ตอนที่ 651 ความหมายในคำพูดของข้า

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

เพราะก่อนหน้านี้ถูกล่ามเอาไว้ถึงสองชั้นด้วยศิลาโครงกระดูกและหยกวิญญาณมาตลอด มังกรทั้งเก้าจึงไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า เมื่อผ่านไปหนึ่งหมื่นปี พวกมันได้เติบโตขึ้นมาจนแข็งแกร่งถึงเพียงไหน 

 

 

และที่จริงร่างกายของเผ่ามังกรก็มีจุดเด่นในเรื่องของความแข็งแกร่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว 

 

 

ตอนนี้เมื่อร่างกายผ่านการฝึกฝนมาถึงหนึ่งหมื่นปี จึงเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า 

 

 

ชนิดที่เรียกว่าต่อให้พวกมันทุ่มเทการฝึกฝนอยู่บนโลกตลอดหนึ่งหมื่นปี ก็ยังไม่มีทางที่จะได้รับผลสำเร็จเช่นนี้อย่างเด็ดขาด 

 

 

ยิ่งไม่มีทางที่จะสามารถบดขยี้นักรบสวรรค์ได้ด้วยการตะปบเพียงครั้งเดียว 

 

 

อย่าว่าแต่ นักรบเทพเหล่านี้ต่างก็เป็นถึงลูกน้องใต้บัญชาของแม่ทัพสวรรค์ทั้งแปดอีกด้วย! 

 

 

นี่ต้องถือว่าบุญวาสนาในคราวเคราะห์ 

 

 

ดูเอาเถอะ มิว่าอย่างไรในใต้หล้าก็ยังถือว่ามีความยุติธรรมอยู่ แม้จะต้องรับทุกข์ทนทรมาน แต่ก็ยังคงได้รับผลตอนแทนจากด้านอื่น 

 

 

ทำเอาอยู่ๆพวกมันรู้สึกอยากจะขอบคุณความทรมานนั้นขึ้นมาบ้างอยู่เหมือนกัน 

 

 

เพราะการรับทรมานเช่นนั้นทำให้พวกมันเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้นมา จึงสามารถปกป้องท่านเจ้าวังในยามคับขันได้สำเร็จ 

 

 

อ๋อ แม้ว่าดูๆแล้ว ท่านเจ้าวังจะมิได้ต้องการการปกป้องจากพวกมันสักเท่าไหร่ก็ตาม 

 

 

……………… 

 

 

 

 

 

ฮว๋ายยู่ที่มองดูเหตุการณ์ผ่านกระจกอยู่ตลอดเวลา ก็รู้สึกย่ำแย่ไปหมดแล้ว 

 

 

พระนางคิดไม่ถึงเลยว่า มังกรเก้าตัวนั้นจะได้รับโชคในคราวเคราะห์ ….ทำให้มีความสามารถขึ้นมาถึงเพียงนี้ 

 

 

แต่พอคิดๆดู พวกสัตว์ชั้นต่ำทั้งเก้าตัวนั้นมันช่างกล้านัก! 

 

 

หากมิใช่เพราะนาง พวกมันจะมีโอกาสได้รับความสำเร็จเช่นในวันนี้หรือ 

 

 

นางต่างหากคือนายของพวกมัน นางเลี้ยงพวกมันมาถึงหนึ่งหมื่นปี! 

 

 

สัตว์ชั้นต่ำเหล่านั้นสมควรจงรักและภักดีต่อนางถึงจะถูก ทำไมถึงได้ถูกสตรีผู้นั้นดึงตัวไปได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนี้? 

 

 

พระนางขมวดคิ้วมุ่น จับจ้องเข้าไปในกระจกอย่างเคร่งเครียด 

 

 

นางคงจะกังวลจนเกินไป….. 

 

 

พวกนั้นไม่มีทางหลบหนีไปจากประตูทิศใต้ได้หรอก แถมที่กำลังออกศึกอยู่ในตอนนี้ก็คือสองในแปดแม่ทัพสวรรค์ด้วยซ้ำ 

 

 

เมื่อครู่พวกเขาคงจะประมาทมากเกินไป ถึงได้ทำให้นักรบสวรรค์ต้องสูญเสียนักรบสวรรค์ไปหลายสิบคน 

 

 

แปดแม่ทัพสวรรค์ ปกป้องแดนสวรรค์มานานหลายหมื่นปี ยังไม่เคยพ่านแพ้มาก่อน 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น อีกหกหน่วยต่างก็ได้ทราบข่าวสารแล้ว ทั้งหมดย่อมต้องเร่งรุดไปที่ประตูสวรรค์ทิศใต้ 

 

 

ถึงตอนนั้นแปดแม่ทัพสวรรค์รวมตัว มีนักรบสวรรค์แปดพันนายห้อมล้อม นางมารนั่นยังจะบินหนีไปไหนได้! 

