมันพร้อมจะหั่นร่างของทหารเหล่านั้นเป็นชิ้น ๆ ราวกับที่บดเนื้อ

ไม่ว่าพายุพลังสูญนั้นจะเคลื่อนไปทางใด มันก็จะคร่าชีวิตของทหารที่อยู่ตรงนั้นอย่างไม่เลือกหน้า

ซูเฉินกับกู่ชิงลั่วในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับคนกวาดถนน คนหนึ่งทำหน้าที่สยบค่ายกล ในขณะที่อีกคนกำจัดทุกชีวิตที่ขัดขวางค่ายกลเวหากลืนอสูร ซึ่งก็ได้ถูกถอดถอนแล้วอย่างสมบูรณ์ พี่น้องตระกูลเฉินต่างตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวและไม่เชื่อสายตาตัวเอง

ในขณะเดียวกันนั้น ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตก็เคลื่อนทัพเข้ามาเรื่อย ๆ

เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงค่ายกลก็พบว่าทหารทัพทรายทองที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นเหลือช่างน่าสงสารนัก พายุพลังสูญได้ทำลายค่ายกลของพวกเขาเสียสิ้น ไม่เหลือไว้แม้กระทั่งร่างไร้วิญญาณเสียด้วยซ้ำ

ทหารทัพทรายทองที่ยังมีชีวิตเหลืออยู่และเพิ่งผ่านการชำระล้างโดยกระแสพลังสูญวนได้เห็นดังนั้นก็ต่างตกตะลึง

นี่เป็นวิชาเพียงไม่กี่ชนิดที่ทรงพลังอย่าไร้สาเหตุเช่นนี้ อานุภาพในการทำลายล้างของมันทิ้งเงาความโหดร้ายที่ไม่สามารถลบเลือนได้ในใจของเหล่าทหาร และทำให้ทุกคนหมดสิ้นซึ่งความปรารถนาจะต่อต้าน

ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตคาดหวังว่าจะได้เห็นการแสดงที่ยิ่งใหญ่ แต่สุดท้ายแล้วพวกเขากลับแทบไม่มีโอกาสได้ต่อสู้ด้วยซ้ำ

เมื่อหลี่ฉงซานกับทุกคนตามมาพบกับซูเฉินได้ทันแล้ว หลินชิงหลิวกับพี่น้องตระกูลเฉินก็กลายเป็นเพียงธุลีไปแล้วด้วยฝีมือของซูเฉิน อาจเป็นเพราะความหวาดกลัวต่อซูเฉินก็ได้ที่ทำให้พวกเขาเสียสติ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่คิดจะยอมแพ้หรือหลบหนีไปแต่อย่างใด พวกเขากลับมุ่งหน้าเข้ามาอย่างหาญกล้า และการต่อต้านครั้งสุดท้ายในการต่อสู้ครั้งนี้ก็พลันถูกพลังสูญกลืนหายไปในทันที…

หลี่ฉงซานเหาะออกไปด้านหน้าด้วยสีหน้าหม่นหมอง

เมื่อซูเฉินเห็นใบหน้านั้นก็อดถามขึ้นไม่ได้ “มีอะไรหรือ”

หลี่ฉงซานตอบกลับมา “เราตกลงกันว่าท่านจะหยุดค่ายกล และไม่จัดการกับพวกทหารไม่ใช่หรือ”

ซูเฉินชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นตบหัวตัวเองเบา ๆ “ข้าติดลมไปหน่อยน่ะ ก็เลยลืมไปว่าจะต้องเหลือทหารไว้ให้เจ้าด้วย ขออภัยด้วย”