 

 

วันนี้นางจะต้องจบชีวิตอยู่ในแดนสวรรค์อย่างแน่นอน! 

 

 

พอคิดถึงตรงนี้ ฮว๋ายยู่ก็ค่อยสงบใจลงได้บ้าง 

 

 

และในตอนนั้นเอง เทพธิดาที่คอยรับใช้ข้างกายก็กราบทูลว่า “เทียนโฮว่เพคะ แพทย์สวรรค์มาถึงแล้วเพคะ” 

 

 

ฮว๋ายยู่เก็บกระจกวางไปที่ด้านข้างในทันที พระนางโบกพระหัตถ์ “เชิญเขาเข้ามา” 

 

 

จากนั้น แพทย์สวรรค์ในชุดยาวที่ขาวสะอาดก็เข้ามาพร้อมกับลมหนาวหอบหนึ่ง 

 

 

ทันทีที่เข้ามาในพระตำหนัก เขาก็ได้กลิ่นหอมของดอกฮว๋ายฮวาอย่างชัดเจน 

 

 

แพทย์สวรรค์คุกเข่าลงไป ถวายคำนับต่อฮว๋ายยู่ 

 

 

ฮว๋ายยู่ยังคงเอนร่างอยู่บนฟูกอ่อนนุ่ม ที่มีม่านโปร่งสีแดงคลุมโดยรอบ บดบังรูปโฉมของพระนางเอาไว้ ทำให้มองเห็นแต่เพียงโครงร่างของนางเท่านั้น 

 

 

นางพิงร่างเข้ากับหมอนอิง เอ่ยอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า “ข้าเจ็บครรภ์ยากทนทาน เกรงว่ารัชทายาทจะไม่ปลอดภัย เกรงว่าคงจะเป็นเพราะในสวรรค์เกิดเรื่องอันไม่สมควรขึ้น เป็นปรปักษ์ต่อองค์รัชทายาท” 

 

 

แพทย์สวรรค์รับฟังพระนางด้วยความเคารพนบนอบ จากนั้นค่อยเอ่ยว่า “มิทราบว่าจะทรงประทานอนุญาตให้กระหม่อมสามารถจับชีพจรถวายได้หรือไม่ เรื่องของรัชทายาทล้วนเป็นเรื่องใหญ่ ไม่อาจเลินเล่อได้พะยะค่ะ” 

 

 

พอได้ฟัง ฮว๋ายยู่ก็หัวเราะออกมา 

 

 

แต่เสียงหัวเราะของพระนางออกจะพิกลอยู่บ้าง 

 

 

“แพทย์สวรรค์จิ้นหยุน เจ้าเป็นแพทย์สวรรค์ที่มีความสามสูงส่งที่สุดในแดนสวรรค์ ยังจะต้องพึ่งพาวิธีจับชีพจรเช่นคนธรรมดาทั่วไปอีกหรือ?” 

 

 

จิ้นหยุนส่ายศีรษะ “ฝ่าบาทตรัสเช่นนี้มิใคร่ถูกต้องเท่าไรนัก การสอบถามตรวจดูร่างกายเป็นพื้นฐานของการรักษา มิว่าในโลกหล้าหรือแดนสวรรค์ก็ล้วนเป็นเช่นเดียวกัน นี่เป็นองค์ความรู้ที่บรรพชนสั่งสมมา ไม่อาจมองข้ามได้อย่างเด็ดขาดพะยะค่ะ” 

 

 

ฮว๋ายยู่ไม่มีอารมณ์จะทนฟังเขาพล่ามหลักการแพทย์ใดๆ 

 

 

น้ำเสียงของพระนางเย็นชาลงไปอีกหลายส่วน 

 

 

“ดูท่า เจ้าคงจะฟังความหมายในคำพูดของข้าไม่เข้าใจสินะ” 

 

 

แพทย์สวรรค์จิ้นหยุนงุนงงไปครู่หนึ่ง ก็ได้ยินฮว๋ายยู่ตรัสต่อไปว่า “เจ้าและภรรยาของเจ้าแต่งงานกันมานานหลายปี แต่กลับไม่มีทายาทมาโดยตลอด เมื่อเดือนก่อนพึ่งจะให้กำเนิดบุตร ข้าเห็นแล้วก็นึกเอ็นดู เมื่อครู่จึงให้คนไปรับตัวเข้ามาในวัง” 

 

 

แพทย์สวรรค์จิ้นหยุนได้ฟังแล้ว บนศรีษะก็หลั่งเหงื่อเย็นๆออกมา 

 

 

ฮว๋ายยู่หัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา “เจ้าอย่าได้เป็นกังวล ก็แค่เราเองก็ตั้งครรภ์เช่นกัน จึงชื่นชอบทารกอย่างยิ่ง แค่เอามาชมดูสักหน่อย หวังว่าเมื่อเขาเติบใหญ่ขึ้นมา จะได้รู้จักว่านอนสอนง่าย เชื่อฟังวาจา ดั่งเช่นบิดาของเขา” 

 

 

ว่าแล้ว ปลายนิ้วที่เรียวยาว ก็แง้มม่านออกมามุมหนึ่ง 

 

 

ดวงเนตรดอกท้อคู่นั้นจดจ้องไปที่เขา “แพทย์สวรรค์จิ้นหยุน เจ้าว่าง่ายเชื่อฟังหรือไม่?” 

 

 

แม้ว่าชาวสวรรค์ทั้งหลายจะทราบดีว่าเทียนโฮว่ทรงมีพระสิริโฉมเช่นไร แต่ยามปกติก็มีน้อยครั้งนักที่พระนางจะปรากฏโฉม 

 

 

ต่อให้ได้เข้าเฝ้า ก็เพียงเห็นจากที่ไกลๆเท่านั้น น้อยกว่าน้อยคนที่จะได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดเช่นนี้ 

 

 

พอได้เห็นดวงเนตรคู่นั้นเข้าจริงๆ จิ้นหยุนก็ต้องตกตะลึงไปครู่หนึ่ง 

 

 

ราวกับว่าดวงวิญญาณของเขาถูกควักออกไปก็ไม่ปาน 

 

 

เขารีบรวบรวมสติกลับมา ก้มศีรษะลงต่ำ ไม่กล้ามองดูอีกต่อไป 

 

 

ต่อให้เขาโง่เขลากว่านี้ ก็ยังเข้าใจความหมายในคำพูดที่เทียนโฮว่ทรงตรัสออกมาอยู่ดี 

 

 

เอาบุตรที่เขาได้มาอย่างยากเย็นมาข่มขู่เขา ….. ทำให้เขาไม่มีโอกาสที่จะต่อต้านแม้แต่น้อย 

 

 

แพทย์สวรรค์จิ้นหยุนไม่เพียงแต่มีวิชาแพทย์สูงส่ง นิสัยก็เถรตรงมาโดยตลอด ดังนั้นมิว่าเขาจะพูดสิ่งใดออกไป ทุกคนต่างก็ให้ความเชื่อถือ 

 

 

บนแดนสวรรค์แห่งนี้ แพทย์สวรรค์ที่คิดจะประจบประแจงฮว๋ายยู่นั้นมีอยู่ไม่น้อย 

 

 

แต่ว่าฮว๋ายยู่กลับไม่สนใจพวกเขา 

 

 

นางต้องการแต่เพียง ให้ผู้ที่ตี้เสียทรงเชื่อถือ พูดในสิ่งที่นางต้องการให้พูดเท่านั้น 

 

 

แพทย์สวรรค์จิ้นหยุนจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของนาง 

 

 

เทพธิดารับใช้ของฮว๋ายยู่ยังคงยืนเฝ้าอยู่ที่ด้านข้าง ด้วยสีหน้าเย็นชา นางยืนอยู่ที่ข้างกายของจิ้นหยุน พอยื่นมือออกมา ก็ปรากฏกุญแจอายุมั่นขวัญยืนที่ทำจากหยกประดับชิ้นหนึ่งในมือ 

 

 

ดวงตาของจิ้นหยุนกระตุกวาบ เขาก้มศีรษะลงต่ำกว่าเดิม “บุตรน้อยว่าง่าย เชื่อฟังอย่างยิ่ง ขอฝ่าบาททรงพระเมตตาเอื้อเอ็นดูเขาแล้ว” 

 

 

ฮว๋ายยู่มิได้ตรัสอะไร เพียงปล่อยม่านในมือลงอย่างไม่ใส่ใจ ดวงเนตรดอกท้อคู่นั้นจ้องไปที่เขาจากในม่าน 

 

 

จิ้นหยุนได้แต่ใช้หลังมือปาดเช็ดเหงื่อแห้งๆบนศีรษะ 

 

 

พลางกราบทูลต่อไปว่า “แดนสวรรค์ถูกนางปีศาจบุกรุก ไอมารปกคลุมท้องฟ้าจนขุ่นมัว แม้แต่รัชทายาทในพระครรภ์ของฝ่าบาทก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย หากไม่กำจัดนาง รัชทายาทของพระองค์ก็ยากที่จะรักษาเอาไว้” 

 

 

พอได้ยินเช่นนี้ ฮว๋ายยู่ก็คลี่ยิ้มออกมา 

 

 

“แพทย์สวรรค์จิ้นหยุนเชื่อฟังวาจาจริงๆ” 

 

 

“ข้าหวังว่า คำพูดนี้จะไปถึงพระกรรณของเทียนจุนโดยไม่ขาดตกบกพร่อง เจ้าว่าใช่หรือไม่?” 

 

 

จิ้นหยุนประคองสองมือถวายคำนับพระนาง “ ขอเพียงเทียนโฮว่ทรงรับประกันความปลอดภัยของบุตรน้อย มิว่าจะทรงต้องการให้เทียนตี้ได้ยินสิ่งใด เทียนตี้ก็จะทรงได้ยินตามนั้นพะยะค่ะ” 

 

 

ฮว๋ายยู่ยิ่งพอใจกว่าเดิม 

 

 

……………….. 

 

 

 

 

 

ประตูสวรรค์ทิศใต้ 

 

 

การต่อสู้ถึงขั้นโรมรันพันตูจนสับสนวุ่นวาย 

 

 

กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งไปทั่ว 

 

 

แม้ว่ายามนี้จะเป็นยามราตรี ที่มีแต่เพียงแสงดาวเล็กน้อย แต่หมู่เมฆที่เดิมเคยเป็นสีขาวกระจ่าง 

 

 

กลับถูกอาบย้อมไปด้วยเลือดจนแดงฉานไปแล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่บนศีรษะของเยี่ยเฉิน แต่ความสนใจของนางมิได้อยู่ที่นักรบสวรรค์เหล่านั้นเลยสักนิด 

 

 

สายตาของนางจดจ้องไปที่ประตูสวรรค์ทิศใต้ 

 

 

ประกายแสงที่คมกริบดุจใบมีดเหล่านั้นยังคงฟาดฟันลงมาอย่างไม่มีหยุด  

 

 

นางแอบส่งยันต์ออกไปอย่างลับๆอยู่หลาบใบ แต่ก็ล้วนถูกประกายแสงที่คมกริบเหล่านั้นฟันขาดเป็นสองส่วนจนหมดสิ้น 

 

 

ตัวนางยังนับว่าไม่เท่าไหร่ เพียงมีแต่เพียงจิตวิญญาณ หากไม่กลับไปภายในสิบวัน วิญญาณทมิฬย่อมต้องเรียกวิญญาณของนางกลับไป 

 

 

หากต้องต่อสู้ยื้อชีวิตเอาไว้สักสิบวัน นางเชื่อว่าตนยังสามารถทำได้ 

 

 

แต่ว่ามังกรยักษ์ทั้งเก้าตัวนี้ไม่เหมือนกัน 

 

 

พวกมันมีร่างกายและเลือดเนื้อ หากไม่อาจผ่านประตูสวรรค์ออกไป ย่อมต้องถูกทรมานอยู่บนแดนสวรรค์จนตาย 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมิได้ใส่ใจจะมองดูสองแม่ทัพสวรรค์เลยสักนิด สร้างความขุ่นเคืองให้กับพวกเขาอย่างยิ่ง 

 

 

เก้ามังกรยักษ์แม้จะแข็งแกร่งถึงเพียงไหน แต่เมื่อต้องรับศึกกับนักรบสวรรค์ถึงสองพันคน ย่อมต้องถูกยื้อยุดเอาไว้จนเกิดช่องว่างได้อยู่ดี 

 

 

ทำให้สองแม่ทัพสวรรค์สบโอกาสบุกเข้ามาถึงตรงหน้าของตู๋กูซิงหลัน 

 

 

คนหนึ่งถือดาบคาตานะ อีกคนถือฆ้อนทลายดารา พุ่งเข้าหาตู๋กูซิงหลัน 

 

 

ตู๋กูซิงหลันก็ยังคงหันหลังให้กับพวกเขา ก่อนที่ทั้งสองจะมาถึงเพียงเล็กน้อย นางหันหน้าไปด้านข้าง มองไกลออกไป…. 

 

 

……………………….